เจตสิกที่ประกอบใน รูปาวะจะระจิต กับ เจตสิกที่ประกอบใน อรูปาวะจะระจิต

กระทู้สนทนา
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ดูประกอบกับคลิปนี้ครับ
----
402

น263

น264

น265

404

406

น266

1.33.12 ท่านก็จะกล่าวถึงเจตสิกระดับ รูปาวจร
นี่นะ เจตสิกแบบรูปาวจรก็มี
อะวะเสสุ ปะนะ รูปาวะจะระจิตตะ สัมปะยุตตา รูปาวะจะรา,
เจตสิกประเภทรูปาวะจรก็คือเป็นเจตสิกที่สัมปะยุตกับ รูปาวะจะระจิต นั่นเอง
ตัตถะ ปะฐะมะจิตตะ สัมปะยุตตา ตาวะ กามาวะจะระปะฐะมะจิตเต วุตเตสุ ฐะเปตตะวา วิระติตตะยัง อะวะเสสา เวทิตัพพา.
พึงทราบในจิตดวงที่ 1 ก่อน ดวงที่ 1 เราได้ทราบไปแล้ว
ทีนี้ เว้นเฉพาะ วิรตี 3 ที่เคยกล่าวเอาไว้แล้วใน กามาวจรกุศลจิตดวงที่ 1
ก็สามารถเกิดได้ใน รูปาวะจร ทั้งหมดนะครับ เว้นเฉพาะ วิรตี 3
ฉนั้น วิรตี 3 จะไม่เกิดใน รูปาวะจะระกุศล นะครับ วิรตี 3 ไม่เกิด นะครับทำนองนี้ 1.34.21
ท่านก็เลยพูดถึงเงื่อนไขต่อไปว่า
วิระติโย ปะนะ กามาวะจะระกุสะละโลกุตตะเรสะเววะ อุปปัชชันติ ,
ปะนะ อันหนึ่ง
วิระติโย วิระตีทั้งหลายคือ
คือ วิรตี 3 นี่นะ
ย่อมเกิดใน กามาวะจะระกุศล กับ โลกุตตะระ เท่านั้น
วิรตีนะ เกิดใน กามาวจรกุศล กับ โลกุตตระ เท่านั้นนะ
นะ อัญเญสุ
ไม่เกิดที่อื่น
อย่างนี้ทำนองนี้ และเกิดใน กามาวจรกุศล ก็เป็นแบบ อนิยะตะ
ไม่เกิดในที่อื่น ไม่เกิดใน รูปาวะจร ไม่เกิดในอรูปาวะจร
เห็นไหมที่เขาบอกว่าคนดีมีศีล จริงอยู่ ไม่ตรงเจตสิกเลย อุตส่าห์พูดดีนึกว่ามีสัมมาวาจา ไม่มีเลยนะ
พูดดีไม่มีสัมมาวาจาหรอก นะครับ ไม่มีโดยสภาวะ นะ
แต่เราจะไปพูดอย่างนี้เดี๋ยวทะเลาะกัน เราก็เงียบๆไว้ก่อน
ถ้าโดยสภาวะเนี่ย สัมมาวาจา ก็คือ งดเว้นจาก วจีทุจริต ต้องมีการงดเว้นนั่นแหละมันถึงจะเกิดเจตสิกชนิดนี้
ตอนเราไม่พูด ก็เป็นเจตสิกอื่นๆไป ก็ไม่ว่ากัน
แต่ในที่นี้ เจตสิกนี้จะเกิดเมื่อ นานๆเกิดทีนึง ต่อเมื่องดเว้น วจีทุจริต
นะอย่างนี้นะครับ 1.35.49
ท่านจึงบอกรายละเอียดตรงนี้ไว้
ฉนั้น ในจิตดวงที่ 1 ที่เป็น รูปาวะจร ชั้น ปฐมฌาน นะครับ ก็จะมีเจตสิกเกิดประกอบหลักๆอยู่ 33 เหมือนเดิม นะครับ กับ 34 เหมือนเดิม 1.36.12
นะอย่างนี้ 33 นี่เกิดแน่นอน
ส่วน 34 นี่ บางทีก็มี กรุณา บางทีก็มี มุทิตา
เกิด 33 กับ 34 เหมือนเดิม แต่ว่าไม่มีวิรตี
พอเข้าใจไหมครับ
ใส่จำนวนเหมือนกันก็ยังงงนะ
----
ต่อไปดวงที่สอง
ก็เว้นวิตกไป
ทุติเยนะ วิตักกะวัชชา ทะวัตติงสะ วา เตตติงสะ วา .
ฌานที่สอง เว้นวิตก ก็เหลือ ทะวัตติงสะ 32 วาหรือ เตตติงสะ เป็น 33
เว้นวิตกไป
----
ต่อไป ฌานที่ 3
ตะติเยนะ วิจาระวัชชา เอกะติงสะ วา ทะวัตติงสะ วา .
เหลือ เจตสิก 31 หรือ 32 โดยเว้น วิจาระ ไป
----
ฌานที่ 4
จตุตเถนะ ตะโต ปีติวัชชา ติงสะ วา เอกะติงสะ วา .
เจตสิกเหลือ 30 หรือ 31 โดยเว้น ปีติ ไป
----
ฌานที่ 5
ปัญจะเมนะ ตะโต กะรุณามุทิตาวัชชา
เว้นกรุณาและมุทิตา ก็เลยเหลือเจตสิก 30 อย่างเดียว ติงสะ 30 อย่างเดียว อย่างนี้นะครับ
แต่เวทนาให้เปลี่ยน
โสมะนัสสัฎฐาเน อุเปกขา ปะวิฎฐา .
เอาเวทนา อุเบกขา ประกอบเข้าไปในส่วนที่เป็น โสมนัส ใน ปัญจะเมน ปัญจะมฌาน เป็น อุเบกขาเวทนา 1.38.03
----
เอวัง รูปาวะจะระกุสะละเจตะสิกา เวทิตัพพา .
พึงทราบ รูปาวจรกุศลเจตสิก อย่างนี้
1.38.14
พออ่านแล้วรู้เรื่องไหมครับ
รู้เรื่องแน่นอนเลยน๊อ
เอาละเดี๋ยวเขียนให้สักนิดนึง
จะได้เหมือนผ่อนสมองหน่อยนึงนะครับต่อไปเลย เดี๋ยวจะคิดเยอะไปก็จะเป็นรูปาวะจะระกุศลเจตสิก
ก็คงเข้าใจแล้วแบบนี้
ในปัญจมฌานก็มีเวทนา เป็นอุเบกขา ครับทำนองนี้นะครับ 1.41.28
ส่วนอะรูปาวะจะระกุศลเจตะสิก เนี่ยก็ง่ายเลย เหมือนอันนี้เลย คือ เหมือนฌานที่ 5
เนื่องจากว่า อะรูปาวะจะรุกุสลเนี่ย ก็คือปัญจะมะฌานนั่นแหละ เรียกเป็นแต่อารมณ์เฉยๆ นะครับ
เราก็จำตัวนี้ไว้ เดี๋ยวไปเปิดดูคำขยาย อะรูปาวะจะระกุสลเจตะสิกต่อไป มาดูกัน
ท่านก็บอกอย่างนี้นะครับ 1.42.07
อะรูปาวะจะระจิตตะสัมปะยุตตา อะรูปาวะจะรา ,
อรูปาวะจะระเจตสิก ก็คือ เจตสิกที่เกิดประกอบกับ อรูปาวจรจิตนั่นเอง
เต ปะนะ รูปาวะจะระปัญจะเม วุตตะนะเยนะ เวทิตัพพา .
เจตสิกทั้งหลายเหล่านั้น พึงทราบโดยนัยที่กล่าวไว้แล้วใน รูปาวจรปัญจมฌานจิต ฌานลำดับที่ 5
อะรูปาวะจะระภาโวเวตถะ วิเสโส .
ที่ต่างกันก็เพียงแต่ เป็นภาวะ อะรูปะวะจะระ เฉยๆ
เปลี่ยนแต่อารมณ์เป็น อรูปสัญญา
ส่วนรูปาวะจะระ อารมณ์เขาเป็น รูปสัญญา เท่านั้น 1.42.54
ส่วนตัวสภาวะ หรือ ความสงบ เหมือนตัว ปัญจมฌาน เลยนะครับ
เอ้าต่อไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่