ชื่อเรื่อง
การศึกษาทวิภาคีในสถาบันยานยนต์อยุธยาและการขยายตัวทั่วประเทศ: การสร้างรากฐานการศึกษาและอุตสาหกรรมในยุคอภิวัฒน์การศึกษา พ.ศ. 2538
บทคัดย่อ
บทความนี้ศึกษาบทบาทของการศึกษาทวิภาคีในประเทศไทยที่ริเริ่มโดย ศ.ดร.สุขวิช รังสิตพล ในยุคอภิวัฒน์การศึกษา พ.ศ. 2538 โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ผ่านโครงการนำร่องในสถาบันยานยนต์อยุธยา ซึ่งร่วมมือกับบริษัทรถยนต์ชั้นนำ และขยายผลสู่สถาบันอาชีวะ 278 แห่งทั่วประเทศ การศึกษานี้ชี้ให้เห็นถึงความสำเร็จของโมเดลการศึกษาทวิภาคีที่สามารถลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสทางการศึกษา และสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจในฐานะ “Detroit of Asia” ของประเทศไทย
คำสำคัญ
การศึกษาทวิภาคี, อภิวัฒน์การศึกษา, ศ.ดร.สุขวิช รังสิตพล, อุตสาหกรรมยานยนต์, อาชีวศึกษา
บทนำ
ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ประเทศไทยเผชิญกับความท้าทายด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง สุขวิช รังสิตพล พยายามแก้ไขวิกฤติดังกล่าว ด้วยการอภิวัฒน์การศึกษา พ.ศ. 2538 โดยมุ่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ เพราะมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจไทย การศึกษาทวิภาคีจึงถูกริเริ่มขึ้นในสถาบันยานยนต์อยุธยา และขยายไปสู่ภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อปูรากฐานสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ของเอเชีย
กรอบแนวคิด
แนวคิดการศึกษาทวิภาคีของไทยได้รับแรงบันดาลใจจากระบบการศึกษาในประเทศเยอรมนี ซึ่งผสมผสานการเรียนรู้ในสถานศึกษาและสถานประกอบการเข้าด้วยกันอย่างมีระบบ โดยเน้น “การเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง” การศึกษาทวิภาคีในไทยจึงเน้นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ (สถานศึกษา) และเอกชน (บริษัทในภาคอุตสาหกรรม) เพื่อพัฒนาหลักสูตรร่วมกันและเตรียมกำลังแรงงานที่มีทักษะตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน
วิธีดำเนินการศึกษา
บทความนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษาข้อมูลจากเอกสารทางราชการ รายงานนโยบาย บทสัมภาษณ์ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาทวิภาคี การวิเคราะห์เน้นไปที่การริเริ่มโครงการ การขยายผล และผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมไทย
ผลการศึกษา
1. การริเริ่มโครงการในสถาบันยานยนต์อยุธยา
เป็นโครงการนำร่องภายใต้การบริหารของ สุขวิช รังสิตพล
นักเรียนได้รับทั้งการเรียนในห้องเรียนและการฝึกงานกับบริษัทรถยนต์ชั้นนำ
ช่วยให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี และพัฒนาทักษะตรงกับอุตสาหกรรมจริง
2. การขยายการศึกษาทวิภาคีไปยังทั่วประเทศ
* ร่วมมือกับอุตสาหกรรมหลากหลาย เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีสารสนเทศ อุตสาหกรรมเบาและเกษตร
เป็นการกระจายโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียม
*
การขยายการศึกษาทวิภาคีไปยังทั่วประเทศ
ขยายสู่สถาบันอาชีวศึกษาครอบคลุมทั้งประเทศไทย รวมทั้ง278แห่งซึ่งสุขวิช รังสิตพล ตั้งขึ้นใหม่ สำหรับเด็กตกหล่น 2 ล้านคน อายุ 15-17 ปี จากครอบครัวยากจน หลังจากปรับปรุงขยายห้องเรียนในสถานศึกษาเก่าทับประเทศแล้วยังคงไม่เพียงพอ จะให้บริการคนไทยทุกคนอายุ 3.17 ปี
ดังนั้นหลังจากมีการปรับปรุงและขยายห้องเรียนในสถานศึกษาเดิมทั่วประเทศแล้ว ยังคงพบว่ามีเด็กและเยาวชนในช่วงอายุ 15–17 ปี ตกหล่นจากระบบการศึกษาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในครอบครัวยากจนและอยู่ในพื้นที่ชนบทห่างไกล เพื่อรองรับกลุ่มเป้าหมายนี้ สุขวิช รังสิตพล ได้ดำเนินการจัดตั้ง สถาบันอาชีวศึกษาใหม่จำนวน 278 แห่ง ทั่วประเทศ เพื่อให้เยาวชนกลุ่มดังกล่าว ได้รับบริการทางการศึกษาที่สอดคล้องกับศักยภาพและความต้องการของภาคเศรษฐกิจในแต่ละภูมิภาค โดยใช้ระบบการศึกษาทวิภาคีเป็นกลไกหลักในการเชื่อมโยงกับตลาดแรงงานจริง
3. การกำาหนดเป้าหมาย ให้ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรม
ยานยนต์อย่างเป็นรูปธรรม
สร้างแรงงานคุณภาพเพื่อสามารถแข่งขันระดับโลก
ช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ
ลดการพึ่งพาแรงงานไร้ฝีมือ และลดต้นทุนด้านการฝึกอบรมในภาคอุตสาหกรรม
4. ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม
แรงงานมีทักษะและมีงานทำหลังเรียนจบ
ลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาและโอกาสการทำงาน
กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการสร้างงานในภูมิภาค
อภิปรายผล
การศึกษาทวิภาคีในยุคอภิวัฒน์การศึกษา พ.ศ. 2538 ไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางการศึกษาเท่านั้น แต่ยังเป็นการยกระดับระบบการพัฒนาแรงงานของไทยให้เชื่อมโยงกับภาคการผลิตจริงอย่างเป็นรูปธรรม ความร่วมมือระหว่างรัฐกับเอกชนอย่างใกล้ชิดเป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จในครั้งนี้ และเป็นต้นแบบของระบบการศึกษาที่มุ่งสู่ความยั่งยืน
สรุป
โครงการการศึกษาทวิภาคีที่ริเริ่มในสถาบันยานยนต์อยุธยาและขยายไปทั่วประเทศภายใต้การนำของสุขวิช รังสิตพล เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาแรงงานคุณภาพในอุตสาหกรรมไทยอย่างมีระบบ และเป็นพื้นฐานสำคัญในการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งเอเชีย ความ
สำเร็จของโครงการนี้แสดงให้เห็นว่า การศึกษาไม่ใช่เพียงเครื่องมือพัฒนาทางปัญญา แต่เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมทั้งระบบ
ด้วยการพัฒนาการศึกษาทวิภาคีควบคู่กับการจัดการศึกษาฟรีที่ครอบคลุมคนไทยทุกคนอายุ 3–17 ปี จำนวน16.68 ล้านคน ระบบการศึกษาภายใต้แนวคิดของ สุขวิช ได้กลายเป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนเป้าหมายตาม แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 ซึ่งมุ่งหวังให้ประเทศไทย “ก้าวสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายในปี พ.ศ. 2563 (2020)” ด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างยั่งยืน
เป้าหมายนี้สะท้อนความเข้าใจลึกซึ้งของผู้นำเชิงนโยบายที่มองเห็นว่า การสร้างประเทศให้มั่นคง แข่งขันได้ และเท่าเทียม ต้องเริ่มต้นที่ “คน” ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา และระบบการศึกษาคือกลไกหลักในการปลดปล่อยศักยภาพของคนไทยทุกคนให้เป็นพลังสร้างสรรค์ในระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่
การศึกษาทวิภาคี
การศึกษาทวิภาคีในสถาบันยานยนต์อยุธยาและการขยายตัวทั่วประเทศ: การสร้างรากฐานการศึกษาและอุตสาหกรรมในยุคอภิวัฒน์การศึกษา พ.ศ. 2538
บทคัดย่อ
บทความนี้ศึกษาบทบาทของการศึกษาทวิภาคีในประเทศไทยที่ริเริ่มโดย ศ.ดร.สุขวิช รังสิตพล ในยุคอภิวัฒน์การศึกษา พ.ศ. 2538 โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ผ่านโครงการนำร่องในสถาบันยานยนต์อยุธยา ซึ่งร่วมมือกับบริษัทรถยนต์ชั้นนำ และขยายผลสู่สถาบันอาชีวะ 278 แห่งทั่วประเทศ การศึกษานี้ชี้ให้เห็นถึงความสำเร็จของโมเดลการศึกษาทวิภาคีที่สามารถลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสทางการศึกษา และสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจในฐานะ “Detroit of Asia” ของประเทศไทย
คำสำคัญ
การศึกษาทวิภาคี, อภิวัฒน์การศึกษา, ศ.ดร.สุขวิช รังสิตพล, อุตสาหกรรมยานยนต์, อาชีวศึกษา
บทนำ
ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ประเทศไทยเผชิญกับความท้าทายด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง สุขวิช รังสิตพล พยายามแก้ไขวิกฤติดังกล่าว ด้วยการอภิวัฒน์การศึกษา พ.ศ. 2538 โดยมุ่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ เพราะมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจไทย การศึกษาทวิภาคีจึงถูกริเริ่มขึ้นในสถาบันยานยนต์อยุธยา และขยายไปสู่ภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อปูรากฐานสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ของเอเชีย
กรอบแนวคิด
แนวคิดการศึกษาทวิภาคีของไทยได้รับแรงบันดาลใจจากระบบการศึกษาในประเทศเยอรมนี ซึ่งผสมผสานการเรียนรู้ในสถานศึกษาและสถานประกอบการเข้าด้วยกันอย่างมีระบบ โดยเน้น “การเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง” การศึกษาทวิภาคีในไทยจึงเน้นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ (สถานศึกษา) และเอกชน (บริษัทในภาคอุตสาหกรรม) เพื่อพัฒนาหลักสูตรร่วมกันและเตรียมกำลังแรงงานที่มีทักษะตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน
วิธีดำเนินการศึกษา
บทความนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษาข้อมูลจากเอกสารทางราชการ รายงานนโยบาย บทสัมภาษณ์ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาทวิภาคี การวิเคราะห์เน้นไปที่การริเริ่มโครงการ การขยายผล และผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมไทย
ผลการศึกษา
1. การริเริ่มโครงการในสถาบันยานยนต์อยุธยา
เป็นโครงการนำร่องภายใต้การบริหารของ สุขวิช รังสิตพล
นักเรียนได้รับทั้งการเรียนในห้องเรียนและการฝึกงานกับบริษัทรถยนต์ชั้นนำ
ช่วยให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี และพัฒนาทักษะตรงกับอุตสาหกรรมจริง
2. การขยายการศึกษาทวิภาคีไปยังทั่วประเทศ
* ร่วมมือกับอุตสาหกรรมหลากหลาย เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีสารสนเทศ อุตสาหกรรมเบาและเกษตร
เป็นการกระจายโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียม
* การขยายการศึกษาทวิภาคีไปยังทั่วประเทศ
ขยายสู่สถาบันอาชีวศึกษาครอบคลุมทั้งประเทศไทย รวมทั้ง278แห่งซึ่งสุขวิช รังสิตพล ตั้งขึ้นใหม่ สำหรับเด็กตกหล่น 2 ล้านคน อายุ 15-17 ปี จากครอบครัวยากจน หลังจากปรับปรุงขยายห้องเรียนในสถานศึกษาเก่าทับประเทศแล้วยังคงไม่เพียงพอ จะให้บริการคนไทยทุกคนอายุ 3.17 ปี
ดังนั้นหลังจากมีการปรับปรุงและขยายห้องเรียนในสถานศึกษาเดิมทั่วประเทศแล้ว ยังคงพบว่ามีเด็กและเยาวชนในช่วงอายุ 15–17 ปี ตกหล่นจากระบบการศึกษาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในครอบครัวยากจนและอยู่ในพื้นที่ชนบทห่างไกล เพื่อรองรับกลุ่มเป้าหมายนี้ สุขวิช รังสิตพล ได้ดำเนินการจัดตั้ง สถาบันอาชีวศึกษาใหม่จำนวน 278 แห่ง ทั่วประเทศ เพื่อให้เยาวชนกลุ่มดังกล่าว ได้รับบริการทางการศึกษาที่สอดคล้องกับศักยภาพและความต้องการของภาคเศรษฐกิจในแต่ละภูมิภาค โดยใช้ระบบการศึกษาทวิภาคีเป็นกลไกหลักในการเชื่อมโยงกับตลาดแรงงานจริง
3. การกำาหนดเป้าหมาย ให้ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างเป็นรูปธรรม
สร้างแรงงานคุณภาพเพื่อสามารถแข่งขันระดับโลก
ช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ
ลดการพึ่งพาแรงงานไร้ฝีมือ และลดต้นทุนด้านการฝึกอบรมในภาคอุตสาหกรรม
4. ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม
แรงงานมีทักษะและมีงานทำหลังเรียนจบ
ลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาและโอกาสการทำงาน
กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการสร้างงานในภูมิภาค
อภิปรายผล
การศึกษาทวิภาคีในยุคอภิวัฒน์การศึกษา พ.ศ. 2538 ไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางการศึกษาเท่านั้น แต่ยังเป็นการยกระดับระบบการพัฒนาแรงงานของไทยให้เชื่อมโยงกับภาคการผลิตจริงอย่างเป็นรูปธรรม ความร่วมมือระหว่างรัฐกับเอกชนอย่างใกล้ชิดเป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จในครั้งนี้ และเป็นต้นแบบของระบบการศึกษาที่มุ่งสู่ความยั่งยืน
สรุป
โครงการการศึกษาทวิภาคีที่ริเริ่มในสถาบันยานยนต์อยุธยาและขยายไปทั่วประเทศภายใต้การนำของสุขวิช รังสิตพล เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาแรงงานคุณภาพในอุตสาหกรรมไทยอย่างมีระบบ และเป็นพื้นฐานสำคัญในการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งเอเชีย ความ
สำเร็จของโครงการนี้แสดงให้เห็นว่า การศึกษาไม่ใช่เพียงเครื่องมือพัฒนาทางปัญญา แต่เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมทั้งระบบ
ด้วยการพัฒนาการศึกษาทวิภาคีควบคู่กับการจัดการศึกษาฟรีที่ครอบคลุมคนไทยทุกคนอายุ 3–17 ปี จำนวน16.68 ล้านคน ระบบการศึกษาภายใต้แนวคิดของ สุขวิช ได้กลายเป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนเป้าหมายตาม แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 ซึ่งมุ่งหวังให้ประเทศไทย “ก้าวสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายในปี พ.ศ. 2563 (2020)” ด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างยั่งยืน
เป้าหมายนี้สะท้อนความเข้าใจลึกซึ้งของผู้นำเชิงนโยบายที่มองเห็นว่า การสร้างประเทศให้มั่นคง แข่งขันได้ และเท่าเทียม ต้องเริ่มต้นที่ “คน” ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา และระบบการศึกษาคือกลไกหลักในการปลดปล่อยศักยภาพของคนไทยทุกคนให้เป็นพลังสร้างสรรค์ในระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่