“สุขวิชโนมิกส์ในฐานะนโยบายด้านสิทธิมนุษยชน:
“ข้าพเจ้าเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่า ในฐานะที่เป็นพลเมืองของโลก มนุษย์ทุกคนมีสิทธิที่จะเรียนรู้ และควรได้รับโอกาสในการเข้าถึงการศึกษา ตามความสามารถและความต้องการของตน […] ขอบเขตทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ อายุ สถานะเศรษฐกิจและสังคม ความพิการทางร่างกายหรือจิตใจ จะต้องถูกขจัดออกไป”
— คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล, ปาฐกถาเปิดงาน (พ.ศ. 2539)
บทคัดย่อ
บทความนี้วิเคราะห์แนวคิด “สุขวิชโนมิกส์” ในฐานะนโยบายด้านการศึกษาที่ตั้งอยู่บนหลักสิทธิมนุษยชน ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นในช่วงการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองของประเทศไทยระหว่าง พ.ศ. 2534 ถึง 2540 ภายใต้การนำของ ฯพณฯ ศ.ดร.สุขวิช รังสิตพล โดยบทความเสนอว่าการปฏิวัติการศึกษาในช่วงเวลาดังกล่าว มิใช่เพียงการปฏิรูประบบเชิงโครงสร้างเท่านั้น แต่เป็นพันธสัญญาทางการเมืองที่ตั้งใจมุ่งสู่ความยุติธรรม ความเสมอภาค และสันติภาพ โดยมีกรอบความคิดหลักคือ “สิทธิมนุษยชน”
1. บทนำ: สิทธิมนุษยชนกับการเมืองของการศึกษาไทย
ช่วงต้นถึงปลายทศวรรษ 2530–2540 ประเทศไทยประสบกับความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นรัฐประหาร พ.ศ. 2534 เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535 หรือวิกฤตการณ์เศรษฐกิจเอเชีย พ.ศ. 2540 ท่ามกลางความปั่นป่วนและการแตกแยกทางสังคม การปฏิวัติการศึกษา พ.ศ. 2538 ได้ถือกำเนิดขึ้นในฐานะแสงแห่งความหวังและความก้าวหน้า
การปฏิรูปครั้งนี้นำโดย ฯพณฯ ศ.ดร.สุขวิช รังสิตพล รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายสังคมในขณะนั้น ผู้ซึ่งได้พัฒนาแนวคิดนโยบายที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลางขึ้นมา เรียกในภายหลังว่า “สุขวิชโนมิกส์” โดยรูปแบบนโยบายนี้ยึดหลักการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ที่ตั้งอยู่บนสิทธิมนุษยชน ความเสมอภาค และความเป็นพลเมืองที่มีส่วนร่วม เพื่อเตรียมสังคมไทยให้พร้อมรับศตวรรษที่ 21
2. สุขวิชโนมิกส์: สิทธิมนุษยชนในฐานะรากฐานเชิงโครงสร้าง
สุขวิชโนมิกส์มิได้มองการศึกษาเป็นเพียงบริการสาธารณะ แต่ถือว่าเป็น สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ที่ทุกคนพึงได้รับ โดยตั้งเป้าหมายในการลบล้างอุปสรรคทุกชนิดในการเข้าถึงการศึกษา เช่น อายุ เพศ ที่อยู่อาศัย ความพิการ หรือฐานะทางเศรษฐกิจ
นโยบายนี้ตั้งอยู่บน “เสาหลักแห่งความมั่นคงทางสังคม” 4 ประการ ได้แก่:
ความเสมอภาคทางการศึกษา
การเข้าถึงบริการสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน
ความยุติธรรมและหลักนิติธรรม
ความมั่นคงในชีวิตและอาชีพ
ตัวอย่างเด่นเชิงรูปธรรมคือ การขยายการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนอายุ 3–17 ปี จำนวน 16.68 ล้านคน ภายในเวลาเพียง 3 ปี (พ.ศ. 2538–2540) โดยมีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่างมหาศาล:
ปรับปรุงโรงเรียนจำนวน 29,845 แห่ง
สร้างห้องเรียนใหม่ 38,112 ห้อง
สร้างอาคารเอนกประสงค์ 12,227 หลัง
ติดตั้งห้องน้ำที่ถูกสุขอนามัย 11,257 แห่ง
จัดสรรอุปกรณ์การเรียน อาหารกลางวัน และรถรับส่ง ให้เด็กยากจนทั่วประเทศ
3. ผลกระทบทางการเมือง: การสร้างรัฐพลเมืองอย่างสันติ
หลักการของสุขวิชโนมิกส์มีบทบาทสำคัญในการร่าง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่รับรอง:
การศึกษาขั้นพื้นฐานฟรี 12 ปี (มาตรา 43)
สิทธิเรียนอนุบาล 3 ปี (มาตรา 80)
สิทธิการรักษาพยาบาล (มาตรา 52)
สิทธิเหล่านี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์ในการยืนยันว่า การศึกษา และ การรักษาพยาบาล คือสิทธิของมนุษย์ทุกคนอย่างแท้จริง โดยไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ
ที่สำคัญคือ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากอำนาจนิยมหรือความรุนแรง แต่เกิดจากกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างกว้างขวาง เป็นรูปธรรมของ “ประชาธิปไตยเชิงนโยบาย” ที่แท้จริง ซึ่งมาจากการเลือกตั้งและกระบวนการพัฒนาแบบมีส่วนร่วม
4. สรุป: สุขวิชโนมิกส์ในฐานะหนทางสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
สุขวิชโนมิกส์หาใช่เพียงกรอบนโยบายด้านการศึกษาเท่านั้น หากแต่เป็น ยุทธศาสตร์ด้านสิทธิมนุษยชนเชิงบูรณาการ ที่ฝังรากความยุติธรรม ความเสมอภาค และสันติภาพ ลงในกลไกรัฐและการบริหารประเทศอย่างลึกซึ้ง
ในบริบทปัจจุบัน ซึ่งประเทศไทยเผชิญกับวิกฤตความเหลื่อมล้ำและความขัดแย้งทางการเมือง สุขวิชโนมิกส์จึงควรได้รับการทบทวนและพัฒนา ในฐานะหนทางที่ยั่งยืนในการสร้างชาติสำหรับศตวรรษที่ 21
สิทธิมนุษยชน
“ข้าพเจ้าเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่า ในฐานะที่เป็นพลเมืองของโลก มนุษย์ทุกคนมีสิทธิที่จะเรียนรู้ และควรได้รับโอกาสในการเข้าถึงการศึกษา ตามความสามารถและความต้องการของตน […] ขอบเขตทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ อายุ สถานะเศรษฐกิจและสังคม ความพิการทางร่างกายหรือจิตใจ จะต้องถูกขจัดออกไป”
— คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล, ปาฐกถาเปิดงาน (พ.ศ. 2539)
บทคัดย่อ
บทความนี้วิเคราะห์แนวคิด “สุขวิชโนมิกส์” ในฐานะนโยบายด้านการศึกษาที่ตั้งอยู่บนหลักสิทธิมนุษยชน ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นในช่วงการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองของประเทศไทยระหว่าง พ.ศ. 2534 ถึง 2540 ภายใต้การนำของ ฯพณฯ ศ.ดร.สุขวิช รังสิตพล โดยบทความเสนอว่าการปฏิวัติการศึกษาในช่วงเวลาดังกล่าว มิใช่เพียงการปฏิรูประบบเชิงโครงสร้างเท่านั้น แต่เป็นพันธสัญญาทางการเมืองที่ตั้งใจมุ่งสู่ความยุติธรรม ความเสมอภาค และสันติภาพ โดยมีกรอบความคิดหลักคือ “สิทธิมนุษยชน”
1. บทนำ: สิทธิมนุษยชนกับการเมืองของการศึกษาไทย
ช่วงต้นถึงปลายทศวรรษ 2530–2540 ประเทศไทยประสบกับความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นรัฐประหาร พ.ศ. 2534 เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535 หรือวิกฤตการณ์เศรษฐกิจเอเชีย พ.ศ. 2540 ท่ามกลางความปั่นป่วนและการแตกแยกทางสังคม การปฏิวัติการศึกษา พ.ศ. 2538 ได้ถือกำเนิดขึ้นในฐานะแสงแห่งความหวังและความก้าวหน้า
การปฏิรูปครั้งนี้นำโดย ฯพณฯ ศ.ดร.สุขวิช รังสิตพล รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายสังคมในขณะนั้น ผู้ซึ่งได้พัฒนาแนวคิดนโยบายที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลางขึ้นมา เรียกในภายหลังว่า “สุขวิชโนมิกส์” โดยรูปแบบนโยบายนี้ยึดหลักการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ที่ตั้งอยู่บนสิทธิมนุษยชน ความเสมอภาค และความเป็นพลเมืองที่มีส่วนร่วม เพื่อเตรียมสังคมไทยให้พร้อมรับศตวรรษที่ 21
2. สุขวิชโนมิกส์: สิทธิมนุษยชนในฐานะรากฐานเชิงโครงสร้าง
สุขวิชโนมิกส์มิได้มองการศึกษาเป็นเพียงบริการสาธารณะ แต่ถือว่าเป็น สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ที่ทุกคนพึงได้รับ โดยตั้งเป้าหมายในการลบล้างอุปสรรคทุกชนิดในการเข้าถึงการศึกษา เช่น อายุ เพศ ที่อยู่อาศัย ความพิการ หรือฐานะทางเศรษฐกิจ
นโยบายนี้ตั้งอยู่บน “เสาหลักแห่งความมั่นคงทางสังคม” 4 ประการ ได้แก่:
ความเสมอภาคทางการศึกษา
การเข้าถึงบริการสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน
ความยุติธรรมและหลักนิติธรรม
ความมั่นคงในชีวิตและอาชีพ
ตัวอย่างเด่นเชิงรูปธรรมคือ การขยายการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนอายุ 3–17 ปี จำนวน 16.68 ล้านคน ภายในเวลาเพียง 3 ปี (พ.ศ. 2538–2540) โดยมีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่างมหาศาล:
ปรับปรุงโรงเรียนจำนวน 29,845 แห่ง
สร้างห้องเรียนใหม่ 38,112 ห้อง
สร้างอาคารเอนกประสงค์ 12,227 หลัง
ติดตั้งห้องน้ำที่ถูกสุขอนามัย 11,257 แห่ง
จัดสรรอุปกรณ์การเรียน อาหารกลางวัน และรถรับส่ง ให้เด็กยากจนทั่วประเทศ
3. ผลกระทบทางการเมือง: การสร้างรัฐพลเมืองอย่างสันติ
หลักการของสุขวิชโนมิกส์มีบทบาทสำคัญในการร่าง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่รับรอง:
การศึกษาขั้นพื้นฐานฟรี 12 ปี (มาตรา 43)
สิทธิเรียนอนุบาล 3 ปี (มาตรา 80)
สิทธิการรักษาพยาบาล (มาตรา 52)
สิทธิเหล่านี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์ในการยืนยันว่า การศึกษา และ การรักษาพยาบาล คือสิทธิของมนุษย์ทุกคนอย่างแท้จริง โดยไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ
ที่สำคัญคือ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากอำนาจนิยมหรือความรุนแรง แต่เกิดจากกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างกว้างขวาง เป็นรูปธรรมของ “ประชาธิปไตยเชิงนโยบาย” ที่แท้จริง ซึ่งมาจากการเลือกตั้งและกระบวนการพัฒนาแบบมีส่วนร่วม
4. สรุป: สุขวิชโนมิกส์ในฐานะหนทางสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
สุขวิชโนมิกส์หาใช่เพียงกรอบนโยบายด้านการศึกษาเท่านั้น หากแต่เป็น ยุทธศาสตร์ด้านสิทธิมนุษยชนเชิงบูรณาการ ที่ฝังรากความยุติธรรม ความเสมอภาค และสันติภาพ ลงในกลไกรัฐและการบริหารประเทศอย่างลึกซึ้ง
ในบริบทปัจจุบัน ซึ่งประเทศไทยเผชิญกับวิกฤตความเหลื่อมล้ำและความขัดแย้งทางการเมือง สุขวิชโนมิกส์จึงควรได้รับการทบทวนและพัฒนา ในฐานะหนทางที่ยั่งยืนในการสร้างชาติสำหรับศตวรรษที่ 21