ความเป็นรูปเป็นอาสวะหลักที่ต้องมีการนำออก ดังการจะสร้างอุโมงค์ ต้องขุดเอาดินออก เพื่อให้เดินผ่านได้ทั้งตัว
รูปมีลักษณะอย่างไรในมิติที่3นี้จึงให้รู้ชัดด้วย “สติ”
มีความเป็นกว้างคืบ ยาววา หน้าศอก หรือแตกกระจายออกได้ ก็ให้รู้ให้ชัด ด้วยสติ มีสติไปรู้อารมณ์ อารมณ์คือตัวถูกรู้ คือ รูป
เมื่อมีการนำอาสวะออก กระบวนการรู้ จึงเกิด“ความว่าง” ว่างในจิต อันเป็น“ผล”
กระบวนการรู้ในจิตแต่ละขณะ ที่เป็นโลกุตระ จึงประกอบด้วย
1.รู้รูปที่มีการเอาอาสวะ“ที่เป็นรูป” ออกทั้งหมด(เกลี้ยง)
2.รู้นามที่มี1เป็นฐาน
3.รู้ผลการรู้อันเป็น“ จิตที่ว่าง” ไปแต่ละขณะ
ยืน เดิน นั่ง นอน ในความว่าง จึงไม่มีตัวตนในการรู้ เป็น“โลกุตรธรรม”
อาสวะหลักคือรูป
รูปมีลักษณะอย่างไรในมิติที่3นี้จึงให้รู้ชัดด้วย “สติ”
มีความเป็นกว้างคืบ ยาววา หน้าศอก หรือแตกกระจายออกได้ ก็ให้รู้ให้ชัด ด้วยสติ มีสติไปรู้อารมณ์ อารมณ์คือตัวถูกรู้ คือ รูป
เมื่อมีการนำอาสวะออก กระบวนการรู้ จึงเกิด“ความว่าง” ว่างในจิต อันเป็น“ผล”
กระบวนการรู้ในจิตแต่ละขณะ ที่เป็นโลกุตระ จึงประกอบด้วย
1.รู้รูปที่มีการเอาอาสวะ“ที่เป็นรูป” ออกทั้งหมด(เกลี้ยง)
2.รู้นามที่มี1เป็นฐาน
3.รู้ผลการรู้อันเป็น“ จิตที่ว่าง” ไปแต่ละขณะ
ยืน เดิน นั่ง นอน ในความว่าง จึงไม่มีตัวตนในการรู้ เป็น“โลกุตรธรรม”