ไทยเสี่ยงเข้าสู่ #ภาวะเงินฝืด ฉุดเศรษฐกิจซึมยาว‘ลงทุน-บริโภค’ ดิ่ง
.
สถานการณ์ #เงินเฟ้อ ของไทยยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ล่าสุดเงินเฟ้อทั่วไปของไทยเดือนพ.ค. 2568 อยู่ที่ -0.57% จากปีก่อน ซึ่งเป็นการลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่สอง ขณะที่ เงินเฟ้อพื้นฐานยังคงเพิ่มขึ้น 1.09% สวนทางกับหลายประเทศที่ “เงินเฟ้อ” เริ่มกลับมาเป็นบวก และเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น
.
เหล่านี้นำมาสู่คำถามสำคัญว่า เงินเฟ้อที่ยิ่งอ่อนแรงลงเป็นเพียงสัญญาณ “ชั่วคราว” หรือกำลังเป็นสัญญาณ “ถาวร” หรืออาจนำไทยเดินไปสู่ “ภาวะเงินฝืด” หรือไม่?
.
“พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย” หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า ภาพเงินเฟ้อของไทยที่ “ติดลบ” ต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่การติดลบชั่วคราวจากราคาสินค้า หากภาพใหญ่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความไม่มี “แรงกดดันเงินเฟ้อ” หรือ inflationary pressure ที่อยู่ในระดับต่ำมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน
.
และเงินเฟ้อที่เห็นติดลบในปัจจุบัน ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เงินเฟ้อไทยชะลอตัวมานานติดต่อกันเป็น 10 ปี ไม่ใช่เพิ่งมาเกิดในปีนี้ จาก core inflation ที่ปัจจุบันต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของธนาคารกลางมาต่อเนื่อง เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องชั่วคราว แต่มันคือ สัญญาณโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่มีปัญหามานาน
.
“เราไม่ได้มีเงินเฟ้อเพราะดีมานด์เลย ไม่มีแรงกดดันด้านราคา สะท้อนว่าภาคธุรกิจขาดพลังในการส่งต่อราคาสินค้าต่อผู้บริโภค หรือพูดง่าย ๆ คือไม่มีใครกล้าขึ้นราคา เพราะผู้บริโภคไม่มีเงินพอจะรับราคาที่สูงขึ้น”
.
ดังนั้น การที่เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้กระทบแค่ตัวเลขทางเศรษฐกิจ แต่ยังส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค ผู้ประกอบการ และนักลงทุนในด้านความเชื่อมั่นต่างๆ ให้ลดลง
.
ทั้งขาด pricing power ของธุรกิจ ที่ผู้ประกอบการไม่สามารถปรับราคาสินค้าหรือบริการได้ เจ้าของบ้านไม่สามารถปรับขึ้นราคาค่าเช่าได้ ในภาวะที่เงินเฟ้อต่ำต่อเนื่อง ซ้ำร้ายในด้านการลงทุนอาจลดลง เมื่อราคาสินค้าไม่เพิ่มขึ้น นักลงทุนไม่มีแรงจูงใจในการลงทุนเพื่อสร้างกำไรในอนาคต กระทบเป็นลูกโซ่ไปถึง “ค่าจ้าง” ที่อาจไม่ขยับตามเมื่อไม่มีเงินเฟ้อ รายได้แรงงานก็ไม่ปรับเพิ่ม ทำให้กำลังซื้อในระบบไม่หมุนเวียน
.
สุดท้ายก็ย้อนกลับมาสู่ ความมั่นใจทางเศรษฐกิจที่ยิ่งถดถอยลง ทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการชะลอการใช้จ่ายและการลงทุน
.
“พิพัฒน์” ยังฉายภาพให้เห็นว่า จากเงินเฟ้อที่ต่ำต่อเนื่องยังเสี่ยงนำพา “ประเทศไทย” เดินตามรอย “ญี่ปุ่น” ที่เผชิญกับดักเงินฝืดหลังวิกฤติเศรษฐกิจฟองสบู่ในทศวรรษ 1990 ทำให้เศรษฐกิจติดหล่มเป็นระยะเวลานานไม่สามารถกลับมาฟื้นตัวได้ง่ายๆ
.
แม้วันนี้ “ประเทศไทย” ยังไม่ได้เข้าสู่ภาวะเงินฝืดเต็มตัว แต่ก็มี “ความเสี่ยง” ที่ไทยจะหลุดเข้าไปในวงจรนั้นได้ในไม่ช้า หากเงินเฟ้อยังต่ำกว่ากรอบเป้าหมายต่อเนื่อง และไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวของดีมานด์ในประเทศ
.
“เรามีความเสี่ยงมาก ที่จะซ้ำรอยญี่ปุ่น เหมือนยุคที่ญี่ปุ่นเจอเงินฝืด ทำให้พอราคาสินค้าไม่ขึ้น ผู้คนก็ยิ่งไม่กล้าจับจ่าย ลงทุน หรือไม่สามารถขยับอะไรได้เลย แล้วเศรษฐกิจก็ติดหล่มไปเป็นสิบปี หากเราไม่ทำอะไรเราก็จะซ้ำรอยเหมือนที่ญี่ปุ่นเผชิญมาแล้ว ดังนั้น อย่ารอให้เห็นเงินฝืดชัด ๆ แล้วค่อยกังวล เพราะพอถึงตอนนั้น เราอาจต้องใช้เวลานานเป็นสิบปีเหมือนญี่ปุ่นกว่าจะฟื้นเศรษฐกิจกลับมาได้”
.
.
อ่านต่อ:
https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1184063?anm=
.
#กรุงเทพธุรกิจ #InsightForOpportunities #กรุงเทพธุรกิจEconomic
ไทยเสี่ยงเงินฝืด เสดกิจชึมยาว
ไทยเสี่ยงเข้าสู่ #ภาวะเงินฝืด ฉุดเศรษฐกิจซึมยาว‘ลงทุน-บริโภค’ ดิ่ง
.
สถานการณ์ #เงินเฟ้อ ของไทยยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ล่าสุดเงินเฟ้อทั่วไปของไทยเดือนพ.ค. 2568 อยู่ที่ -0.57% จากปีก่อน ซึ่งเป็นการลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่สอง ขณะที่ เงินเฟ้อพื้นฐานยังคงเพิ่มขึ้น 1.09% สวนทางกับหลายประเทศที่ “เงินเฟ้อ” เริ่มกลับมาเป็นบวก และเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น
.
เหล่านี้นำมาสู่คำถามสำคัญว่า เงินเฟ้อที่ยิ่งอ่อนแรงลงเป็นเพียงสัญญาณ “ชั่วคราว” หรือกำลังเป็นสัญญาณ “ถาวร” หรืออาจนำไทยเดินไปสู่ “ภาวะเงินฝืด” หรือไม่?
.
“พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย” หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า ภาพเงินเฟ้อของไทยที่ “ติดลบ” ต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่การติดลบชั่วคราวจากราคาสินค้า หากภาพใหญ่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความไม่มี “แรงกดดันเงินเฟ้อ” หรือ inflationary pressure ที่อยู่ในระดับต่ำมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน
.
และเงินเฟ้อที่เห็นติดลบในปัจจุบัน ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เงินเฟ้อไทยชะลอตัวมานานติดต่อกันเป็น 10 ปี ไม่ใช่เพิ่งมาเกิดในปีนี้ จาก core inflation ที่ปัจจุบันต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของธนาคารกลางมาต่อเนื่อง เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องชั่วคราว แต่มันคือ สัญญาณโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่มีปัญหามานาน
.
“เราไม่ได้มีเงินเฟ้อเพราะดีมานด์เลย ไม่มีแรงกดดันด้านราคา สะท้อนว่าภาคธุรกิจขาดพลังในการส่งต่อราคาสินค้าต่อผู้บริโภค หรือพูดง่าย ๆ คือไม่มีใครกล้าขึ้นราคา เพราะผู้บริโภคไม่มีเงินพอจะรับราคาที่สูงขึ้น”
.
ดังนั้น การที่เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้กระทบแค่ตัวเลขทางเศรษฐกิจ แต่ยังส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค ผู้ประกอบการ และนักลงทุนในด้านความเชื่อมั่นต่างๆ ให้ลดลง
.
ทั้งขาด pricing power ของธุรกิจ ที่ผู้ประกอบการไม่สามารถปรับราคาสินค้าหรือบริการได้ เจ้าของบ้านไม่สามารถปรับขึ้นราคาค่าเช่าได้ ในภาวะที่เงินเฟ้อต่ำต่อเนื่อง ซ้ำร้ายในด้านการลงทุนอาจลดลง เมื่อราคาสินค้าไม่เพิ่มขึ้น นักลงทุนไม่มีแรงจูงใจในการลงทุนเพื่อสร้างกำไรในอนาคต กระทบเป็นลูกโซ่ไปถึง “ค่าจ้าง” ที่อาจไม่ขยับตามเมื่อไม่มีเงินเฟ้อ รายได้แรงงานก็ไม่ปรับเพิ่ม ทำให้กำลังซื้อในระบบไม่หมุนเวียน
.
สุดท้ายก็ย้อนกลับมาสู่ ความมั่นใจทางเศรษฐกิจที่ยิ่งถดถอยลง ทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการชะลอการใช้จ่ายและการลงทุน
.
“พิพัฒน์” ยังฉายภาพให้เห็นว่า จากเงินเฟ้อที่ต่ำต่อเนื่องยังเสี่ยงนำพา “ประเทศไทย” เดินตามรอย “ญี่ปุ่น” ที่เผชิญกับดักเงินฝืดหลังวิกฤติเศรษฐกิจฟองสบู่ในทศวรรษ 1990 ทำให้เศรษฐกิจติดหล่มเป็นระยะเวลานานไม่สามารถกลับมาฟื้นตัวได้ง่ายๆ
.
แม้วันนี้ “ประเทศไทย” ยังไม่ได้เข้าสู่ภาวะเงินฝืดเต็มตัว แต่ก็มี “ความเสี่ยง” ที่ไทยจะหลุดเข้าไปในวงจรนั้นได้ในไม่ช้า หากเงินเฟ้อยังต่ำกว่ากรอบเป้าหมายต่อเนื่อง และไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวของดีมานด์ในประเทศ
.
“เรามีความเสี่ยงมาก ที่จะซ้ำรอยญี่ปุ่น เหมือนยุคที่ญี่ปุ่นเจอเงินฝืด ทำให้พอราคาสินค้าไม่ขึ้น ผู้คนก็ยิ่งไม่กล้าจับจ่าย ลงทุน หรือไม่สามารถขยับอะไรได้เลย แล้วเศรษฐกิจก็ติดหล่มไปเป็นสิบปี หากเราไม่ทำอะไรเราก็จะซ้ำรอยเหมือนที่ญี่ปุ่นเผชิญมาแล้ว ดังนั้น อย่ารอให้เห็นเงินฝืดชัด ๆ แล้วค่อยกังวล เพราะพอถึงตอนนั้น เราอาจต้องใช้เวลานานเป็นสิบปีเหมือนญี่ปุ่นกว่าจะฟื้นเศรษฐกิจกลับมาได้”
.
.
อ่านต่อ: https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1184063?anm=
.
#กรุงเทพธุรกิจ #InsightForOpportunities #กรุงเทพธุรกิจEconomic