เรื่องนี้อยู่ในคัมภีร์อภิธัมมาวตาร
388

250

251

27.03
ต่อไปลำดับที่ 32 ก็คือ ตัตตะระมัชฌัชตัตตา เจตสิกนะครับ
ท่านก็ขยายชื่อเอาไว้บอกว่า เตสุ เตสุ ธัมเมสุ มัชฌัตตัตภาโว ตัตตะระมัชฌัชตัตตา
ภาวะความเป็นกลางในธัมมะทั้งหลายเหล่านั้น เหล่านั้น นา
มัชฌัตตัตภาวะ ภาวะความเป็นกลางในธรรมทั้งหลายเหล่านั้น
ธรรมทั้งหลายเหล่านั้น ก็คือธรรมทั้งหลายที่เกิดร่วมกันในจิตนั่นแหละมีทั้งจิตและเจตสิกอื่นๆอีกมากมายที่เกิดประกอบร่วมกัน
อย่างในกามาวะจะระกุศลจิตดวงที่ 1 นี้ ก็จะมีจิตเกิดขึ้น 1 ดวง พร้อมกับเจตสิกเกิดประกอบ นา ปกติก็จะมีจำนวน 33 เจตสิก27.59
จิต 1 + เจตสิก 33 อันนี้มันเกิดแน่นอนเจตสิก 33 นี่เกิดแน่นอนเลยนาอย่างนี้
แต่บางครั้งก็มี 34 นะครับ
ฉนั้นได้สูงสุด 34 ในกามาวจรกุศลจิตดวงที่ 1
ครับได้ 34 เนื่องจากว่า อีก 5 ตัวนี่เป็น อนิยตะ เยวาปะนะกะ มี กรุณา มุทิตา สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
พวกนี้เขาจะเกิดได้ทีละ 1 ไม่เกิดด้วยกัน และก็ไม่ได้เกิดตลอด นะ
อันที่เกิดตลอดคือ เจตสิก 33 ตัวนี้เกิดตลอด ทำนองนี้
ใน 33 นี้ก็แยกออกมาเป็นที่มีชื่อปรากฏในพระพุทธพจน์เนี่ย 29 + เยวาปนกะ 4 นี่อย่างนี้พอเข้าใจไหมครับ
ตอนนี้เราก็เรียนอัน 4 ส่วน29 เรียนไปคราวที่แล้ว ท่านใดไม่ได้เรียนก็กลับไปฟังในเว็บไซค์ อาจารย์สุภีร์ ดอทคอม นะครับ
ทีนี้มาดู ตัตตระมัชฌัชตัตตา 29.11 ที่เป็นเจตสิกที่สำคัญมากนะ
แต่ว่าชื่อมันก็ยาก แต่พอเรียนละเอียดๆไปแล้วนี่ยิ่งโดยเฉพาะการปฏิบัติธรรมเนี่ยไม่ว่าจะเป็นกรรมฐานประเภทสมาธิที่เป็นอัปปมัญญาภาวนา เนี่ย อุเบกขาภาวนา ก็คือ ตัตตรมัชฌัชตัตตา
หรือปฏิบัติวิปัสสนา จะทำโพธิปักขิยธรรมให้สมบูรณ์ นี่ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ก็คือ ตัตตรมัชฌัชตัตตา
เวลาเจาะเจตสิกแล้ว เวลาเจาะเจตสิกเราก็อย่าไปจริงจังมาก เพราะแม้จะเจาะว่าอันนี้คือเจตสิกนี้ ความจริงมันไม่เคยแยกจากคนอื่น มันก็คือเกิดกับเพื่อนเขานั่นแหละ นะ อย่างนี้นะครับ ทำนองนี้
แต่ว่าเวลาแยกละเอียด หมายถึง ท่านเจาะลงไปให้เห็นสภาวะ ให้เห็นลักษณะชัดเฉยๆ แต่ความจริงมันไม่แยกจากเพื่อนหรอกมันอยู่ด้วยกันอย่างนี้ นะครับ อ้าต่อไปนะครับ30.09
ภาวะความเป็นกลางในธรรมทั้งหลายเหล่านั้น ก็คือ ธรรมมะทั้งหมดนั้น ทั้งจิตและเจตสิกทั้งหมดที่เกิดประกอบร่วมกันนั้นเรียกว่า ตัตตรมัชฌัชตัตตา
ตัตตระ ก็คือ ในธรรมเหล่านั้นเหล่านั้น
มัชฌัชตัตตา คือ ในความเป็นกลาง
สา จิตตะ เจตะสิกานัง สะมะวาหิตะลักขะณา
ตัตตรมัชฌัชตัตตาเจตสิก นั้น มีลักษณะก็คือ ทำให้จิตและเจตสิกทั้งหลายดำเนินไปโดยสม่ำเสมอ
สะมะ วาหิตะ
วาหิตะ ก็คือ ให้ดำเนินไป ให้เป็นไป
สะมะ คือ โดยสม่ำเสมอ
ให้เป็นไปโดยไม่ล่วงเลยกันและกัน ให้มันพอดีกัน ไม่มีใครโดดเด่นกว่าใคร
ต่างคนต่างก็ทำหน้าที่เหมือนคนในห้อง ต่างคนต่างก็ทำหน้าที่ไม่ใช่จะมีใครสูงกว่าใครต่ำกว่าใครทุกคนก็มีความสำคัญด้วยกัน
คนที่ควบคุมให้ทุกคนเป็นไปได้อย่างสม่ำเสมอ ก็คือ ตัตตรมัชฌัชตัตตา 31.15
31.15
ตัตตรมัชฌัตตัตตาเจตสิก นั่นเอง ท่านจึงเรียกว่า สะมะวาหิตะลักขะณา
มีลักษณะคือ นำจิตและเจตสิกทั้งหลายไปโดยสม่ำเสมอ
อูนาธิกะตานิวาระณะระสา
เจตสิกนี้มีกิจหน้าที่ มีระสะ ก็คือ ห้ามความหย่อนและก็ความยิ่ง นะ ห้ามไม่ให้มีความหย่อนและความยิ่ง ให้มันพอดีกัน
อูนา แปลว่า หย่อน
อธิกะ แปลว่า ยิ่ง นะ
อูนะอะธิกะตา
นิวาระณะ แปลว่า ห้าม
ห้ามความหย่อน และความยิ่ง ของจิตและเจตสิก
ก็คือไม่ให้มีใครโดดกว่าใครว่างั้นเถอะ
ในจิตหนึ่งๆถ้าโดดกว่าใครแล้วจิตมันจะไม่เกิด นาก็ให้มันพอดีกัน ควบคุม
ตัวควบคุมก็คือ ตัตตะระมัชฌัชตัตตาเจตสิก นะครับ
หรือมีกิจก็คือ ปักขะปาตุปัจเฉทะนะระสา วา
วา หรือว่า
มีกิจอย่างหนึ่ง อธิบายอีกแนวหนึ่งก็คือ ตัตตะระมัชฌัชตัตตา มีหน้าที่ในการกำจัดความตกไปข้างใดข้างหนึ่งของจิตและเจตสิก นา
อุปัจเฉทะ แปลว่า กำจัด หรือ ตัด
ตัดการตกไป ปาตะ แปลว่า ตกไป
ปักขะ คือ ข้าง
กำจัดหรือตัดความตกไปข้างใดข้างหนึ่ง อันนี้เป็นหน้าที่ของ ตัตตะระมัชฌัชตัตตา
หลังๆมาเอาไปใช้ในทางพระสูตรส่วนใหญ่ท่านก็เลยไม่ใช้ ตัตตรมัชฌัชตัตตา เพราะว่าบางทีคำมันยาก นา เป็นศัพท์วิชาการเกินไป ท่านก็เอาไปใช้เป็นภาษาคนธรรมดา ก็คือใช้คำว่า อุเบกขา ก็คือภาวะที่ตัดความตกไปข้างใดข้างหนึ่ง
อุเบกขา ก็คือ การไม่ตกไปข้างใดข้างหนึ่ง หรือแม้มีข้างเดียวก็ไม่ตกไป
อย่างเช่น มีความสุขแล้วไม่ตกไปในความสุข รู้ว่ามีสุขแต่จิตไม่ตกไปในความสุข อย่างนี้
อย่างเช่น ในฌานที่ 3 มีความสุขอยู่แต่ไม่ตกไปในความสุข อย่างนี้เรียกว่า อุเปกโก ก็คือ ตัตตรมัชฌัชตัตตา นี่แหละ
ตัตตรมัชฌัชตัตตา ในฌานที่ 3 33.31
หรือในอุเบกขาพรหมวิหาร หรืออุเบกขาอัปปมัญญา ความรู้ว่าสัตว์ทั้งหลายต่างก็มีกรรมเป็นของตน ไม่ตกไปเกลียดในกรรมชั่วของคนอื่น ไม่ตกไปรักในกรรมดีของคนอื่นเพราะรู้ว่ากรรมชั่วก็เป็นความชั่วของเขา 33.52
33.52
กรรมดีก็เป็นความดีของเขา ไม่เกี่ยวกะเรา
ก็ไม่ตกไป การไม่ตกไปในความดีและความชั่วของคนอื่น ไม่ไปรักคนทำดี ไม่ไปเกียจคนทำชั่ว ก็เรียกว่า อุเบกขาภาวนา อย่างนี้
ฉนั้นอุเบกขาก็คือกิจหน้าที่อันหนึ่งของตัตตรมัชฌัชตัตตานี่เอง
เวลาสงเคราะห์เจตสิกเนี่ย อุเบกขาภาวนา ก็จะเป็น ตัตตรมัชฌัชตัตตาเจตสิก นั่นเอง อย่างนี้ จนกระทั่ง ถ้าเจริญโพธิปักขิยธรรมเนี่ย ก็เลยจากสมาธิมาก็จะเป็น ตัตตรมัชฌัชตัตตา
หลังจาก สมาธิสัมโพชฌงค์ ก็จะเป็น อุเบกขาสัมโพชฌงค์
อุเบกขาสัมโพชฌงค์ โดยสภาวะถ้าเจาะตรงตัวแล้วก็คือตัวนี้แหละ ตัตตรมัชฌัชตัตตา นี้แหละ
งั้นตัวนี้ถ้าใครจะศึกษา รายละเอียดจะเยอะมากนะครับ เอาไปปฏิบัติ เอาไปฝึก นะ
ฝึกตัวนี้ขึ้นมาแล้วช่วยอันอื่นๆได้เยอะ เพราะว่าพออันนี้มันเพิ่มขึ้น ตัวอื่นๆมันก็จะพอดีกัน
อย่างถ้าไม่ฝึกตัวนี้ขึ้นมาเนี่ย บางทีก็สมาธิสงบเกินไปเลยเถิดปัญญา บางทีก็ปัญญาเยอะเกินไปเลยจากสมาธิ นา
ฉนั้นก็เลยต้องใช้ตัวนี้เป็นตัวคุมทีหลัง
อย่างพวกโพชฌงค์นี่ส่วนใหญ่ก็จะมีฝ่ายปัญญามาก่อน สติ ธัมมะ วิริยะ อันนี้เขาเป็นพวกฝ่ายปัญญา
แล้วก็มีฝ่ายสมาธิ
ทีนี้เพื่อไม่ให้ฝ่ายปัญญา กับ ฝ่ายสมาธิ มันเลยกันและกัน ให้มันพอดี
ก็ต้องมี อุเบกขาสัมโพชฌงค์มาเป็นตัวกำกับทั้งสอง ให้ปัญญากับสมาธิมันพอดีกัน
การพอดีกันมันจึงเป็น มัชฌิมาปฏิปทา
มัค 8 มันจึงจะเกิด
ถ้ามันไม่พอดีกันมันก็จะไม่เกิดมัค อันนี้อย่างนี้ทำนองนี้
35.39
อันนี้ก็เรียกว่า คำอธิบายรายละเอียดนะ อธิบายโดยสภาวะเนี่ยมันก็ละเอียด แต่ว่าสภาวะในจิตนี่ที่เรียกว่ามันเร็วกว่านั้นเยอะ
เวลาเราพูดก็พูดตามหนังสืออะไรอย่างนี้นะ อันนี้นะครับ
ตัตตรมัชฌัตตัตตา มีกิจหน้าที่ก็คือ ห้ามความหย่อนและความยิ่ง
หรือ มีกิจก็คือ ตัดกำจัดความตกไปในฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
คำว่า ตกไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ใช่มีสองฝ่ายนะ อาจมีฝ่ายเดียวเลยก็ได้ แต่ไม่ตกไป อย่างนี้
เช่นว่ามีความทุกข์ แต่ว่าไม่ตกไปในความทุกข์ ทุกข์ก็มีอยู่ ก็เข้าใจอยู่แต่ทำให้ใจเป็นกลางได้
หรือมีความสุขก็ไม่ตกไปในสุขได้ เสวยสุขได้แต่ไม่ตกไปในสุขก็ได้ อย่างนี้นะครับ
เขาก็เรียกว่า เป็นผู้มีอุเบกขาเสวยความสุข อย่างนี้
ผู้ที่มีอุเบกขาสมบูรณ์ครบทุกทวาร ก็คือ พระอรหันต์ เขาเรียกว่า มีพลังคุปเปกขาที่สมบูรณ์ 36.41
ถ้าว่าโดยสภาวะ พลังคุปเปกขาตัวนั้น ก็คือ ตัตตรมัชฌัตตัตตา เช่นเดียวกัน
เห็นไหม พออธิบายไปมันก็จะเยอะขึ้นเรื่อยๆนะ ฉนั้นพอเรียนอภิธรรม เรียนได้ดีเนี่ย มีความเข้าใจพื้นฐานดี ก็จะเชื่อมไปสู่หมวดธรรมต่างๆได้สะดวกยิ่งขึ้น อธิบายได้ตรงสภาวะขึ้น ครับ
ไม่หลงคำด้วยนะ เพราะว่า บางทีใช้คำๆเดียวแต่หมายถึงหลายภาวะ จึงใช้ อุเบกขา เนี่ยบางทีก็หมายถึง ปัญญา ก็มี บางทีก็หมายถึง เวทนาเจตสิก 37.14
ก็มี บางทีก็หมายถึงเนี่ยก็มี หมายถึง ตัตตรมัชฌัตตัตตา ก็มี บางทีก็หมายถึง วิริยะ ก็มี อย่างนี้ทำนองนี้นะครับ
แต่บางครั้งก็กลับกันก็คือ ใช้หลายชื่อแต่หมายถึง อันเดียว
แต่บางที ใช้อันเดียว แต่หมายถึง หลายสภาวะ
ฉนั้นพระพุทธพจน์มียักเยื้องเยอะแยะเลย นะ พวกเราก็เลยต้องค่อยๆศึกษากัน
ต่อไป ปัจจุปัฎฐานะ ก็คือ อาการปรากฎ
มัชฌัตตัตภาวะ ปัจจุปัฎฐานา
ตัตตรมัชฌัตตัตตา นั้น มี อาการปรากฏก็คือ ภาวะความเป็นกลาง
มัชฌัตตัตภาวะ มีภาวะความเป็นกลาง37.58
----
วจนถ ลักขณาทิจตุกะ ของเจตสิกลำดับที่ 32 ก็คือ ตัตตะระมัชฌัชตัตตา เจตสิก
388
250
251
27.03
ต่อไปลำดับที่ 32 ก็คือ ตัตตะระมัชฌัชตัตตา เจตสิกนะครับ
ท่านก็ขยายชื่อเอาไว้บอกว่า เตสุ เตสุ ธัมเมสุ มัชฌัตตัตภาโว ตัตตะระมัชฌัชตัตตา
ภาวะความเป็นกลางในธัมมะทั้งหลายเหล่านั้น เหล่านั้น นา
มัชฌัตตัตภาวะ ภาวะความเป็นกลางในธรรมทั้งหลายเหล่านั้น
ธรรมทั้งหลายเหล่านั้น ก็คือธรรมทั้งหลายที่เกิดร่วมกันในจิตนั่นแหละมีทั้งจิตและเจตสิกอื่นๆอีกมากมายที่เกิดประกอบร่วมกัน
อย่างในกามาวะจะระกุศลจิตดวงที่ 1 นี้ ก็จะมีจิตเกิดขึ้น 1 ดวง พร้อมกับเจตสิกเกิดประกอบ นา ปกติก็จะมีจำนวน 33 เจตสิก27.59
จิต 1 + เจตสิก 33 อันนี้มันเกิดแน่นอนเจตสิก 33 นี่เกิดแน่นอนเลยนาอย่างนี้
แต่บางครั้งก็มี 34 นะครับ
ฉนั้นได้สูงสุด 34 ในกามาวจรกุศลจิตดวงที่ 1
ครับได้ 34 เนื่องจากว่า อีก 5 ตัวนี่เป็น อนิยตะ เยวาปะนะกะ มี กรุณา มุทิตา สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
พวกนี้เขาจะเกิดได้ทีละ 1 ไม่เกิดด้วยกัน และก็ไม่ได้เกิดตลอด นะ
อันที่เกิดตลอดคือ เจตสิก 33 ตัวนี้เกิดตลอด ทำนองนี้
ใน 33 นี้ก็แยกออกมาเป็นที่มีชื่อปรากฏในพระพุทธพจน์เนี่ย 29 + เยวาปนกะ 4 นี่อย่างนี้พอเข้าใจไหมครับ
ตอนนี้เราก็เรียนอัน 4 ส่วน29 เรียนไปคราวที่แล้ว ท่านใดไม่ได้เรียนก็กลับไปฟังในเว็บไซค์ อาจารย์สุภีร์ ดอทคอม นะครับ
ทีนี้มาดู ตัตตระมัชฌัชตัตตา 29.11 ที่เป็นเจตสิกที่สำคัญมากนะ
แต่ว่าชื่อมันก็ยาก แต่พอเรียนละเอียดๆไปแล้วนี่ยิ่งโดยเฉพาะการปฏิบัติธรรมเนี่ยไม่ว่าจะเป็นกรรมฐานประเภทสมาธิที่เป็นอัปปมัญญาภาวนา เนี่ย อุเบกขาภาวนา ก็คือ ตัตตรมัชฌัชตัตตา
หรือปฏิบัติวิปัสสนา จะทำโพธิปักขิยธรรมให้สมบูรณ์ นี่ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ก็คือ ตัตตรมัชฌัชตัตตา
เวลาเจาะเจตสิกแล้ว เวลาเจาะเจตสิกเราก็อย่าไปจริงจังมาก เพราะแม้จะเจาะว่าอันนี้คือเจตสิกนี้ ความจริงมันไม่เคยแยกจากคนอื่น มันก็คือเกิดกับเพื่อนเขานั่นแหละ นะ อย่างนี้นะครับ ทำนองนี้
แต่ว่าเวลาแยกละเอียด หมายถึง ท่านเจาะลงไปให้เห็นสภาวะ ให้เห็นลักษณะชัดเฉยๆ แต่ความจริงมันไม่แยกจากเพื่อนหรอกมันอยู่ด้วยกันอย่างนี้ นะครับ อ้าต่อไปนะครับ30.09
ภาวะความเป็นกลางในธรรมทั้งหลายเหล่านั้น ก็คือ ธรรมมะทั้งหมดนั้น ทั้งจิตและเจตสิกทั้งหมดที่เกิดประกอบร่วมกันนั้นเรียกว่า ตัตตรมัชฌัชตัตตา
ตัตตระ ก็คือ ในธรรมเหล่านั้นเหล่านั้น
มัชฌัชตัตตา คือ ในความเป็นกลาง
สา จิตตะ เจตะสิกานัง สะมะวาหิตะลักขะณา
ตัตตรมัชฌัชตัตตาเจตสิก นั้น มีลักษณะก็คือ ทำให้จิตและเจตสิกทั้งหลายดำเนินไปโดยสม่ำเสมอ
สะมะ วาหิตะ
วาหิตะ ก็คือ ให้ดำเนินไป ให้เป็นไป
สะมะ คือ โดยสม่ำเสมอ
ให้เป็นไปโดยไม่ล่วงเลยกันและกัน ให้มันพอดีกัน ไม่มีใครโดดเด่นกว่าใคร
ต่างคนต่างก็ทำหน้าที่เหมือนคนในห้อง ต่างคนต่างก็ทำหน้าที่ไม่ใช่จะมีใครสูงกว่าใครต่ำกว่าใครทุกคนก็มีความสำคัญด้วยกัน
คนที่ควบคุมให้ทุกคนเป็นไปได้อย่างสม่ำเสมอ ก็คือ ตัตตรมัชฌัชตัตตา 31.15
31.15
ตัตตรมัชฌัตตัตตาเจตสิก นั่นเอง ท่านจึงเรียกว่า สะมะวาหิตะลักขะณา
มีลักษณะคือ นำจิตและเจตสิกทั้งหลายไปโดยสม่ำเสมอ
อูนาธิกะตานิวาระณะระสา
เจตสิกนี้มีกิจหน้าที่ มีระสะ ก็คือ ห้ามความหย่อนและก็ความยิ่ง นะ ห้ามไม่ให้มีความหย่อนและความยิ่ง ให้มันพอดีกัน
อูนา แปลว่า หย่อน
อธิกะ แปลว่า ยิ่ง นะ
อูนะอะธิกะตา
นิวาระณะ แปลว่า ห้าม
ห้ามความหย่อน และความยิ่ง ของจิตและเจตสิก
ก็คือไม่ให้มีใครโดดกว่าใครว่างั้นเถอะ
ในจิตหนึ่งๆถ้าโดดกว่าใครแล้วจิตมันจะไม่เกิด นาก็ให้มันพอดีกัน ควบคุม
ตัวควบคุมก็คือ ตัตตะระมัชฌัชตัตตาเจตสิก นะครับ
หรือมีกิจก็คือ ปักขะปาตุปัจเฉทะนะระสา วา
วา หรือว่า
มีกิจอย่างหนึ่ง อธิบายอีกแนวหนึ่งก็คือ ตัตตะระมัชฌัชตัตตา มีหน้าที่ในการกำจัดความตกไปข้างใดข้างหนึ่งของจิตและเจตสิก นา
อุปัจเฉทะ แปลว่า กำจัด หรือ ตัด
ตัดการตกไป ปาตะ แปลว่า ตกไป
ปักขะ คือ ข้าง
กำจัดหรือตัดความตกไปข้างใดข้างหนึ่ง อันนี้เป็นหน้าที่ของ ตัตตะระมัชฌัชตัตตา
หลังๆมาเอาไปใช้ในทางพระสูตรส่วนใหญ่ท่านก็เลยไม่ใช้ ตัตตรมัชฌัชตัตตา เพราะว่าบางทีคำมันยาก นา เป็นศัพท์วิชาการเกินไป ท่านก็เอาไปใช้เป็นภาษาคนธรรมดา ก็คือใช้คำว่า อุเบกขา ก็คือภาวะที่ตัดความตกไปข้างใดข้างหนึ่ง
อุเบกขา ก็คือ การไม่ตกไปข้างใดข้างหนึ่ง หรือแม้มีข้างเดียวก็ไม่ตกไป
อย่างเช่น มีความสุขแล้วไม่ตกไปในความสุข รู้ว่ามีสุขแต่จิตไม่ตกไปในความสุข อย่างนี้
อย่างเช่น ในฌานที่ 3 มีความสุขอยู่แต่ไม่ตกไปในความสุข อย่างนี้เรียกว่า อุเปกโก ก็คือ ตัตตรมัชฌัชตัตตา นี่แหละ
ตัตตรมัชฌัชตัตตา ในฌานที่ 3 33.31
หรือในอุเบกขาพรหมวิหาร หรืออุเบกขาอัปปมัญญา ความรู้ว่าสัตว์ทั้งหลายต่างก็มีกรรมเป็นของตน ไม่ตกไปเกลียดในกรรมชั่วของคนอื่น ไม่ตกไปรักในกรรมดีของคนอื่นเพราะรู้ว่ากรรมชั่วก็เป็นความชั่วของเขา 33.52
33.52
กรรมดีก็เป็นความดีของเขา ไม่เกี่ยวกะเรา
ก็ไม่ตกไป การไม่ตกไปในความดีและความชั่วของคนอื่น ไม่ไปรักคนทำดี ไม่ไปเกียจคนทำชั่ว ก็เรียกว่า อุเบกขาภาวนา อย่างนี้
ฉนั้นอุเบกขาก็คือกิจหน้าที่อันหนึ่งของตัตตรมัชฌัชตัตตานี่เอง
เวลาสงเคราะห์เจตสิกเนี่ย อุเบกขาภาวนา ก็จะเป็น ตัตตรมัชฌัชตัตตาเจตสิก นั่นเอง อย่างนี้ จนกระทั่ง ถ้าเจริญโพธิปักขิยธรรมเนี่ย ก็เลยจากสมาธิมาก็จะเป็น ตัตตรมัชฌัชตัตตา
หลังจาก สมาธิสัมโพชฌงค์ ก็จะเป็น อุเบกขาสัมโพชฌงค์
อุเบกขาสัมโพชฌงค์ โดยสภาวะถ้าเจาะตรงตัวแล้วก็คือตัวนี้แหละ ตัตตรมัชฌัชตัตตา นี้แหละ
งั้นตัวนี้ถ้าใครจะศึกษา รายละเอียดจะเยอะมากนะครับ เอาไปปฏิบัติ เอาไปฝึก นะ
ฝึกตัวนี้ขึ้นมาแล้วช่วยอันอื่นๆได้เยอะ เพราะว่าพออันนี้มันเพิ่มขึ้น ตัวอื่นๆมันก็จะพอดีกัน
อย่างถ้าไม่ฝึกตัวนี้ขึ้นมาเนี่ย บางทีก็สมาธิสงบเกินไปเลยเถิดปัญญา บางทีก็ปัญญาเยอะเกินไปเลยจากสมาธิ นา
ฉนั้นก็เลยต้องใช้ตัวนี้เป็นตัวคุมทีหลัง
อย่างพวกโพชฌงค์นี่ส่วนใหญ่ก็จะมีฝ่ายปัญญามาก่อน สติ ธัมมะ วิริยะ อันนี้เขาเป็นพวกฝ่ายปัญญา
แล้วก็มีฝ่ายสมาธิ
ทีนี้เพื่อไม่ให้ฝ่ายปัญญา กับ ฝ่ายสมาธิ มันเลยกันและกัน ให้มันพอดี
ก็ต้องมี อุเบกขาสัมโพชฌงค์มาเป็นตัวกำกับทั้งสอง ให้ปัญญากับสมาธิมันพอดีกัน
การพอดีกันมันจึงเป็น มัชฌิมาปฏิปทา
มัค 8 มันจึงจะเกิด
ถ้ามันไม่พอดีกันมันก็จะไม่เกิดมัค อันนี้อย่างนี้ทำนองนี้
35.39
อันนี้ก็เรียกว่า คำอธิบายรายละเอียดนะ อธิบายโดยสภาวะเนี่ยมันก็ละเอียด แต่ว่าสภาวะในจิตนี่ที่เรียกว่ามันเร็วกว่านั้นเยอะ
เวลาเราพูดก็พูดตามหนังสืออะไรอย่างนี้นะ อันนี้นะครับ
ตัตตรมัชฌัตตัตตา มีกิจหน้าที่ก็คือ ห้ามความหย่อนและความยิ่ง
หรือ มีกิจก็คือ ตัดกำจัดความตกไปในฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
คำว่า ตกไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ใช่มีสองฝ่ายนะ อาจมีฝ่ายเดียวเลยก็ได้ แต่ไม่ตกไป อย่างนี้
เช่นว่ามีความทุกข์ แต่ว่าไม่ตกไปในความทุกข์ ทุกข์ก็มีอยู่ ก็เข้าใจอยู่แต่ทำให้ใจเป็นกลางได้
หรือมีความสุขก็ไม่ตกไปในสุขได้ เสวยสุขได้แต่ไม่ตกไปในสุขก็ได้ อย่างนี้นะครับ
เขาก็เรียกว่า เป็นผู้มีอุเบกขาเสวยความสุข อย่างนี้
ผู้ที่มีอุเบกขาสมบูรณ์ครบทุกทวาร ก็คือ พระอรหันต์ เขาเรียกว่า มีพลังคุปเปกขาที่สมบูรณ์ 36.41
ถ้าว่าโดยสภาวะ พลังคุปเปกขาตัวนั้น ก็คือ ตัตตรมัชฌัตตัตตา เช่นเดียวกัน
เห็นไหม พออธิบายไปมันก็จะเยอะขึ้นเรื่อยๆนะ ฉนั้นพอเรียนอภิธรรม เรียนได้ดีเนี่ย มีความเข้าใจพื้นฐานดี ก็จะเชื่อมไปสู่หมวดธรรมต่างๆได้สะดวกยิ่งขึ้น อธิบายได้ตรงสภาวะขึ้น ครับ
ไม่หลงคำด้วยนะ เพราะว่า บางทีใช้คำๆเดียวแต่หมายถึงหลายภาวะ จึงใช้ อุเบกขา เนี่ยบางทีก็หมายถึง ปัญญา ก็มี บางทีก็หมายถึง เวทนาเจตสิก 37.14
ก็มี บางทีก็หมายถึงเนี่ยก็มี หมายถึง ตัตตรมัชฌัตตัตตา ก็มี บางทีก็หมายถึง วิริยะ ก็มี อย่างนี้ทำนองนี้นะครับ
แต่บางครั้งก็กลับกันก็คือ ใช้หลายชื่อแต่หมายถึง อันเดียว
แต่บางที ใช้อันเดียว แต่หมายถึง หลายสภาวะ
ฉนั้นพระพุทธพจน์มียักเยื้องเยอะแยะเลย นะ พวกเราก็เลยต้องค่อยๆศึกษากัน
ต่อไป ปัจจุปัฎฐานะ ก็คือ อาการปรากฎ
มัชฌัตตัตภาวะ ปัจจุปัฎฐานา
ตัตตรมัชฌัตตัตตา นั้น มี อาการปรากฏก็คือ ภาวะความเป็นกลาง
มัชฌัตตัตภาวะ มีภาวะความเป็นกลาง37.58
----