ฌานสูตร — ความสิ้นไปแห่งอาสวะเพราะอาศัยฌาน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายอาศัยการเข้าฌานได้ ไม่ว่าจะเป็นปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน หรืออรูปฌานทั้งหลาย เช่น อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ และเนวสัญญานาสัญญายตนะ
เมื่อภิกษุสงัดจากกามและอกุศลธรรมแล้วเข้าสู่ปฐมฌาน เธอพิจารณารูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณที่ปรากฏในขณะนั้น เห็นตามจริงว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นเหมือนแผล เป็นเหมือนลูกศร ไม่ควรยึดถือ เป็นของผู้อื่น เป็นสิ่งชำรุด ว่างเปล่า เป็นอนัตตา แล้วตั้งจิตมั่นอยู่ในความจริงนั้น ครั้นแล้วน้อมจิตไปสู่อมตธาตุว่า สิ่งนี้แหละคือความสงบ สิ่งนี้แหละคือความประณีต สิ่งนี้แหละคือความดับของสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิ ความสิ้นตัณหา ความคลายกำหนัด และความดับคือนิพพาน
ถ้าในปฐมฌานนั้นภิกษุสิ้นอาสวะได้ก็เป็นพระอรหันต์ แต่ถ้ายังไม่สิ้นอาสวะ เธอย่อมเป็นอุปปาติกะ คือผู้ไม่กลับมาเกิดในโลกนี้อีก เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำห้าประการสิ้นไป และจักปรินิพพานในพรหมโลก
พระองค์ทรงเปรียบไว้เหมือนนายขมังธนูหรือศิษย์ของนายขมังธนู ที่แรกฝึกยิงเป้าหุ่นหญ้าหรือกองดิน ต่อมากลายเป็นผู้ชำนาญ ยิงได้ไกล ยิงไม่พลาด และยิงทำลายเป้าใหญ่ได้ ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้น เมื่อเข้าสู่ฌานแล้วพิจารณาขันธ์ทั้งหลายตามความจริง ย่อมบรรลุผลใหญ่คือความสิ้นอาสวะ
หลักการนี้ใช้ได้กับทุกฌาน ไม่ว่าจะเป็นทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน หรืออรูปฌาน ภิกษุผู้เข้าสมาบัติแล้วพิจารณาขันธ์ทั้งห้าว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ยึดถือ แล้วน้อมจิตสู่นิพพาน ย่อมสิ้นอาสวะได้ หากยังไม่สิ้น ย่อมเป็นพระอนาคามี ผู้ไม่กลับมาเกิดอีก
ในอรูปฌาน เช่น อากาสานัญจายตนะ ภิกษุล่วงพ้นรูปสัญญา ดับปฏิฆสัญญา ไม่ใส่ใจในนานัตตสัญญา ตั้งจิตว่าอากาศไม่มีที่สุด จึงบรรลุอากาสานัญจายตนฌาน แล้วพิจารณาเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณตามความจริง ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า เป็นอนัตตา แล้วน้อมจิตสู่นิพพาน ก็สิ้นอาสวะได้ หากยังไม่สิ้นก็เป็นอนาคามี
เช่นเดียวกับวิญญาณัญจายตนฌาน และอากิญจัญญายตนฌาน เมื่อภิกษุเข้าถึงแล้วพิจารณาขันธ์ห้าเห็นตามความจริง และน้อมจิตสู่นิพพาน ก็สิ้นอาสวะได้ หากยังไม่สิ้นก็เป็นอนาคามี
พระองค์ตรัสเพิ่มเติมว่า สัญญาสมาบัติใดมีอยู่ สัญญาปฏิเวธก็มีตามนั้น หมายความว่าผู้ที่เข้าฌานแล้วพิจารณาตามจริง ย่อมใช้สมาบัตินั้นเป็นทางให้สิ้นอาสวะได้
สุดท้าย พระองค์ตรัสถึงอายตนะสองประการ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ และนิโรธสมาบัติหรือสัญญาเวทยิตนิโรธ ว่าเป็นสมาบัติที่เกื้อกูลกัน ผู้ที่ฉลาดในการเข้าสมาบัติและออกจากสมาบัติ ย่อมรู้และกล่าวได้โดยชอบ
สรุป
ฌานทั้งสี่และอรูปฌานทั้งสี่ เป็นเครื่องตั้งจิตมั่นเพื่อเพ่งพิจารณาขันธ์ห้าเห็นตามไตรลักษณ์
เมื่อจิตน้อมสู่นิพพาน ย่อมสิ้นอาสวะได้ ถ้าสิ้นอาสวะทั้งหมดเป็นพระอรหันต์ ถ้ายังไม่สิ้นแต่สิ้นสังโยชน์เบื้องต่ำห้าประการ เป็นพระอนาคามี
ฌานจึงไม่ใช่เป้าหมายสุดท้าย แต่เป็นบาทฐานสำหรับการเห็นแจ้งในความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และอนัตตา แล้วนำจิตเข้าสู่นิพพาน
ความสิ้นไปแห่งอาสวะเพราะอาศัยฌาน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายอาศัยการเข้าฌานได้ ไม่ว่าจะเป็นปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน หรืออรูปฌานทั้งหลาย เช่น อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ และเนวสัญญานาสัญญายตนะ
เมื่อภิกษุสงัดจากกามและอกุศลธรรมแล้วเข้าสู่ปฐมฌาน เธอพิจารณารูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณที่ปรากฏในขณะนั้น เห็นตามจริงว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นเหมือนแผล เป็นเหมือนลูกศร ไม่ควรยึดถือ เป็นของผู้อื่น เป็นสิ่งชำรุด ว่างเปล่า เป็นอนัตตา แล้วตั้งจิตมั่นอยู่ในความจริงนั้น ครั้นแล้วน้อมจิตไปสู่อมตธาตุว่า สิ่งนี้แหละคือความสงบ สิ่งนี้แหละคือความประณีต สิ่งนี้แหละคือความดับของสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิ ความสิ้นตัณหา ความคลายกำหนัด และความดับคือนิพพาน
ถ้าในปฐมฌานนั้นภิกษุสิ้นอาสวะได้ก็เป็นพระอรหันต์ แต่ถ้ายังไม่สิ้นอาสวะ เธอย่อมเป็นอุปปาติกะ คือผู้ไม่กลับมาเกิดในโลกนี้อีก เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำห้าประการสิ้นไป และจักปรินิพพานในพรหมโลก
พระองค์ทรงเปรียบไว้เหมือนนายขมังธนูหรือศิษย์ของนายขมังธนู ที่แรกฝึกยิงเป้าหุ่นหญ้าหรือกองดิน ต่อมากลายเป็นผู้ชำนาญ ยิงได้ไกล ยิงไม่พลาด และยิงทำลายเป้าใหญ่ได้ ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้น เมื่อเข้าสู่ฌานแล้วพิจารณาขันธ์ทั้งหลายตามความจริง ย่อมบรรลุผลใหญ่คือความสิ้นอาสวะ
หลักการนี้ใช้ได้กับทุกฌาน ไม่ว่าจะเป็นทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน หรืออรูปฌาน ภิกษุผู้เข้าสมาบัติแล้วพิจารณาขันธ์ทั้งห้าว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ยึดถือ แล้วน้อมจิตสู่นิพพาน ย่อมสิ้นอาสวะได้ หากยังไม่สิ้น ย่อมเป็นพระอนาคามี ผู้ไม่กลับมาเกิดอีก
ในอรูปฌาน เช่น อากาสานัญจายตนะ ภิกษุล่วงพ้นรูปสัญญา ดับปฏิฆสัญญา ไม่ใส่ใจในนานัตตสัญญา ตั้งจิตว่าอากาศไม่มีที่สุด จึงบรรลุอากาสานัญจายตนฌาน แล้วพิจารณาเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณตามความจริง ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า เป็นอนัตตา แล้วน้อมจิตสู่นิพพาน ก็สิ้นอาสวะได้ หากยังไม่สิ้นก็เป็นอนาคามี
เช่นเดียวกับวิญญาณัญจายตนฌาน และอากิญจัญญายตนฌาน เมื่อภิกษุเข้าถึงแล้วพิจารณาขันธ์ห้าเห็นตามความจริง และน้อมจิตสู่นิพพาน ก็สิ้นอาสวะได้ หากยังไม่สิ้นก็เป็นอนาคามี
พระองค์ตรัสเพิ่มเติมว่า สัญญาสมาบัติใดมีอยู่ สัญญาปฏิเวธก็มีตามนั้น หมายความว่าผู้ที่เข้าฌานแล้วพิจารณาตามจริง ย่อมใช้สมาบัตินั้นเป็นทางให้สิ้นอาสวะได้
สุดท้าย พระองค์ตรัสถึงอายตนะสองประการ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ และนิโรธสมาบัติหรือสัญญาเวทยิตนิโรธ ว่าเป็นสมาบัติที่เกื้อกูลกัน ผู้ที่ฉลาดในการเข้าสมาบัติและออกจากสมาบัติ ย่อมรู้และกล่าวได้โดยชอบ
สรุป
ฌานทั้งสี่และอรูปฌานทั้งสี่ เป็นเครื่องตั้งจิตมั่นเพื่อเพ่งพิจารณาขันธ์ห้าเห็นตามไตรลักษณ์
เมื่อจิตน้อมสู่นิพพาน ย่อมสิ้นอาสวะได้ ถ้าสิ้นอาสวะทั้งหมดเป็นพระอรหันต์ ถ้ายังไม่สิ้นแต่สิ้นสังโยชน์เบื้องต่ำห้าประการ เป็นพระอนาคามี
ฌานจึงไม่ใช่เป้าหมายสุดท้าย แต่เป็นบาทฐานสำหรับการเห็นแจ้งในความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และอนัตตา แล้วนำจิตเข้าสู่นิพพาน