สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
หลักธรรมจาก ภิกษุผู้ทรงพระไตรปิฏก พระครูศรีโชติญาณ
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php@user=dokgaew&topic=10126
http://webboard.abhidhammaonline.org/old/thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php@user=dokgaew&topic=10128
อันที่จริงปัญหาเกี่ยวกับ "จิตเดิมหรือ จิตดวงเดิม" นั้น ถ้าพูดในฝ่ายเถรวาทคัมภีร์พุทธของเราโดยตรงแล้ว ไม่มีใช้เห็นมีใช้เรียกกันอยู่ก็แต่เฉพาะปฐมภวังค์ ที่เกิดหลังปฏิสนธิจิตเท่านั้น แต่นั้นก็ไม่ใช่จิตดวงเดิม เหมือนกับปัญหาที่เขาถกเถียงกันอยู่ เพราะคำว่า "จิตดวงเดิม" ที่กำลังเกิดปัญหาอยู่ในขณะนี้นั้น ท่านผู้ก่อ(ตั้ง)ปัญหาท่านหมายถึง จิตปภัสสร คือ จิตที่บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสตัณหาทั้งปวง เป็นอมตะที่เรียกว่า "อาตมัน หรือ ปรมาตมัน" ในทัศนะของท่านผู้เป็นต้นกำเนิดปัญหาโดยท่านให้อรรถาธิบายว่า ที่จริงจิตดวงเดิมนั้น เป็นจิตที่บริสุทธิ์ไม่มีกิเลสตัณหา หรือมลทินแปดเปื้อนเลยแม้แต่น้อย ครั้นเวลาผ่านมาใช้คิดนึกไปนานๆเข้า ก็กลับกลายเป็นจิตที่เศร้าหมองไป เพราะถูกความเศร้าหมองคือกิเลสมาทำให้เศร้าหมอง เพราะฉะนั้นเพื่อความบริสุทธิ์หมดจด ก็จะต้องปฏิบัติให้ถึงจิตดวงเดิม จึงจะถึงจุดหมายปลายทางของการปฏิบัติได้ แต่คำอธิบายดังกล่าวนี้ ไม่มีในศาสนาฝ่ายเถรวาทของเรา แต่ไปมีอยู่ในสูตรเว่ยหล่างที่ท่านพุทธทาสภิกขุได้แปลออกมาเผยแพร่ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๐ โดยคณะ ผ.ช.ป. ณ ๕/๑-๒ ถ. อัษฎางค์ กท. หมวด ๗ หน้า ๑๒๒ มีข้อความตอนหนึ่งว่า
----------------------- พระสังฆปริณายก ได้กล่าวว่า " ข้อความที่อันแช็กพูดนั้น ถูกต้องที่เดียว จงทำใจของท่านให้อยู่ในสภาพเหมือนกับความว่างอันหาขอบเขตไม่ได้ , แต่อย่าให้มันเข้าไปติดในทิฏฐิว่า"ดับสูญ " จงให้ใจทำหน้าที่ของมันอย่างอิสระ, ไม่ว่าท่านกำลังทำงานหรือหยุดพัก จงอย่าให้ใจของท่านเกาะเกี่ยวในสิ่งใด จงอย่าไปรู้สึกว่า มีความแตกต่างระหว่างตัวผู้กระทำกับสิ่งที่ถูกกระทำ. จงปล่อยจิตเต็มแท้ และสิ่งทั้งปวงไว้ในสภาพแห่ง "ความเป็นเช่นนั้น" แล้วก็จะอยู่ในสมาธิตลอดเวลา
เมื่อได้ฟังดังนั้น จิหว่างก็มีความสว่างไสวในใจถึงที่สุด
-------------------------------------------------------------------
ข้อความทั้งหมดตามที่ผู้อ่านได้อ่านมานี้ ขอให้ตั้งใจกำหนดไว้ในใจด้วยว่าเป็นเรื่องของอาจิรวาท คือเป็นพุทธฝ่ายมหายาน จากนี้จะนำความรู้ของเถรวาทในพุทธศาสนาฝ่ายหินยาน มาชี้แจงดังนี้
คำว่า"ปภัสสร"ๆ คำนี้เป็นพระพุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าตรัสโดยตรง เพราะในคาถานั้นมีคำว่า "ภิกฺขเว" อยู่ด้วย อย่างอักษรบาลีที่ว่า "ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจ โขอาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฐํ " แปลว่า " ภิกษุทั้งหลายจิตนี้ปภัสสร ก็จิตนั้นแล ถูกอุปกิเลสทั้งหลายที่จรมาทำให้เศร้าหมองแล้ว" (เอกนิบาต อังคุตตรบาลี ฉบับฉัฏฐะ เล่มหนึ่ง หน้า ๙ ข้อ ๔๙/๕๐) เพื่อต้องการทราบความหมายของจิตปภัสสร จึงขอยกเอาอรรถกถา มาขยายเสียในที่นี้ทีเดียว ก็คำที่ว่าถูกโทษประทุษร้ายแล้ว ท่านหมายถึงโทษทั้งหลายมรอภิชฌาเป็นต้น ที่จรมาประทุษร้าย ขยายความต่อไปว่าก็ใจตามปกติ คือ ภวังคจิต ภวังคจิตนั้นยังไม่ถูกโทษประทุษร้าย เปรียบเหมือนน้ำใสที่ถูกสีเขียวเป็นต้น จรมาทำให้เศร้าหมองไป ก็เลยกลายเป็นน้ำสีเขียวเป็นต้น แล้วจะว่าน้ำใหม่ก็ไม่ใช่ จะว่าน้ำเก่าก็ไม่ใช่ ที่จริง ก็เป็นน้ำใสเดิมนั่นแหละ ข้อนี้ฉันใด แม้จิตนั้น ก็ฉันนั้น เมื่อถูกโทษมีอภิชฌา เป็นต้น จรมาประทุษร้าย จะว่าเป็นจิตใหม่ก็ไม่ใช่ เป็นจิตเก่าก็ไม่ใช่ ที่จริงก็คือภวังคจิตนั่นแหละ ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ปภัสสร ก็จิตนั้นแล ถูกอุปกิเลสทั้งหลายที่จรมา ทำให้เศร้าหมองแล้ว"
ตามข้อความที่พระอรรถกถาจารย์ได้ขยายไว้นี้ บางทีอาจจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจยังไม่ได้ เพื่อความกระจ่างของข้อความนี้ จึงใคร่ขอยกคำบางคำมาเน้นเสียให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่นคำว่า "จิตปภัสสร" หรือ คำว่า "จรมา"
ก็คำที่ว่า "จิตปภัสสร หรือ จิตผ่องใส" ในที่นี้ ท่านหมายถึงจิตที่เป็นภวังค์ ซึ่งจะเกิดได้ทีหลังปฏิสนธิ(จิต) ต้นวิถีหรือท้ายวิถีจิต หรือขณะที่นอนหลับสนิทๆ โดยไม่ได้มีการฝันเลยแม้แต่น้อย นั่นแหละจิตดวงนั้นแหละท่านจัดเป็นจิต "ปภัสสร" ในพุทธภาษิตนี้ไม่ใช่จิตดวงเดิม หรือจิตที่หมดจดจากกิเลสทั้งปวงทั้งอย่างหยาบ อย่างกลาง และอย่างละเอียด(อนุสัยกิเลส) เพราะถ้าเป็นจิตที่หมดจดจากกิเลสทั้งปวงจริงๆแล้ว มรรค ๔ มีโสดาปัตติมรรคเป็นต้น ที่ผู้ปฏิบัติทำให้เกิดขึ้น ก็กลายเป็นโมฆะไปเปล่าๆ เพราะในวิภาวินีฏีกาปริเฉทที่ ๗ พระสุมังคลสามีเถราจารย์ ได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องอนุสัยไว้ว่า "ตราบใดที่มรรค ๔ มรรคใดยังไม่เกิดขึ้น อนุสัยกิเลสชนิดละเอียด ซึ่งเป็นเสมือนรากเหง้าของกิเลสอย่างกลาง และอย่างหยาบ จะขาดเองโดยพลการไม่ได้ " ดังนั้นจึงเป็นข้อความที่ทำให้เข้าใจได้แล้วว่า คำว่า "จิตผ่องใส" ในที่นี้ก็หมายถึง ยังไม่ขุ่นมัวไปด้วยกิเลสอย่างกลางนั่นเอง แต่กิเลสอย่างละเอียด คือ อนุสัย ก็ยังมีอยู่อย่างสมบูรณ์
ส่วนคำว่า "จรมา " นั้น ท่านแปลไปตามศัพท์ของคำว่า " อาคันตุกะ" เฉยๆเท่านั้น เพราะกิเลสมิใช่มีที่อยู่ที่เอกเทศส่วนหนึ่งต่างหาก ที่จริงก็อยู่ในจิตของมนุษย์และสัตว์ทุกดวงนั่นเอง เว้นไว้แต่จิตของพระขีณาสพและโลกุตตรจิตเท่านั้น กิเลสอย่างละเอียดที่นอนเนื่องอยู่ในจิตทุกดวงดังว่านั้น เมื่อได้รับปัจจัยภายนอกมีอารมณ์ที่ปรารถนาเป็นต้น มากระทบเข้าก็ทำให้จิตขึ้นวิถี กลายเป็นจิตรัก จิตชัง ที่เราเรียกว่า กิเลสอย่างกลางนั่นเอง แต่ความรัก และความชังที่เป็นกิเลสอย่างกลางนั้น มันเกิดขึ้นสัมปยุตกับจิตในบางครั้งเท่านั้น ท่านจึงเปรียบเหมือนกับแขกที่จรมา เพียงเท่านี้ ก็พอจะทำความเข้าใจให้เกิดขึ้นได้แล้ว
ตามที่ได้ยกข้อความ จากอาคตสถานมาแสดงเปรียบเคียงให้เห็นดังนี้แล้ว ผู้อ่านก็พอจะทราบได้ว่าอะไรเป็นอะไรแต่ขอให้ทัศนะไว้นิดหนึ่งว่า ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ บางครั้งถึงกับอุทิศเพศมาบวชเป็นเวลานานก็มี ขอร้องให้พากันเชื่อพระบาลีและอรรถกถาอันเป็นหลักปริยัติฝ่ายเถรวาทเถิด เพราะจะเป็นปัจจัยให้เกิด ทิฏฐิวิสุทธิ คือความเห็นที่ถูกต้องในส่วนของพระปริยัติศาสนาขึ้นได้ แม้จะเกิดศรัทธาลงมือปฏิบัติ ก็เชื่อเหลือเกินว่าต้องไม่ผิดแน่ เพราะเมื่อปริยัติถูกก็เป็นเหตุให้เกิดปฏิบัติถูก อันเสมือนเงาตามตัวอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ยอมเชื่อโดยยกตัวเสมอกับอรรถกถาเสียแล้ว ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
------------------------------------------------------------------
ประวัติ พระครูศรีโชติญาณ
http://www.abhidhamonline.org/sw.htm
พระอภิธรรมเบื้องต้น
http://pantip.com/topic/31586750
แนวคิดเรื่องจิต จากพระพุทธศาสนา
http://pantip.com/topic/31525862/comment4

“ วิถีจิต “ หมายถึง จิตที่เกิดขึ้นเป็นไปในอารมณ์ทั้ง ๖ และตามทวารทั้ง ๖ เรียกว่า วิถีจิตหนึ่ง
นามธรรมคือจิต – เจตสิก ที่เกิดขึ้นก่อนๆ นั้น ย่อมเป็นปัจจัยช่วยอุดหนุนให้จิต - เจตสิกที่เกิดขึ้นภายหลังให้เกิดสืบต่อเนื่องกันไปโดยไม่มีระหว่างคั่นและเกิดขึ้นโดยลำดับ เป็นแถวเป็นแนว เมื่อจิตดวงก่อนเกิดขึ้นแล้วดับไป ก็ยังมีอำนาจช่วยอุดหนุนให้จิตดวงหลังเกิดขึ้นแทน สืบต่อกันอยู่เช่นนี้ตลอดไปไม่มีเวลาว่างเว้นเลย จนกว่าจิตนั้นจะได้ทำหน้าที่เป็นจุติจิตของพระอรหันต์จึงจะไม่มีอำนาจอุดหนุนให้จิตดวงอื่นๆ เกิดสืบต่อไปอีกได้
ฉะนั้น การเกิดขึ้นของจิตจึงมีสภาพคล้ายกับจะเป็นแถวเป็นแนว หรือ เป็นกระแสสืบต่อกันไปอย่างไม่ขาดสาย เป็นอยู่อย่างนี้มาหลายต่อหลายภพหลายชาติ จิตที่เกิดขึ้นสืบต่อกันเป็นแถวเป็นแนวหรือเป็นกระแสนี้
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php@user=dokgaew&topic=10126
http://webboard.abhidhammaonline.org/old/thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php@user=dokgaew&topic=10128
อันที่จริงปัญหาเกี่ยวกับ "จิตเดิมหรือ จิตดวงเดิม" นั้น ถ้าพูดในฝ่ายเถรวาทคัมภีร์พุทธของเราโดยตรงแล้ว ไม่มีใช้เห็นมีใช้เรียกกันอยู่ก็แต่เฉพาะปฐมภวังค์ ที่เกิดหลังปฏิสนธิจิตเท่านั้น แต่นั้นก็ไม่ใช่จิตดวงเดิม เหมือนกับปัญหาที่เขาถกเถียงกันอยู่ เพราะคำว่า "จิตดวงเดิม" ที่กำลังเกิดปัญหาอยู่ในขณะนี้นั้น ท่านผู้ก่อ(ตั้ง)ปัญหาท่านหมายถึง จิตปภัสสร คือ จิตที่บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสตัณหาทั้งปวง เป็นอมตะที่เรียกว่า "อาตมัน หรือ ปรมาตมัน" ในทัศนะของท่านผู้เป็นต้นกำเนิดปัญหาโดยท่านให้อรรถาธิบายว่า ที่จริงจิตดวงเดิมนั้น เป็นจิตที่บริสุทธิ์ไม่มีกิเลสตัณหา หรือมลทินแปดเปื้อนเลยแม้แต่น้อย ครั้นเวลาผ่านมาใช้คิดนึกไปนานๆเข้า ก็กลับกลายเป็นจิตที่เศร้าหมองไป เพราะถูกความเศร้าหมองคือกิเลสมาทำให้เศร้าหมอง เพราะฉะนั้นเพื่อความบริสุทธิ์หมดจด ก็จะต้องปฏิบัติให้ถึงจิตดวงเดิม จึงจะถึงจุดหมายปลายทางของการปฏิบัติได้ แต่คำอธิบายดังกล่าวนี้ ไม่มีในศาสนาฝ่ายเถรวาทของเรา แต่ไปมีอยู่ในสูตรเว่ยหล่างที่ท่านพุทธทาสภิกขุได้แปลออกมาเผยแพร่ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๐ โดยคณะ ผ.ช.ป. ณ ๕/๑-๒ ถ. อัษฎางค์ กท. หมวด ๗ หน้า ๑๒๒ มีข้อความตอนหนึ่งว่า
----------------------- พระสังฆปริณายก ได้กล่าวว่า " ข้อความที่อันแช็กพูดนั้น ถูกต้องที่เดียว จงทำใจของท่านให้อยู่ในสภาพเหมือนกับความว่างอันหาขอบเขตไม่ได้ , แต่อย่าให้มันเข้าไปติดในทิฏฐิว่า"ดับสูญ " จงให้ใจทำหน้าที่ของมันอย่างอิสระ, ไม่ว่าท่านกำลังทำงานหรือหยุดพัก จงอย่าให้ใจของท่านเกาะเกี่ยวในสิ่งใด จงอย่าไปรู้สึกว่า มีความแตกต่างระหว่างตัวผู้กระทำกับสิ่งที่ถูกกระทำ. จงปล่อยจิตเต็มแท้ และสิ่งทั้งปวงไว้ในสภาพแห่ง "ความเป็นเช่นนั้น" แล้วก็จะอยู่ในสมาธิตลอดเวลา
เมื่อได้ฟังดังนั้น จิหว่างก็มีความสว่างไสวในใจถึงที่สุด
-------------------------------------------------------------------
ข้อความทั้งหมดตามที่ผู้อ่านได้อ่านมานี้ ขอให้ตั้งใจกำหนดไว้ในใจด้วยว่าเป็นเรื่องของอาจิรวาท คือเป็นพุทธฝ่ายมหายาน จากนี้จะนำความรู้ของเถรวาทในพุทธศาสนาฝ่ายหินยาน มาชี้แจงดังนี้
คำว่า"ปภัสสร"ๆ คำนี้เป็นพระพุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าตรัสโดยตรง เพราะในคาถานั้นมีคำว่า "ภิกฺขเว" อยู่ด้วย อย่างอักษรบาลีที่ว่า "ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจ โขอาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฐํ " แปลว่า " ภิกษุทั้งหลายจิตนี้ปภัสสร ก็จิตนั้นแล ถูกอุปกิเลสทั้งหลายที่จรมาทำให้เศร้าหมองแล้ว" (เอกนิบาต อังคุตตรบาลี ฉบับฉัฏฐะ เล่มหนึ่ง หน้า ๙ ข้อ ๔๙/๕๐) เพื่อต้องการทราบความหมายของจิตปภัสสร จึงขอยกเอาอรรถกถา มาขยายเสียในที่นี้ทีเดียว ก็คำที่ว่าถูกโทษประทุษร้ายแล้ว ท่านหมายถึงโทษทั้งหลายมรอภิชฌาเป็นต้น ที่จรมาประทุษร้าย ขยายความต่อไปว่าก็ใจตามปกติ คือ ภวังคจิต ภวังคจิตนั้นยังไม่ถูกโทษประทุษร้าย เปรียบเหมือนน้ำใสที่ถูกสีเขียวเป็นต้น จรมาทำให้เศร้าหมองไป ก็เลยกลายเป็นน้ำสีเขียวเป็นต้น แล้วจะว่าน้ำใหม่ก็ไม่ใช่ จะว่าน้ำเก่าก็ไม่ใช่ ที่จริง ก็เป็นน้ำใสเดิมนั่นแหละ ข้อนี้ฉันใด แม้จิตนั้น ก็ฉันนั้น เมื่อถูกโทษมีอภิชฌา เป็นต้น จรมาประทุษร้าย จะว่าเป็นจิตใหม่ก็ไม่ใช่ เป็นจิตเก่าก็ไม่ใช่ ที่จริงก็คือภวังคจิตนั่นแหละ ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ปภัสสร ก็จิตนั้นแล ถูกอุปกิเลสทั้งหลายที่จรมา ทำให้เศร้าหมองแล้ว"
ตามข้อความที่พระอรรถกถาจารย์ได้ขยายไว้นี้ บางทีอาจจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจยังไม่ได้ เพื่อความกระจ่างของข้อความนี้ จึงใคร่ขอยกคำบางคำมาเน้นเสียให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่นคำว่า "จิตปภัสสร" หรือ คำว่า "จรมา"
ก็คำที่ว่า "จิตปภัสสร หรือ จิตผ่องใส" ในที่นี้ ท่านหมายถึงจิตที่เป็นภวังค์ ซึ่งจะเกิดได้ทีหลังปฏิสนธิ(จิต) ต้นวิถีหรือท้ายวิถีจิต หรือขณะที่นอนหลับสนิทๆ โดยไม่ได้มีการฝันเลยแม้แต่น้อย นั่นแหละจิตดวงนั้นแหละท่านจัดเป็นจิต "ปภัสสร" ในพุทธภาษิตนี้ไม่ใช่จิตดวงเดิม หรือจิตที่หมดจดจากกิเลสทั้งปวงทั้งอย่างหยาบ อย่างกลาง และอย่างละเอียด(อนุสัยกิเลส) เพราะถ้าเป็นจิตที่หมดจดจากกิเลสทั้งปวงจริงๆแล้ว มรรค ๔ มีโสดาปัตติมรรคเป็นต้น ที่ผู้ปฏิบัติทำให้เกิดขึ้น ก็กลายเป็นโมฆะไปเปล่าๆ เพราะในวิภาวินีฏีกาปริเฉทที่ ๗ พระสุมังคลสามีเถราจารย์ ได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องอนุสัยไว้ว่า "ตราบใดที่มรรค ๔ มรรคใดยังไม่เกิดขึ้น อนุสัยกิเลสชนิดละเอียด ซึ่งเป็นเสมือนรากเหง้าของกิเลสอย่างกลาง และอย่างหยาบ จะขาดเองโดยพลการไม่ได้ " ดังนั้นจึงเป็นข้อความที่ทำให้เข้าใจได้แล้วว่า คำว่า "จิตผ่องใส" ในที่นี้ก็หมายถึง ยังไม่ขุ่นมัวไปด้วยกิเลสอย่างกลางนั่นเอง แต่กิเลสอย่างละเอียด คือ อนุสัย ก็ยังมีอยู่อย่างสมบูรณ์
ส่วนคำว่า "จรมา " นั้น ท่านแปลไปตามศัพท์ของคำว่า " อาคันตุกะ" เฉยๆเท่านั้น เพราะกิเลสมิใช่มีที่อยู่ที่เอกเทศส่วนหนึ่งต่างหาก ที่จริงก็อยู่ในจิตของมนุษย์และสัตว์ทุกดวงนั่นเอง เว้นไว้แต่จิตของพระขีณาสพและโลกุตตรจิตเท่านั้น กิเลสอย่างละเอียดที่นอนเนื่องอยู่ในจิตทุกดวงดังว่านั้น เมื่อได้รับปัจจัยภายนอกมีอารมณ์ที่ปรารถนาเป็นต้น มากระทบเข้าก็ทำให้จิตขึ้นวิถี กลายเป็นจิตรัก จิตชัง ที่เราเรียกว่า กิเลสอย่างกลางนั่นเอง แต่ความรัก และความชังที่เป็นกิเลสอย่างกลางนั้น มันเกิดขึ้นสัมปยุตกับจิตในบางครั้งเท่านั้น ท่านจึงเปรียบเหมือนกับแขกที่จรมา เพียงเท่านี้ ก็พอจะทำความเข้าใจให้เกิดขึ้นได้แล้ว
ตามที่ได้ยกข้อความ จากอาคตสถานมาแสดงเปรียบเคียงให้เห็นดังนี้แล้ว ผู้อ่านก็พอจะทราบได้ว่าอะไรเป็นอะไรแต่ขอให้ทัศนะไว้นิดหนึ่งว่า ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ บางครั้งถึงกับอุทิศเพศมาบวชเป็นเวลานานก็มี ขอร้องให้พากันเชื่อพระบาลีและอรรถกถาอันเป็นหลักปริยัติฝ่ายเถรวาทเถิด เพราะจะเป็นปัจจัยให้เกิด ทิฏฐิวิสุทธิ คือความเห็นที่ถูกต้องในส่วนของพระปริยัติศาสนาขึ้นได้ แม้จะเกิดศรัทธาลงมือปฏิบัติ ก็เชื่อเหลือเกินว่าต้องไม่ผิดแน่ เพราะเมื่อปริยัติถูกก็เป็นเหตุให้เกิดปฏิบัติถูก อันเสมือนเงาตามตัวอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ยอมเชื่อโดยยกตัวเสมอกับอรรถกถาเสียแล้ว ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
------------------------------------------------------------------
ประวัติ พระครูศรีโชติญาณ
http://www.abhidhamonline.org/sw.htm
พระอภิธรรมเบื้องต้น
http://pantip.com/topic/31586750
แนวคิดเรื่องจิต จากพระพุทธศาสนา
http://pantip.com/topic/31525862/comment4

“ วิถีจิต “ หมายถึง จิตที่เกิดขึ้นเป็นไปในอารมณ์ทั้ง ๖ และตามทวารทั้ง ๖ เรียกว่า วิถีจิตหนึ่ง
นามธรรมคือจิต – เจตสิก ที่เกิดขึ้นก่อนๆ นั้น ย่อมเป็นปัจจัยช่วยอุดหนุนให้จิต - เจตสิกที่เกิดขึ้นภายหลังให้เกิดสืบต่อเนื่องกันไปโดยไม่มีระหว่างคั่นและเกิดขึ้นโดยลำดับ เป็นแถวเป็นแนว เมื่อจิตดวงก่อนเกิดขึ้นแล้วดับไป ก็ยังมีอำนาจช่วยอุดหนุนให้จิตดวงหลังเกิดขึ้นแทน สืบต่อกันอยู่เช่นนี้ตลอดไปไม่มีเวลาว่างเว้นเลย จนกว่าจิตนั้นจะได้ทำหน้าที่เป็นจุติจิตของพระอรหันต์จึงจะไม่มีอำนาจอุดหนุนให้จิตดวงอื่นๆ เกิดสืบต่อไปอีกได้
ฉะนั้น การเกิดขึ้นของจิตจึงมีสภาพคล้ายกับจะเป็นแถวเป็นแนว หรือ เป็นกระแสสืบต่อกันไปอย่างไม่ขาดสาย เป็นอยู่อย่างนี้มาหลายต่อหลายภพหลายชาติ จิตที่เกิดขึ้นสืบต่อกันเป็นแถวเป็นแนวหรือเป็นกระแสนี้
ความคิดเห็นที่ 3
ชี้ความเห็นผิดของท่านจขกท ( ตัวสีเหลือง )
" จิตเดิมแท้นั้นมีความบริสุทธิ์ ( ไม่มีจิตเดิมแท้...ธรรม 3 ประกอบกัน...จิตจึงเกิด../ ธรรม 3 ไม่ประกอบกัน จิตจึงดับ../ พุทธเถรวาท...จิตเกิดดับเร็วยิ่ง...พระสูตรดั้งเดิมแสดงไว้ชัด...) เรียกว่า “จิตประภัสสร”(ส่องแสง หรือแผ่แสงออกมา ปภสฺสโร เป็นแดนซ่านออก (แห่งรัศมี)
สภาวะที่บริสุทธิ์นี้เป็นภาวะเดิมแท้ ( ฟุ้งซ่านเกินเบอร์.....ไม่มีจิตบริสุทธิ์เดิมแท้...ท่านจขกท ไม่รู้จักธรรม 3...ต้นเหตุจิตเกิด...จิตดับ ) แรกเริ่มก่อนที่จะถูกปรุงแต่งในภายหลัง ด้วย “กิเลสอาสวะ” ต่างๆ ( กิเลสจร..อุปกิเลส...อาสวะกิเลส....ต่างกันมหาศาล..ไม่ใช่ตัวเดียวกัน )
ดวงจิตทุกดวงมีความบริสุทธิ์เช่นนี้เหมือนกันทั้งหมด (...มั่วไปเข้ามหายาน....ที่ไม่ต้องการพ้นทุกข์...เน้นเมตตาช่วยสัตว์.../ ผ่านไปหลายพ้นปี...เกิดอยากพ้นทุกข์นิพพานแต่ไม่รู้วิธี....จึงแต่งเรื่องจิตเดิมแท้....ขึ้นมา / จิตไม่ใช่รูป...จึงไม่มีเป็นดวงนะ ผิดพลาดหลายครั้งแล้วยังไม่แก้ )
เมื่อทำสมาธิจนทำลายอุปกิเลสจนสิ้น (ชั่วขณะ) จะเห็นดวงจิตตั้งเด่น อยู่ท่ามกลางความว่าง (สุญตา) ส่องสว่างไปทุกทิศทุกทาง เป็นประภัสสร (ตามรูป) (.....จิตเป็นนามธรรม...ไม่ใช่รูป / ดังนั้น รูปท่านท่านจขกท อ้างขึ้นมานั้นเท็จ...ผิดศีล...../ ศีลยังผิดซ้ำๆ...แสดงว่ากิเลสหนาสุดสุด ) "
สรุป
ท่านจขกท รักษาศีลให้ได้ก่อน.....เลิกแสดงความเท็จได้แล้ว
" จิตเดิมแท้นั้นมีความบริสุทธิ์ ( ไม่มีจิตเดิมแท้...ธรรม 3 ประกอบกัน...จิตจึงเกิด../ ธรรม 3 ไม่ประกอบกัน จิตจึงดับ../ พุทธเถรวาท...จิตเกิดดับเร็วยิ่ง...พระสูตรดั้งเดิมแสดงไว้ชัด...) เรียกว่า “จิตประภัสสร”(ส่องแสง หรือแผ่แสงออกมา ปภสฺสโร เป็นแดนซ่านออก (แห่งรัศมี)
สภาวะที่บริสุทธิ์นี้เป็นภาวะเดิมแท้ ( ฟุ้งซ่านเกินเบอร์.....ไม่มีจิตบริสุทธิ์เดิมแท้...ท่านจขกท ไม่รู้จักธรรม 3...ต้นเหตุจิตเกิด...จิตดับ ) แรกเริ่มก่อนที่จะถูกปรุงแต่งในภายหลัง ด้วย “กิเลสอาสวะ” ต่างๆ ( กิเลสจร..อุปกิเลส...อาสวะกิเลส....ต่างกันมหาศาล..ไม่ใช่ตัวเดียวกัน )
ดวงจิตทุกดวงมีความบริสุทธิ์เช่นนี้เหมือนกันทั้งหมด (...มั่วไปเข้ามหายาน....ที่ไม่ต้องการพ้นทุกข์...เน้นเมตตาช่วยสัตว์.../ ผ่านไปหลายพ้นปี...เกิดอยากพ้นทุกข์นิพพานแต่ไม่รู้วิธี....จึงแต่งเรื่องจิตเดิมแท้....ขึ้นมา / จิตไม่ใช่รูป...จึงไม่มีเป็นดวงนะ ผิดพลาดหลายครั้งแล้วยังไม่แก้ )
เมื่อทำสมาธิจนทำลายอุปกิเลสจนสิ้น (ชั่วขณะ) จะเห็นดวงจิตตั้งเด่น อยู่ท่ามกลางความว่าง (สุญตา) ส่องสว่างไปทุกทิศทุกทาง เป็นประภัสสร (ตามรูป) (.....จิตเป็นนามธรรม...ไม่ใช่รูป / ดังนั้น รูปท่านท่านจขกท อ้างขึ้นมานั้นเท็จ...ผิดศีล...../ ศีลยังผิดซ้ำๆ...แสดงว่ากิเลสหนาสุดสุด ) "
สรุป
ท่านจขกท รักษาศีลให้ได้ก่อน.....เลิกแสดงความเท็จได้แล้ว
ความคิดเห็นที่ 17
คำตรัสที่ว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง (จิตเป็นธรรมชาติที่ประภัสสร) แต่ว่าจิตนั้นแล เศร้าหมอง ด้วยอุปกิเลสที่จรมาฯ" เป็นประโยคที่สำคัญที่สุดประโยคหนึ่ง และที่จริงก็เป็นประโยคที่สมบูรณ์ในตัวของมันเอง สามารถนำมาพิจราณาใช้ในการเจริญสติได้ทันที แต่หลายคนก็พยายามไปตีความหมายให้ซับซ้อน คล้ายกับพระพุทธเจ้าได้ซ่อนความลับอะไรไว้
ถ้าดูจากความหมายในพจนานุกรมพุทธศาสน์ของหลวงพ่อปยุตโต ท่านอธิบายไว้ว่า
"...พุทธพจน์ว่า “จิตนี้ประภัสสร (ผุดผ่อง ผ่องใส บริสุทธิ์) แต่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสที่จรมา” มีความหมายว่า จิตนี้โดยธรรมชาติของมันเอง มิใช่เป็นสภาวะที่แปดเปื้อนสกปรก หรือมีสิ่งเศร้าหมองเจือปนอยู่ แต่สภาพเศร้าหมองนั้นเป็นของแปลกปลอมเข้ามา ฉะนั้น การชำระจิตให้สะอาดหมดจดจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้..."
คำว่า "ของที่แปลกปลอมเข้ามา" ก็คือ "อาคันตุกะที่จรมา" หมายถึงกิเลสหรืออุปกิเลส ถ้าใช้ภาษาพระอภิธรรมก็คือ "เจตสิก" ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกับจิต (อาศัยจิตเกิด และดับไปพร้อมกับจิต ในแต่ละดวง)
หมายความว่า เมื่อจิตดวงเดิมดับไป จิตดวงใหม่เกิดขึ้นมา จิตดวงใหม่ที่เกิดขึ้นนั้น โดยปกติมันควรจะผุดผ่องหรือประภัสสรตามธรรมชาติของมัน แต่ที่มันไม่ผุดผ่องเพราะจิตไม่ได้เกิดขึ้นมาลำพังแค่นั้น แต่เราไปรับเจ้า "อาคันตุกะ" หรือสิ่งแปลกปลอมที่จรเข้ามาให้เกิดร่วมกันด้วย
ซึ่งเป็นเรื่องปกติของปุถุชน (ที่ยังต้องเศร้าหมอง เป็นทุกข์ เพราะยังมีอวิชชา)
ถามว่า แล้วเราได้ประโยชน์อะไรกับพุทธพจน์นี้?
ในเมื่อเรารู้แล้วว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับจิตใจเรา ความโลภ โกรธ หลง ความสุข ความทุกข์ ความชอบใจ พอใจ ไม่ชอบใจ ไม่พอใจ ฯลฯ หรือก็คือทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนเป็นสิ่งแปลกปลอมหรือ "อาคันตุกะที่จรเข้ามา" ทั้งสิ้น นั่นหมายความว่า มันไม่ใช่เรา
เวลาที่เราโกรธ ให้(มีสติ)รู้ว่าความโกรธเป็นเพียงอาคันตุกะหรือเป็นสิ่งภายนอกที่เกิดขึ้นที่จิตเท่านั้น มันไม่ใช่เรา
เวลาที่เกิดความโลภก็เช่นกัน มันไม่ใช่เรา
หน้าที่เราคือพิจารณาแบบนี้ไปเรื่อยๆ เรียกว่าเป็นการฝึกการเจริญสติ
และในการพิจารณา ให้ใช้หลักคือ "ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย" (กำจัดอภิชฌาและโทมนัส) หมายถึงแค่รู้เฉยๆ รู้ซื่อๆ ไม่ใช่ไปบังคับให้มันดับ ซึ่งก็คือพุทธพจน์ที่ว่า
"...มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้..."
พุทธพจน์ทั้ง 2 นี้ สำหรับผมแล้วมีความสำคัญมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม ทุกการแสดงความเห็นของผม ผมเพียงแต่อธิบายตามวิธีของผม เพื่อเป็นแนวทางในการที่ฟังเทศน์จากครูบาอาจารย์เท่านั้น หากใครจับประเด็นได้ เวลาที่ฟังครูบาอาจารย์ ผมเชื่อว่าน่าจะเข้าใจมากขึ้น
(ไม่ใช่อธิบายแล้วไม่สามารถอ้างอิงครูบาอาจารย์ได้ แบบนั้นเป็นการคิดเองคนเดียว คำสอนพระพุทธเจ้ามีเพียงหนึ่งเดียว ต้องเหมือนกันหมด)
ถ้าดูจากความหมายในพจนานุกรมพุทธศาสน์ของหลวงพ่อปยุตโต ท่านอธิบายไว้ว่า
"...พุทธพจน์ว่า “จิตนี้ประภัสสร (ผุดผ่อง ผ่องใส บริสุทธิ์) แต่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสที่จรมา” มีความหมายว่า จิตนี้โดยธรรมชาติของมันเอง มิใช่เป็นสภาวะที่แปดเปื้อนสกปรก หรือมีสิ่งเศร้าหมองเจือปนอยู่ แต่สภาพเศร้าหมองนั้นเป็นของแปลกปลอมเข้ามา ฉะนั้น การชำระจิตให้สะอาดหมดจดจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้..."
คำว่า "ของที่แปลกปลอมเข้ามา" ก็คือ "อาคันตุกะที่จรมา" หมายถึงกิเลสหรืออุปกิเลส ถ้าใช้ภาษาพระอภิธรรมก็คือ "เจตสิก" ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกับจิต (อาศัยจิตเกิด และดับไปพร้อมกับจิต ในแต่ละดวง)
หมายความว่า เมื่อจิตดวงเดิมดับไป จิตดวงใหม่เกิดขึ้นมา จิตดวงใหม่ที่เกิดขึ้นนั้น โดยปกติมันควรจะผุดผ่องหรือประภัสสรตามธรรมชาติของมัน แต่ที่มันไม่ผุดผ่องเพราะจิตไม่ได้เกิดขึ้นมาลำพังแค่นั้น แต่เราไปรับเจ้า "อาคันตุกะ" หรือสิ่งแปลกปลอมที่จรเข้ามาให้เกิดร่วมกันด้วย
ซึ่งเป็นเรื่องปกติของปุถุชน (ที่ยังต้องเศร้าหมอง เป็นทุกข์ เพราะยังมีอวิชชา)
ถามว่า แล้วเราได้ประโยชน์อะไรกับพุทธพจน์นี้?
ในเมื่อเรารู้แล้วว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับจิตใจเรา ความโลภ โกรธ หลง ความสุข ความทุกข์ ความชอบใจ พอใจ ไม่ชอบใจ ไม่พอใจ ฯลฯ หรือก็คือทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนเป็นสิ่งแปลกปลอมหรือ "อาคันตุกะที่จรเข้ามา" ทั้งสิ้น นั่นหมายความว่า มันไม่ใช่เรา
เวลาที่เราโกรธ ให้(มีสติ)รู้ว่าความโกรธเป็นเพียงอาคันตุกะหรือเป็นสิ่งภายนอกที่เกิดขึ้นที่จิตเท่านั้น มันไม่ใช่เรา
เวลาที่เกิดความโลภก็เช่นกัน มันไม่ใช่เรา
หน้าที่เราคือพิจารณาแบบนี้ไปเรื่อยๆ เรียกว่าเป็นการฝึกการเจริญสติ
และในการพิจารณา ให้ใช้หลักคือ "ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย" (กำจัดอภิชฌาและโทมนัส) หมายถึงแค่รู้เฉยๆ รู้ซื่อๆ ไม่ใช่ไปบังคับให้มันดับ ซึ่งก็คือพุทธพจน์ที่ว่า
"...มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้..."
พุทธพจน์ทั้ง 2 นี้ สำหรับผมแล้วมีความสำคัญมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม ทุกการแสดงความเห็นของผม ผมเพียงแต่อธิบายตามวิธีของผม เพื่อเป็นแนวทางในการที่ฟังเทศน์จากครูบาอาจารย์เท่านั้น หากใครจับประเด็นได้ เวลาที่ฟังครูบาอาจารย์ ผมเชื่อว่าน่าจะเข้าใจมากขึ้น
(ไม่ใช่อธิบายแล้วไม่สามารถอ้างอิงครูบาอาจารย์ได้ แบบนั้นเป็นการคิดเองคนเดียว คำสอนพระพุทธเจ้ามีเพียงหนึ่งเดียว ต้องเหมือนกันหมด)
แสดงความคิดเห็น
จิตนี้ เป็นธรรมชาติประภัสสร
“ภิกษุ ท. ! จิตนี้ เป็นธรรมชาติประภัสสร แต่จิต (ที่มีธรรมชาติประภัสสร) นั้นแล เข้าถึงความเศร้าหมองแล้ว เพราะอุปกิเลสอันเป็นอาคันตุกะจรมา เรากล่าวว่า บุถุชนผู้ไม่มีการสดับ ย่อมไม่รู้ชัดตามที่เป็นจริง ซึ่งความจริงข้อนั้น เพราะเหตุนั้น จิตตภาวนา ย่อมไม่มีแก่บุถุชนผู้ไม่มีการสดับ ดังนี้.”
จิตเดิมแท้นั้นมีความบริสุทธิ์ เรียกว่า “จิตประภัสสร”(ส่องแสง หรือแผ่แสงออกมา ปภสฺสโร เป็นแดนซ่านออก (แห่งรัศมี)
สภาวะที่บริสุทธิ์นี้เป็นภาวะเดิมแท้ แรกเริ่มก่อนที่จะถูกปรุงแต่งในภายหลัง ด้วย “กิเลสอาสวะ” ต่างๆ
ดวงจิตทุกดวงมีความบริสุทธิ์เช่นนี้เหมือนกันทั้งหมด
เมื่อทำสมาธิจนทำลายอุปกิเลสจนสิ้น (ชั่วขณะ) จะเห็นดวงจิตตั้งเด่น อยู่ท่ามกลางความว่าง (สุญตา) ส่องสว่างไปทุกทิศทุกทาง เป็นประภัสสร (ตามรูป)
ปล.ประสบการณ์จากการทำสมาธิส่วนตัวนะครับ
ผมอธิบายตามสภาวะที่ผมพบเจอในสมาธิครับ
นั่งสมาธิแล้ว จิตรวมพุ่งเข้ารูเข็มเล็กๆ ยาวสว่างไสว
"ไปโผล่อีกมิติ ที่มีแต่ความว่าง เปล่า ไม่มีทิศ มีทาง ไม่มีขนาด ไม่มีกาลเวลา ไม่มีกาย ไม่มีลมหายใจ ไม่มีความคิด ตรงกลางมิติเวิ้งว้าง มีจิตประภัสสรส่องแสงสว่างไสวกลางห้วงนั้น จิตจะตัดขาดจากกายไม่เชื่อมต่อกันอีกต่อไป ไม่รับรู้ถึงกายเหมือนจิตกับกายแยกจากกัน อยู่กันคนละมิติ แต่สติ ตัวรู้ยังอยู่ครบ 100% มีแต่ตัวรู้ สติอยู่กับตัวรู้ ไร้ซึ่งความคิดใดๆ"