จากข่าวคุณต้าเหนิงติดเชื้อ ”ไวรัสตับอักเสบอี“ โดยเธอมีอาการเป็นไข้ หนาวสั่นและเหงื่อออก ค่าตับพุ่งสูงถึง 1,400 ตับโต มีถุงน้ำดีบวม และที่น่ากังวลที่สุดคือมีภาวะ "น้ำในปอด" ทำให้หลายคนหันมาสนใจโรคที่ชื่อว่า "ไวรัสตับอักเสบ อี" (Hepatitis E) กันอย่างจริงจัง
หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับตับอักเสบ A, B, หรือ C แต่ "E" ตัวนี้คืออะไร? ทำไมมันถึงสามารถโจมตีร่างกายได้อย่างรุนแรงจนส่งผลกระทบไปถึงอวัยวะอื่นอย่างปอดได้? #TheDarkLab วันนี้ จะพาไปเจาะลึกกลไกของไวรัสตัวนี้ ตั้งแต่ระดับโมเลกุลสู่การป้องกันที่เราทุกคนทำได้ค่ะ
หมายเหตุ ข้อมูลหลังจากนี้ไม่เกี่ยวกับดารา แต่เป็นการให้ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับเชื้อไวรัส กลไกการก่อโรค ติดได้อย่างไร และจะป้องกันอย่างไรค่ะ
📕 "ไวรัสตับอักเสบ E" คืออะไร?
ไวรัสตับอักเสบ อี (Hepatitis E Virus หรือ HEV) เป็นไวรัสชนิด RNA สายเดี่ยว ที่อยู่ในตระกูล Hepeviridae ค่ะ แม้ว่าส่วนใหญ่จะก่อให้เกิดการอักเสบแบบเฉียบพลัน (Acute) และหายได้เอง แต่ในบางกลุ่มผู้ป่วย มันสามารถพัฒนาไปสู่ภาวะตับวายเฉียบพลัน (Acute Liver Failure) ที่อันตรายถึงชีวิตได้

ความน่ากังวลของ HEV โดยเฉพาะในบ้านเรา คือ สายพันธุ์ (Genotype) ของมันค่ะ โดยสายพันธุ์ 1 และ 2 มักพบในพื้นที่ที่สุขอนามัยไม่ดี และติดต่อผ่าน "น้ำ" ที่ปนเปื้อน แต่สายพันธุ์ 3 และ 4 (ซึ่งพบมากในไทย) เป็น Zoonotic หรือ "โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน" ค่ะ
📕 ติดเชื้อผ่านช่องทางไหนบ้าง
การติดต่อของ HEV ที่พบบ่อยที่สุดคือ ทาง Fecal-oral หรือการปนเปื้อนเชื้อจากอุจจาระสู่การกิน โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่ 3 และ 4 มีแหล่งรังโรค (Reservoir) อยู่ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิด ที่สำคัญคือ "สุกร" (หมู) รวมถึงกวาง และหมูป่าด้วย
> การกินเนื้อหมู หรือเครื่องในหมูที่ปรุงไม่สุก (Sloppy cooked pork), หอยดิบ, หรือการดื่มน้ำที่ไม่สะอาด คือความเสี่ยงสูงสุด!
เชื้อไวรัสนี้ทนความร้อนได้พอสมควร การ "ลวก" หรือ "ปิ้งย่างกึ่งสุกกึ่งดิบ" แบบที่คนไทยนิยมในร้านหมูกระทะ อาจไม่เพียงพอที่จะฆ่าเชื้อ HEV ได้ค่ะ นี่จึงเป็นภัยเงียบที่อยู่ใกล้ตัวเรากว่าที่คิด
🧬 กลไกการก่อโรค: เมื่อ HEV บุกตับ (Pathophysiology)
เมื่อเชื้อ HEV เข้าสู่ร่างกาย (ส่วนใหญ่จากการกิน) มันจะเดินทางผ่านลำไส้และมุ่งตรงไปยังเป้าหมายหลัก: "ตับ" (Liver)
1. การบุกรุก (Invasion): ไวรัสจะเดินทางผ่านหลอดเลือดดำพอร์ทัล (Portal Vein) เข้าสู่ตับ และใช้โปรตีนบนผิวของมันจับกับตัวรับ (Receptor) บนผิว "เซลล์ตับ" (Hepatocyte) เพื่อบุกเข้าไปข้างใน
2. การแบ่งตัว (Replication): HEV เป็นไวรัส RNA สายเดี่ยว เมื่อเข้าไปในเซลล์ตับ มันจะ "ยึด" โรงงานของเซลล์เรา สั่งให้ผลิตสารพันธุกรรม (RNA) และโปรตีนของไวรัส เพื่อประกอบร่างเป็นไวรัสตัวใหม่จำนวนมหาศาล
3. "การโจมตีจากพวกเดียวกัน" (The Immune-Mediated Damage): นี่คือหัวใจสำคัญค่ะ! ความเสียหายหลักๆ ที่ทำให้เกิด "ตับอักเสบ" ไม่ได้เกิดจากตัวไวรัสที่ทำลายเซลล์โดยตรง (HEV is generally not directly cytopathic) แต่เกิดจาก "กองทัพภูมิคุ้มกัน" ของเราเอง
4. CTLs ผู้พิพากษา: เมื่อเซลล์ตับติดเชื้อ มันจะส่งสัญญาณ "ขอความช่วยเหลือ" (หรือ "ฟ้อง") โดยการแสดงชิ้นส่วนโปรตีนของไวรัส (Antigen) ไว้บนผิวเซลล์ กองกำลังสำคัญของเราคือ Cytotoxic T Lymphocytes (CTLs หรือ CD8+ T cells) จะมาตรวจพบ และมองว่าเซลล์ตับนี้ "ติดเชื้อ" ไปแล้ว จึงปล่อยสารเคมี (เช่น Granzymes, Perforin) สั่งให้เซลล์ตับนั้น "ฆ่าตัวตาย" (Apoptosis)
5. ผลลัพธ์คือ "ตับอักเสบ" (Hepatitis):
• ค่าตับพุ่ง: เมื่อเซลล์ตับถูกสั่งให้ฆ่าตัวตายและแตกสลายเป็นจำนวนมาก เอนไซม์ที่อยู่ข้างในเซลล์ (เช่น ALT และ AST) ก็จะรั่วทะลักออกมาในกระแสเลือด นี่คือที่มาของค่าตับที่พุ่งสูง
• ตัวเหลือง (Jaundice): การอักเสบและการตายของเซลล์ตับ ทำให้กลไกการจัดการกับ "บิลิรูบิน" (Bilirubin) หรือสารสีเหลืองในน้ำดี เสียหาย บิลิรูบินจึงคั่งในเลือดและไปสะสมตามผิวหนังและดวงตา ทำให้เรา "ตัวเหลือง ตาเหลือง"
6. การแพร่เชื้อ (Shedding): ไวรัสที่แบ่งตัวใหม่จะถูกปล่อยออกทางท่อน้ำดี (Bile) ซึ่งจะปนไปกับอุจจาระ และยังปนออกมาในกระแสเลือด (Viremia) ด้วย พร้อมที่จะไปติดคนอื่นต่อไปหากสุขอนามัยไม่ดี
โดยสรุป กลไกของ HEV คือการที่ระบบภูมิคุ้มกันของเรา "ทำงานอย่างแข็งขัน" ในการพยายามกำจัดไวรัส จนเกิดการทำลายล้างเซลล์ตับเป็นวงกว้างในเวลาอันสั้น ซึ่งในคนส่วนใหญ่ร่างกายจะกำจัดเชื้อได้เอง แต่หากการทำลายล้างนี้รุนแรงเกินไป ก็จะนำไปสู่ภาวะตับวายเฉียบพลันได้ค่ะ
📕อาการที่คุณต้องสงสัย
อาการของ HEV มักปรากฏหลังรับเชื้อ 2-10 สัปดาห์ และแบ่งได้เป็นระยะ ดังนี้:
▪️ระยะเริ่มต้น (Prodromal): อาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ อ่อนเพลียมาก (Fatigue), เบื่ออาหาร, ปวดกล้ามเนื้อ, คลื่นไส้, อาเจียน (หลายคนมักคิดว่าไม่เป็นอะไรมาก)
▪️ระยะอักเสบ (Icteric): อาการคลาสสิกของตับอักเสบเริ่มมา คือ ตัวเหลือง ตาเหลือง (Jaundice), ปัสสาวะสีเข้ม (เหมือนสีโค้กหรือน้ำปลา), และอุจจาระสีซีด
▪️ระยะรุนแรง (Severe): หากเกิดภาวะตับวายเฉียบพลัน จะมีอาการบวมน้ำ, สับสน (จากของเสียคั่ง), และอาจมีเลือดออกง่าย
ข้อควรระวัง: สตรีมีครรภ์ โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 3 ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงสุด หากติดเชื้อ HEV (โดยเฉพาะสายพันธุ์ 1) อัตราการเสียชีวิตจากตับวายเฉียบพลันอาจสูงถึง 20-30% ค่ะ
📕การตรวจวินิจฉัย (ทำอย่างไรถึงจะรู้?)
การวินิจฉัยจะเริ่มต้นจากการซักประวัติ (เช่น ประวัติการกินของดิบ) และการตรวจร่างกาย (ตัวเหลือง ตาเหลือง) แต่การยืนยันที่ชัดเจนที่สุดต้องอาศัย "ผลเลือด" ค่ะ
▪️การตรวจการทำงานของตับ (Liver Function Tests - LFTs): พบค่า AST (SGOT) และ ALT (SGPT) สูงมาก (อาจสูงกว่า 1,000 U/L) และค่าบิลิรูบิน (Bilirubin) สูง
▪️การตรวจหาภูมิคุ้มกัน (Serology): นี่คือการตรวจที่จำเพาะที่สุด
➕Anti-HEV IgM: ผลบวก (+) แปลว่ากำลังมีการติดเชื้อแบบ "เฉียบพลัน" (Active infection)
➕Anti-HEV IgG: ผลบวก (+) แปลว่า "เคยติดเชื้อ" มาแล้วในอดีต หรือกำลังอยู่ในระยะฟื้นตัว
▪️การตรวจสารพันธุกรรม (HEV RNA - PCR): ใช้ในการยืนยันการติดเชื้อในปัจจุบัน หรือติดตามการรักษาในกลุ่มผู้ป่วยเรื้อรัง (เช่นในผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ หรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง)
🛡️ การป้องกัน: "สุก" เท่านั้นคือทางรอด
ข่าวร้ายคือ ปัจจุบัน ไม่มียารักษาจำเพาะ สำหรับตับอักเสบ E แบบเฉียบพลัน การรักษาจึงเป็นแบบประคับประคอง (Supportive care) ตามอาการ เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ, ให้น้ำเกลือ, งดแอลกอฮอล์ และยาที่มีผลต่อตับ และเฝ้าระวังภาวะตับวายอย่างใกล้ชิด
ข่าวดีคือ HEV มีวัคซีน (Hecolin®) แต่...มีใช้เฉพาะในประเทศจีนเท่านั้น ยังไม่มีการรับรองให้ใช้ทั่วโลกค่ะ
📕ดังนั้น วิธีป้องกันที่ดีที่สุดสำหรับพวกเรา คือ:
▪️ "กินสุก ร้อน สะอาด": หัวใจหลักเลยค่ะ โดยเฉพาะ เนื้อหมู เครื่องในหมู และหอย ต้องปรุงให้สุกทั่วถึง 100% (อุณหภูมิภายในเนื้ออย่างน้อย 71°C)
▪️ หลีกเลี่ยงหมูดิบ: หมูกระทะ หมูจุ่ม ต้องย่างให้สุกจริง ๆ ไม่ใช่แค่พอเปลี่ยนสี ตับหวานที่ยังแดง หรือแหนมดิบ ควรงดเด็ดขาด
▪️ ล้างมือ: ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำ
▪️น้ำดื่ม: ดื่มน้ำที่ต้มสุก หรือน้ำดื่มบรรจุขวดที่ได้มาตรฐาน
ไวรัสตับอักเสบ E ไม่ใช่โรคไกลตัว แต่แฝงมากับวัฒนธรรมการกินของเราเอง การตระหนักรู้และปรับเปลี่ยนพฤติกรรม "การกิน" เพียงเล็กน้อย ก็สามารถป้องกันเราจากภาวะตับวายเฉียบพลันที่อันตรายถึงชีวิตได้แล้วค่ะ
📚 แหล่งอ้างอิง
1. World Health Organization (WHO). (2024, May 17). Hepatitis E. WHO Fact Sheets. Retrieved from
2. Centers for Disease Control and Prevention (CDC). (2020, July 28). Hepatitis E Questions and Answers for Health Professionals. CDC. Retrieved from
3. Kamar, N., Bendall, R., Legrand-Abravanel, F., & Dalton, H. R. (2012). Hepatitis E. The Lancet, 379(9835), 2477–2488.
#TheDarkLab #ไวรัสตับอักเสบE #HepatitisE #HEV #ตับอักเสบ #ค่าตับสูง #ตับวาย #น้ำในปอด #หมูดิบ #หมูกระทะ #ของดิบ #กินสุก #ไวรัส #สุขภาพ #ข่าวสุขภาพ #เตือนภัย #วิทยาศาสตร์การแพทย์ #นักเทคนิคการแพทย์ #ต้าเหนิง
CR
https://www.facebook.com/share/1FzyYNWVmx/?mibextid=wwXIfr
ทำความรู้จักกับ “ไวรัสตับอักเสบอี”
หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับตับอักเสบ A, B, หรือ C แต่ "E" ตัวนี้คืออะไร? ทำไมมันถึงสามารถโจมตีร่างกายได้อย่างรุนแรงจนส่งผลกระทบไปถึงอวัยวะอื่นอย่างปอดได้? #TheDarkLab วันนี้ จะพาไปเจาะลึกกลไกของไวรัสตัวนี้ ตั้งแต่ระดับโมเลกุลสู่การป้องกันที่เราทุกคนทำได้ค่ะ
หมายเหตุ ข้อมูลหลังจากนี้ไม่เกี่ยวกับดารา แต่เป็นการให้ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับเชื้อไวรัส กลไกการก่อโรค ติดได้อย่างไร และจะป้องกันอย่างไรค่ะ
📕 "ไวรัสตับอักเสบ E" คืออะไร?
ไวรัสตับอักเสบ อี (Hepatitis E Virus หรือ HEV) เป็นไวรัสชนิด RNA สายเดี่ยว ที่อยู่ในตระกูล Hepeviridae ค่ะ แม้ว่าส่วนใหญ่จะก่อให้เกิดการอักเสบแบบเฉียบพลัน (Acute) และหายได้เอง แต่ในบางกลุ่มผู้ป่วย มันสามารถพัฒนาไปสู่ภาวะตับวายเฉียบพลัน (Acute Liver Failure) ที่อันตรายถึงชีวิตได้

ความน่ากังวลของ HEV โดยเฉพาะในบ้านเรา คือ สายพันธุ์ (Genotype) ของมันค่ะ โดยสายพันธุ์ 1 และ 2 มักพบในพื้นที่ที่สุขอนามัยไม่ดี และติดต่อผ่าน "น้ำ" ที่ปนเปื้อน แต่สายพันธุ์ 3 และ 4 (ซึ่งพบมากในไทย) เป็น Zoonotic หรือ "โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน" ค่ะ
📕 ติดเชื้อผ่านช่องทางไหนบ้าง
การติดต่อของ HEV ที่พบบ่อยที่สุดคือ ทาง Fecal-oral หรือการปนเปื้อนเชื้อจากอุจจาระสู่การกิน โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่ 3 และ 4 มีแหล่งรังโรค (Reservoir) อยู่ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิด ที่สำคัญคือ "สุกร" (หมู) รวมถึงกวาง และหมูป่าด้วย
> การกินเนื้อหมู หรือเครื่องในหมูที่ปรุงไม่สุก (Sloppy cooked pork), หอยดิบ, หรือการดื่มน้ำที่ไม่สะอาด คือความเสี่ยงสูงสุด!
เชื้อไวรัสนี้ทนความร้อนได้พอสมควร การ "ลวก" หรือ "ปิ้งย่างกึ่งสุกกึ่งดิบ" แบบที่คนไทยนิยมในร้านหมูกระทะ อาจไม่เพียงพอที่จะฆ่าเชื้อ HEV ได้ค่ะ นี่จึงเป็นภัยเงียบที่อยู่ใกล้ตัวเรากว่าที่คิด
🧬 กลไกการก่อโรค: เมื่อ HEV บุกตับ (Pathophysiology)
เมื่อเชื้อ HEV เข้าสู่ร่างกาย (ส่วนใหญ่จากการกิน) มันจะเดินทางผ่านลำไส้และมุ่งตรงไปยังเป้าหมายหลัก: "ตับ" (Liver)
1. การบุกรุก (Invasion): ไวรัสจะเดินทางผ่านหลอดเลือดดำพอร์ทัล (Portal Vein) เข้าสู่ตับ และใช้โปรตีนบนผิวของมันจับกับตัวรับ (Receptor) บนผิว "เซลล์ตับ" (Hepatocyte) เพื่อบุกเข้าไปข้างใน
2. การแบ่งตัว (Replication): HEV เป็นไวรัส RNA สายเดี่ยว เมื่อเข้าไปในเซลล์ตับ มันจะ "ยึด" โรงงานของเซลล์เรา สั่งให้ผลิตสารพันธุกรรม (RNA) และโปรตีนของไวรัส เพื่อประกอบร่างเป็นไวรัสตัวใหม่จำนวนมหาศาล
3. "การโจมตีจากพวกเดียวกัน" (The Immune-Mediated Damage): นี่คือหัวใจสำคัญค่ะ! ความเสียหายหลักๆ ที่ทำให้เกิด "ตับอักเสบ" ไม่ได้เกิดจากตัวไวรัสที่ทำลายเซลล์โดยตรง (HEV is generally not directly cytopathic) แต่เกิดจาก "กองทัพภูมิคุ้มกัน" ของเราเอง
4. CTLs ผู้พิพากษา: เมื่อเซลล์ตับติดเชื้อ มันจะส่งสัญญาณ "ขอความช่วยเหลือ" (หรือ "ฟ้อง") โดยการแสดงชิ้นส่วนโปรตีนของไวรัส (Antigen) ไว้บนผิวเซลล์ กองกำลังสำคัญของเราคือ Cytotoxic T Lymphocytes (CTLs หรือ CD8+ T cells) จะมาตรวจพบ และมองว่าเซลล์ตับนี้ "ติดเชื้อ" ไปแล้ว จึงปล่อยสารเคมี (เช่น Granzymes, Perforin) สั่งให้เซลล์ตับนั้น "ฆ่าตัวตาย" (Apoptosis)
5. ผลลัพธ์คือ "ตับอักเสบ" (Hepatitis):
• ค่าตับพุ่ง: เมื่อเซลล์ตับถูกสั่งให้ฆ่าตัวตายและแตกสลายเป็นจำนวนมาก เอนไซม์ที่อยู่ข้างในเซลล์ (เช่น ALT และ AST) ก็จะรั่วทะลักออกมาในกระแสเลือด นี่คือที่มาของค่าตับที่พุ่งสูง
• ตัวเหลือง (Jaundice): การอักเสบและการตายของเซลล์ตับ ทำให้กลไกการจัดการกับ "บิลิรูบิน" (Bilirubin) หรือสารสีเหลืองในน้ำดี เสียหาย บิลิรูบินจึงคั่งในเลือดและไปสะสมตามผิวหนังและดวงตา ทำให้เรา "ตัวเหลือง ตาเหลือง"
6. การแพร่เชื้อ (Shedding): ไวรัสที่แบ่งตัวใหม่จะถูกปล่อยออกทางท่อน้ำดี (Bile) ซึ่งจะปนไปกับอุจจาระ และยังปนออกมาในกระแสเลือด (Viremia) ด้วย พร้อมที่จะไปติดคนอื่นต่อไปหากสุขอนามัยไม่ดี
โดยสรุป กลไกของ HEV คือการที่ระบบภูมิคุ้มกันของเรา "ทำงานอย่างแข็งขัน" ในการพยายามกำจัดไวรัส จนเกิดการทำลายล้างเซลล์ตับเป็นวงกว้างในเวลาอันสั้น ซึ่งในคนส่วนใหญ่ร่างกายจะกำจัดเชื้อได้เอง แต่หากการทำลายล้างนี้รุนแรงเกินไป ก็จะนำไปสู่ภาวะตับวายเฉียบพลันได้ค่ะ
📕อาการที่คุณต้องสงสัย
อาการของ HEV มักปรากฏหลังรับเชื้อ 2-10 สัปดาห์ และแบ่งได้เป็นระยะ ดังนี้:
▪️ระยะเริ่มต้น (Prodromal): อาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ อ่อนเพลียมาก (Fatigue), เบื่ออาหาร, ปวดกล้ามเนื้อ, คลื่นไส้, อาเจียน (หลายคนมักคิดว่าไม่เป็นอะไรมาก)
▪️ระยะอักเสบ (Icteric): อาการคลาสสิกของตับอักเสบเริ่มมา คือ ตัวเหลือง ตาเหลือง (Jaundice), ปัสสาวะสีเข้ม (เหมือนสีโค้กหรือน้ำปลา), และอุจจาระสีซีด
▪️ระยะรุนแรง (Severe): หากเกิดภาวะตับวายเฉียบพลัน จะมีอาการบวมน้ำ, สับสน (จากของเสียคั่ง), และอาจมีเลือดออกง่าย
ข้อควรระวัง: สตรีมีครรภ์ โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 3 ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงสุด หากติดเชื้อ HEV (โดยเฉพาะสายพันธุ์ 1) อัตราการเสียชีวิตจากตับวายเฉียบพลันอาจสูงถึง 20-30% ค่ะ
📕การตรวจวินิจฉัย (ทำอย่างไรถึงจะรู้?)
การวินิจฉัยจะเริ่มต้นจากการซักประวัติ (เช่น ประวัติการกินของดิบ) และการตรวจร่างกาย (ตัวเหลือง ตาเหลือง) แต่การยืนยันที่ชัดเจนที่สุดต้องอาศัย "ผลเลือด" ค่ะ
▪️การตรวจการทำงานของตับ (Liver Function Tests - LFTs): พบค่า AST (SGOT) และ ALT (SGPT) สูงมาก (อาจสูงกว่า 1,000 U/L) และค่าบิลิรูบิน (Bilirubin) สูง
▪️การตรวจหาภูมิคุ้มกัน (Serology): นี่คือการตรวจที่จำเพาะที่สุด
➕Anti-HEV IgM: ผลบวก (+) แปลว่ากำลังมีการติดเชื้อแบบ "เฉียบพลัน" (Active infection)
➕Anti-HEV IgG: ผลบวก (+) แปลว่า "เคยติดเชื้อ" มาแล้วในอดีต หรือกำลังอยู่ในระยะฟื้นตัว
▪️การตรวจสารพันธุกรรม (HEV RNA - PCR): ใช้ในการยืนยันการติดเชื้อในปัจจุบัน หรือติดตามการรักษาในกลุ่มผู้ป่วยเรื้อรัง (เช่นในผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ หรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง)
🛡️ การป้องกัน: "สุก" เท่านั้นคือทางรอด
ข่าวร้ายคือ ปัจจุบัน ไม่มียารักษาจำเพาะ สำหรับตับอักเสบ E แบบเฉียบพลัน การรักษาจึงเป็นแบบประคับประคอง (Supportive care) ตามอาการ เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ, ให้น้ำเกลือ, งดแอลกอฮอล์ และยาที่มีผลต่อตับ และเฝ้าระวังภาวะตับวายอย่างใกล้ชิด
ข่าวดีคือ HEV มีวัคซีน (Hecolin®) แต่...มีใช้เฉพาะในประเทศจีนเท่านั้น ยังไม่มีการรับรองให้ใช้ทั่วโลกค่ะ
📕ดังนั้น วิธีป้องกันที่ดีที่สุดสำหรับพวกเรา คือ:
▪️ "กินสุก ร้อน สะอาด": หัวใจหลักเลยค่ะ โดยเฉพาะ เนื้อหมู เครื่องในหมู และหอย ต้องปรุงให้สุกทั่วถึง 100% (อุณหภูมิภายในเนื้ออย่างน้อย 71°C)
▪️ หลีกเลี่ยงหมูดิบ: หมูกระทะ หมูจุ่ม ต้องย่างให้สุกจริง ๆ ไม่ใช่แค่พอเปลี่ยนสี ตับหวานที่ยังแดง หรือแหนมดิบ ควรงดเด็ดขาด
▪️ ล้างมือ: ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำ
▪️น้ำดื่ม: ดื่มน้ำที่ต้มสุก หรือน้ำดื่มบรรจุขวดที่ได้มาตรฐาน
ไวรัสตับอักเสบ E ไม่ใช่โรคไกลตัว แต่แฝงมากับวัฒนธรรมการกินของเราเอง การตระหนักรู้และปรับเปลี่ยนพฤติกรรม "การกิน" เพียงเล็กน้อย ก็สามารถป้องกันเราจากภาวะตับวายเฉียบพลันที่อันตรายถึงชีวิตได้แล้วค่ะ
📚 แหล่งอ้างอิง
1. World Health Organization (WHO). (2024, May 17). Hepatitis E. WHO Fact Sheets. Retrieved from
2. Centers for Disease Control and Prevention (CDC). (2020, July 28). Hepatitis E Questions and Answers for Health Professionals. CDC. Retrieved from
3. Kamar, N., Bendall, R., Legrand-Abravanel, F., & Dalton, H. R. (2012). Hepatitis E. The Lancet, 379(9835), 2477–2488.
#TheDarkLab #ไวรัสตับอักเสบE #HepatitisE #HEV #ตับอักเสบ #ค่าตับสูง #ตับวาย #น้ำในปอด #หมูดิบ #หมูกระทะ #ของดิบ #กินสุก #ไวรัส #สุขภาพ #ข่าวสุขภาพ #เตือนภัย #วิทยาศาสตร์การแพทย์ #นักเทคนิคการแพทย์ #ต้าเหนิง
CR https://www.facebook.com/share/1FzyYNWVmx/?mibextid=wwXIfr