ระวัง! 5 กลุ่มโรคที่มาพร้อม “ฤดูฝน”



🌧️เมื่อฤดูฝนเริ่มต้นขึ้น หลายคนอาจรู้สึกเพลิดเพลินกับอากาศเย็นสบายและเสียงฝนที่โปรยปรายอย่างต่อเนื่อง แต่ในความชุ่มฉ่ำของฤดูนี้ ยังแฝงไว้ด้วยภัยเงียบที่หลายคนอาจมองข้าม นั่นคือ "โรคภัยไข้เจ็บ" ที่มักเกิดขึ้นหรือระบาดหนักในช่วงฤดูฝน ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนทุกช่วงวัย โดยเฉพาะเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ 

🌧️เนื่องจากฤดูฝนมีความชื้นสูง น้ำท่วมขัง และอุณหภูมิแปรปรวน ซึ่งเอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรค การแพร่กระจายของไวรัส และการขยายพันธุ์ของยุงลาย จึงทำให้โรคเหล่านี้พบได้บ่อยขึ้นในช่วงนี้ ได้แก่

⚠️โรคติดต่อทางน้ำและอาหาร เช่น ท้องเสียเฉียบพลัน อาหารเป็นพิษ หรืออหิวาตกโรค โรคเหล่านี้มักเกิดจากการบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส เช่น Salmonella, E. coli หรือ Norovirus ผู้ป่วยจะมีอาการถ่ายเหลวหลายครั้ง อาเจียน ปวดท้อง และอาจมีไข้ร่วมด้วย หากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม อาจเกิดภาวะขาดน้ำซึ่งเป็นอันตรายได้ วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือการล้างมือบ่อย ๆ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและหลังใช้ห้องน้ำ รวมถึงหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ผ่านการปรุงสุกหรือเก็บไว้นานเกินไป

⚠️โรคติดเชื้อผ่านทางแผลหรือเยื่อบุผิวหนัง เช่น โรคตาแดงและไข้ฉี่หนู โรคตาแดง สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อมีการสัมผัสน้ำหรือสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส ส่วนไข้ฉี่หนูเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Leptospira ที่อาศัยอยู่ในน้ำที่ปนเปื้อนปัสสาวะของสัตว์ ซึ่งสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านบาดแผลหรือเยื่อบุ เช่น ตา หรือปาก อาการของไข้ฉี่หนูคือมีไข้สูง ปวดกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะบริเวณน่อง ตาแดง และอาจมีอาการตับหรือไตอักเสบร่วมด้วย วิธีป้องกันคือหลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำท่วมขัง และหากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรสวมรองเท้าบูทกันน้ำและรีบล้างตัวหลังสัมผัสน้ำ

⚠️โรคระบบทางเดินหายใจ ซึ่งรวมถึงไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ และปอดบวม โรคเหล่านี้มักเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและความชื้นในอากาศซึ่งส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว อาการที่พบได้แก่ คัดจมูก ไอ เจ็บคอ มีไข้ และในกรณีของปอดบวมอาจมีอาการหายใจลำบากหรือเจ็บหน้าอกร่วมด้วย การป้องกันสามารถทำได้โดยหลีกเลี่ยงสถานที่แออัด รักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล และฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี

⚠️โรคที่มียุงเป็นพาหะ เช่น ไข้เลือดออก ไข้สมองอักเสบเจอี และมาเลเรีย โดยเฉพาะไข้เลือดออกที่มักระบาดหนักในช่วงฤดูฝน เพราะเป็นช่วงที่ยุงลายซึ่งเป็นพาหะของโรคเจริญเติบโตได้ดีในแหล่งน้ำขัง ผู้ป่วยจะมีไข้สูงเฉียบพลัน ปวดเมื่อยตามตัว และอาจมีจุดเลือดออกตามผิวหนัง ส่วนโรคไข้สมองอักเสบเจอีพบมากในพื้นที่ชนบท โดยเชื้อไวรัสจะแพร่ผ่านยุงที่กัดสัตว์แล้วมากัดคน ทำให้เกิดอาการไข้ ซึม ชัก และอาจหมดสติ มาเลเรียแม้จะพบน้อยลงในไทย แต่ก็ยังมีความเสี่ยงในบางพื้นที่ ป้องกันได้โดยการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง เช่น ปิดฝาภาชนะใส่น้ำ ใช้มุ้งหรือยากันยุง และหากอยู่ในพื้นที่เสี่ยงควรรับวัคซีนตามคำแนะนำ

⚠️โรคมือ เท้า ปาก ซึ่งพบได้บ่อยในเด็กเล็ก โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่โรงเรียนหรือศูนย์เด็กเล็กมักเกิดการระบาด โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่ม Enterovirus เช่น Coxsackievirus ติดต่อผ่านการสัมผัสน้ำลาย น้ำมูก หรืออุจจาระของผู้ป่วย อาการเริ่มต้นมักมีไข้ เจ็บปาก ตามด้วยผื่นหรือตุ่มน้ำที่มือ เท้า และภายในช่องปาก แม้จะเป็นโรคที่หายได้เอง แต่ในบางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบหรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือการล้างมือบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการพาเด็กไปสถานที่แออัดเมื่อมีการระบาด และรักษาความสะอาดของของเล่นและสิ่งแวดล้อม

💪ดังนั้นในช่วงฤดูฝน การดูแลสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะสภาพอากาศที่ชื้นและน้ำขังอาจกลายเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคหลายชนิด เพื่อให้ห่างไกลจากโรคที่มากับฤดูฝน ทุกคนสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำง่าย ๆ ในชีวิตประจำวันได้ดังนี้

✨ การล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดอยู่เสมอ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร หลังใช้ห้องน้ำ หรือหลังสัมผัสสิ่งของสาธารณะ  
✨หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ หรือช้อนส้อม 
✨เลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่เสมอ หลีกเลี่ยงอาหารที่ค้างคืนหรือไม่ผ่านการเก็บรักษาอย่างถูกสุขลักษณะ 
✨ดื่มน้ำสะอาด และหลีกเลี่ยงการใช้น้ำแข็งหรือน้ำดื่มที่อาจปนเปื้อนเชื้อโรค  
✨ใช้ช้อนกลางเมื่อรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น 
✅พักผ่อนให้เพียงพอ  
✅รับประทานอาหารที่มีประโยชน์  
✅ออกกำลังกายเป็นประจำ 
✅ควรเข้ารับวัคซีนที่จำเป็น เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ หรือวัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่