“เรามาฉลองกันสองฅนจะดีกว่า” สัตตะกล่าวเรียบ ๆ แสงแดดส่องผ่านช่องเล็ก ๆ ข้างผ้าม่านสกปรกที่ห้อยบังหน้าต่างเข้ามา สายตาของวราเหม่อลอยออกไป ก่อนดึงมันกลับมามองต่ำก้มหน้าอีกครั้ง
สัตตะเดินไปยังลังไม้ซึ่งอยู่ตรงมุมห้อง เปิดฝาแล้วหยิบมันออกมา ขวดเหล้าชนิดที่หาซื้อได้จากตลาดมืด บนพื้นยังมีขวดเปล่ากลิ้งอยู่ เป็นร่องรอยที่บ่งบอกว่าชายร่างท้วมผู้นี้ดื่มมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
สัตตะคว้าแก้วจากชั้นวางของติดกับผนังฉาบปูนหยาบ ๆ จากนั้นจึงเดินมาหาเด็กชาย ใช้มือข้างถือแก้วโอบบ่าพาวรามายังเตียง เด็กชายเดินตามอย่างว่าง่าย
“ดื่มหน่อยไหม” เอ่ยถามเสียงเรียบ วราส่ายหน้าตอบ เหล้า ถือเป็นสิ่งต้องห้ามชนิดหนึ่ง เด็กชายรับรู้เช่นนั้น เขาไม่เคยคิดแตะต้องมัน แม้ว่าสำหรับฅนอื่นแล้วการดื่มเหล้าจะเป็นเรื่องปกติหากพวกเขาหาได้ก็ตาม เด็กชายไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมฅนเหล่านี้จึงชอบฝ่าฝืนข้อห้ามกัน
สัตตะรินเหล้าด้วยความใจเย็น วางขวดบนตู้ยาข้างเตียงแล้วมองหน้าวรา เด็กชายผู้มีดวงตาโตดำขลับที่ยามนี้ดูไม่สดใสสมวัยเอาเสียเลย
เสียงประตูลั่นและถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว สุทธิ์ก้าวเข้ามาในทันที สัตตะสะดุ้งชะงัก เขาลืมปิดประตูให้เรียบร้อยตอนเข้ามา
“ข้ามาขอรับรางวัล ข้าคิดได้แล้ว” สุทธิ์รีบพูดขึ้น สัตตะชะงักก่อนยิ้มกว้างออกมา
“อย่างนั้นรึ” ว่าพลางมองเด็กชายผู้ที่ท่อนบนยังคงเปลือยเปล่าตรงหน้า เลิกคิ้วถามด้วยน้ำเสียงเรียบต่ำออกมาอีก
“บอกมาสิว่าเจ้าต้องการอะไร”
“ข้าขอวราเป็นของรางวัล” สุทธิ์กล่าวเสียงดัง เพียงชั่วขณะที่สัตตะตีสีหน้าแปลกใจ ก่อนยิ้มกว้างออกมาอีกครั้ง
วรามองหน้าสุทธิ์ด้วยความแปลกใจเช่นกัน สุทธิ์ยังคงรอฟังคำตอบจากผู้ถูกร้องขอด้วยความตั้งใจ
“อย่างนั้นรึ” ว่าแล้วหยุดชั่วขณะ ยกเหล้าขึ้นจิบด้วยอาการใจเย็นแล้วจึงกล่าวต่อ “ข้าบอกเจ้าแล้วนะว่า หากเจ้าไม่ขอในตอนนั้น ข้าอาจบิดพลิ้วก็ได้”
สุทธิ์หน้าเสียเล็กน้อยกับคำตอบ ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดีจึงได้แต่ยืนนิ่ง รอว่าสัตตะจะกล่าวอะไรออกมาอีก
สัตตะนิ่งชั่วณะ ในที่สุดจึงส่งเสียงเบา ๆ ออกมา
“เจ้าต้องการเขาจริง ๆ อย่างนั้นรึ บอกสิว่าเจ้าต้องการเขาในฐานะอะไร”
“เขาเป็นเพื่อนข้า เขาจะอยู่ในฐานะอะไรก็ได้ ถ้าหากท่านไม่บิดพลิ้ว” สุทธิ์รีบโพล่งออกมา สัตตะยังคงยิ้มอย่างอารมณ์ดี ยิ่งเห็นท่าทางเด็กชายยิ่งทำให้เขารู้สึกครึ้มใจ
“ข้าไม่บิดพลิ้วเจ้าแน่นอน เพียงแต่ว่า” สัตตะกล่าวช้า ๆ แล้วจ้องหน้า “การที่เจ้าเพิ่งมาบอกความต้องการในตอนนี้ มันจึงจำเป็นต้องมีข้อแลกเปลี่ยนก็เท่านั้น”
สุทธิ์รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ทั้งอึดอัดกับการถูกจ้องหน้าจากอีกฝ่าย อดคาดเดาไม่ได้ว่าสัตตะต้องการอะไรกันแน่ จนกระร่างท้วมแต่ดูมั่นคงได้เอ่ยขึ้นอีก
“ข้าจะมอบวราให้เจ้า เป็นของเจ้า ถ้าเจ้า จะอยู่ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนข้า แค่ผ่านคืนนี้ไปสักคืน”
วราสะดุ้ง เขาตกใจเมื่อคิดว่าสุทธิ์ต้องเข้ามาอยู่ในวังวนเดียวกับตน สุทธิ์มีอาการสะดุ้งเล็กน้อยเช่นกัน แต่เขายังคงยืนนิ่ง
“ว่าอย่างไรเล่า” สัตตะถามซ้ำเมื่อเด็กชายยังคงอ้ำอึ้ง
“แค่ผ่านคืนนี้ใช่ไหม” สุทธิ์ก้มหน้าถาม สัตตะรีบพยักหน้ารับ วรารู้ว่าถ้ามีครั้งแรกแล้ว มันจะมีครั้งต่อไปไม่จบสิ้น
“ได้” สุทธิ์พยักหน้าตอบ วราอดสะดุ้งกับคำตอบที่ได้ยินเพียงแผ่วนั้นไม่ได้ สัตตะยิ้มพอใจ ชั่วขณะสุทธิ์จึงเงยหน้ามองแล้วกล่าวกับสัตตะ
“ท่านให้วราออกไปก่อน เพื่อข้าจะได้อยู่กับท่านเพียงลำพัง”
สัตตะยิ้มกว้าง หันมองวราแล้วพยักหน้าเชิงอนุญาตให้ออกไป วรายังคงยืนนิ่ง ลังเล ทั้งสับสนว่าควรทำอย่างไรดี อยากบอกสุทธิ์ว่าเขาไม่ควรทำเช่นนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรวราก็ต้องเปิดประตูก้าวเท้าออกจากห้องตามลำพัง
สัตตะส่งแก้วเหล้าให้เด็กชายเมื่อประตูถูกปิดและสุทธิ์นั่งลงบนเตียงแล้ว สุทธิ์รับมากระดกดื่ม ตีสีหน้าเหยเกเมื่อรู้รส
“บาดคอชะมัด” เด็กชายพึมพำ
“ข้าชอบอะไรที่มีรสชาติ” สัตตะว่าพลางโอบไหล่เปล่าเปลือย รั้งร่างเด็กชายเข้าหา สุทธิ์ขืนตัวออกมา
“ถ้าท่านชอบข้าจะรินให้” ว่าพลางหันหลังคว้าขวดมารินเหล้าใส่แก้ว ส่งให้สัตตะแล้วเดินไปหยิบแก้วอีกใบมารินเหล้าให้ตัวเอง
“เรามานั่งดื่มกันก่อนดีกว่า ถึงจะบาดคอแต่ข้าก็ชักติดใจเหมือนกัน”
สัตตะยิ้มรับ เขาไม่จำเป็นต้องรีบร้อนอะไร สัตตะคิดเช่นนั้นพลางขยับไปนั่งแนบชิดกับสุทธิ์ เด็กชายปล่อยให้ร่างกายถูกล่วงเกิน สัตตะลูบคลำผิวเปลือยเปล่า เริ่มรับรู้ว่าวันนี้เหล้ามีผลต่อร่างกายของเขาได้ง่ายกว่าปกติ
สุทธิ์ยังคงนั่งด้วยอาการอิงแอบแนบชิด ซักถามสัตตะด้วยเรื่องต่าง ๆ
“เจ้านี่มันเหมือนพ่อมากจริง ๆ”
สัตตะว่าพลางมองหน้าเด็กชาย
“ข้าก็เคยได้ยินเช่นนั้น มีแต่ฅนบอกว่าข้าเหมือนพ่อ”
“ใช่” ลัตตะเอ่ยขึ้นอีก “พ่อเจ้าเป็นหนุ่มรูปงามที่แข็งแรงบึกบึน เสียแต่ชอบเหล้าและการพนันมากไปหน่อยเท่านั้น” ว่าพลางยิ้มจ้องหน้า
เวลาผ่านไปร่วมครึ่งชั่วโมง วราออกมานั่งอยู่กับกองหินที่เกิดจากการทำเหมือง กองหินสกปรกเหล่านี้อยู่ไม่ห่างที่พักสัตตะมากนัก ถึงอย่างไรเขายังอดเป็นห่วงสุทธิ์ไม่ได้
สัตตะเริ่มรู้สึกถึงอาการมึนงงที่มีมากขึ้น เขาแปลกใจกับแขนขาที่หนักอึ้งอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สุทธิ์รินเหล้าส่งให้ สัตตะยกมือปัดออก จ้องหน้าเด็กชายก่อนกระชากไหล่เข้าหาตน ความอ่อนเปลี้ยและอาการที่รุนแรงขึ้นทำให้เขามั่นใจ
สุทธิ์พยายามดิ้นออกมา แม้จะดูอ่อนแรง แต่ฝ่ามือของสัตตะยังไม่ต่างจากคีมเหล็ก เขาใช้กำลังทั้งหมดเท่าที่มีพยายามเค้นคอเด็กชาย
แม้จะยากต่อการดิ้นหลุด แต่สุทธิ์ยังคงไม่กล้าทำร้ายสัตตะเพื่อเอาตัวรอด ความขลาดกลัวที่มีมานานทำให้เขาเป็นเช่นนั้น สุทธิ์ไม่รู้ด้วยว่าสัตตะยังมีสติแค่ไหน เขาจึงได้แต่ดิ้นรนให้หลุดออกมาโดยปราศจากการใช้กำลังตอบโต้แต่อย่างใด
สัตตะรู้ตัวแล้วว่าถูกสุทธิ์วางยา เขาจึงต้องรีบจัดการก่อนที่เรี่ยวแรงจะทรุดลง หรือฤทธิ์ยาจะกำเริบมากกว่านี้
สุทธิ์กำลังตกอยู่ในอุ้งมือมัจจุราช ในที่สุดลมหายใจของเขาเริ่มขาดห้วง ทั้งร่างเกร็งแน่น ได้แต่ดิ้นรนตามสัญชาตญาณ มือสองข้างตะเกียกตะกายเปะปะ แม้ตอนนี้เขาจะต้องการตอบโต้ด้วยกำลังก็ไม่อาจทำได้เต็มที่หรือทำได้โดยถนัดถนี่แล้ว พยายามแกะมือของสัตตะออก แต่แรงของเขาไม่มีทางสู้ฝ่ามือแข็งแรงนั้นได้เลย มันดูใหญ่กว่าคอเล็ก ๆ ของเขามาก นิ้วที่เหมือนคีมเหล็กของสัตตะนั้นยิ่งขยับก็ยิ่งบีบแน่นขึ้น ความดันในศีรษะพุ่งทะยาน ดวงตาร้อนผ่าว เหมือนเลือดทั้งหมดกำลังจะระเบิดออกมา
เขาพยายามถีบขา ดิ้นเร่าอย่างคนกำลังจมน้ำ เสียงอื้ออึงดังอยู่ในหู ทุกอย่างรอบตัวเลือนลางไปหมดแล้ว จังหวะหัวใจเต้นโครมครามอยู่ในอก รุนแรงจนรู้สึกได้
สุทธิ์ได้แต่อ้าปากพะงาบ พยายามกลืนอากาศที่ไม่มีเหลือ ลมหายใจสั้นลงเรื่อย ๆ เริ่มหอบฮืดฮาดอย่างไร้พลัง ร่างกายเริ่มชา แขนที่เคยยื้อยุดเมื่อครู่หมดแรงห้อยลงข้างตัว
แต่สติที่ยังมีนั้นบอกว่าเขายังไม่อยากตาย ดวงตาพร่ามัวมองเห็นเงาราง ๆ ของสัตตะที่จ้องเขาด้วยสายตาไร้ปรานี
"อย่า..."
เสียงแหบพร่าหลุดออกมาอย่างยากลำบาก ไม่มีใครได้ยินอีกแล้ว ทุกอย่างกำลังจมหายไป...
“อัก”
สัตตะส่งเสียงร้องสั้น ๆ ออกมาพร้อมเสียงดังของท่อนไม้ที่ถูกหวดกระทบกลางหลัง สุทธิ์เป็นอิสระอีกครั้ง
“วรา” เขาเรียกชื่อเพื่อนผู้กำลังยืนหน้าซีดเผือด วราแทบไม่อยากเชื่อว่าเขาทำอะไรลงไป เพียงแต่ไม่ทันไร คอเสื้อของเขาก็ถูกกระชากอย่างแรง แม้ต้องฝืนอย่างเต็มที่ แต่สัตตะก็พยายามใช้เรี่ยวแรงและสติเท่าทีมีอยู่จัดการกับเด็กสองฅน ในที่สุดสัตตะก็คว้าคอของวราไว้ได้ มือแข็งออกแรงบีบเค้น
เสียงขวดเหลัาแตกกระจายเมื่อสุทธิ์ฟาดมันเข้าใส่ร่างบึกบึน ขวดที่มีน้ำเหลือครึ่งหนึ่งนั้นถูกฟาดเข้าใส่จุดสำคัญบริเวณที่เรียกว่าทัดดอกไม้หรือกกหูพอดี ทั้งการโดนทำร้าย และฤทธิ์ของยาคลายกล้ามเนื้อชนิดที่มีผลรุนแรงเมื่อผสมกับเหล้า ทำให้ร่างสัตตะทรุดลงกับพื้น เขายังคงกระตุกเป็นบางครั้งก่อนแน่นิ่งไป
“ไปกันเถอะ” สุทธิ์รีบจูงมือวราออกมา
“ไปไหน” วราถาม ยังคงตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
แม้จะได้รับความปราชัย แต่กุร์พรีตก็ยังได้รับการยอมรับจากกลุ่ม เพราะอย่างน้อยทุกฅนก็ได้เห็นความเป็นนักสู้ในตัวของเขา กุร์พรีตยังคงเต้นรำฉลองวันชาติท่ามกลางความชื่นชมของทุกฅน เพียงแต่ขณะกำลังสนุกอยู่นั้น เมื่อมองไกลออกไปเขากลับได้เห็นความผิดปกติ
“จะไปไหน” เสียงใครฅนหนึ่งร้องถามเมื่อเห็นกุร์พรีตแยกออกจากกลุ่มเต้นรำ
“ธุระส่วนตัว” กุพีร์ตตอบสั้น ๆ ยังคงจ้องมองและตรงไปยังทิศทางที่เห็นสองร่างหายลับไป
“เราไม่น่าทำร้ายเขาเลย ข้าไม่ตั้งใจเลยจริง ๆ” วราเอ่ยขึ้น
“ช่างมันเถอะ ไหน ๆ เรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว” สุทธิ์บอก
“แต่เราไม่ควรทำร้ายใคร” วรายังคงกล่าวแย้งออกมา
(ยังมีต่อ)
รักต้องห้าม (บทที่ 3)
สัตตะเดินไปยังลังไม้ซึ่งอยู่ตรงมุมห้อง เปิดฝาแล้วหยิบมันออกมา ขวดเหล้าชนิดที่หาซื้อได้จากตลาดมืด บนพื้นยังมีขวดเปล่ากลิ้งอยู่ เป็นร่องรอยที่บ่งบอกว่าชายร่างท้วมผู้นี้ดื่มมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
สัตตะคว้าแก้วจากชั้นวางของติดกับผนังฉาบปูนหยาบ ๆ จากนั้นจึงเดินมาหาเด็กชาย ใช้มือข้างถือแก้วโอบบ่าพาวรามายังเตียง เด็กชายเดินตามอย่างว่าง่าย
“ดื่มหน่อยไหม” เอ่ยถามเสียงเรียบ วราส่ายหน้าตอบ เหล้า ถือเป็นสิ่งต้องห้ามชนิดหนึ่ง เด็กชายรับรู้เช่นนั้น เขาไม่เคยคิดแตะต้องมัน แม้ว่าสำหรับฅนอื่นแล้วการดื่มเหล้าจะเป็นเรื่องปกติหากพวกเขาหาได้ก็ตาม เด็กชายไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมฅนเหล่านี้จึงชอบฝ่าฝืนข้อห้ามกัน
สัตตะรินเหล้าด้วยความใจเย็น วางขวดบนตู้ยาข้างเตียงแล้วมองหน้าวรา เด็กชายผู้มีดวงตาโตดำขลับที่ยามนี้ดูไม่สดใสสมวัยเอาเสียเลย
เสียงประตูลั่นและถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว สุทธิ์ก้าวเข้ามาในทันที สัตตะสะดุ้งชะงัก เขาลืมปิดประตูให้เรียบร้อยตอนเข้ามา
“ข้ามาขอรับรางวัล ข้าคิดได้แล้ว” สุทธิ์รีบพูดขึ้น สัตตะชะงักก่อนยิ้มกว้างออกมา
“อย่างนั้นรึ” ว่าพลางมองเด็กชายผู้ที่ท่อนบนยังคงเปลือยเปล่าตรงหน้า เลิกคิ้วถามด้วยน้ำเสียงเรียบต่ำออกมาอีก
“บอกมาสิว่าเจ้าต้องการอะไร”
“ข้าขอวราเป็นของรางวัล” สุทธิ์กล่าวเสียงดัง เพียงชั่วขณะที่สัตตะตีสีหน้าแปลกใจ ก่อนยิ้มกว้างออกมาอีกครั้ง
วรามองหน้าสุทธิ์ด้วยความแปลกใจเช่นกัน สุทธิ์ยังคงรอฟังคำตอบจากผู้ถูกร้องขอด้วยความตั้งใจ
“อย่างนั้นรึ” ว่าแล้วหยุดชั่วขณะ ยกเหล้าขึ้นจิบด้วยอาการใจเย็นแล้วจึงกล่าวต่อ “ข้าบอกเจ้าแล้วนะว่า หากเจ้าไม่ขอในตอนนั้น ข้าอาจบิดพลิ้วก็ได้”
สุทธิ์หน้าเสียเล็กน้อยกับคำตอบ ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดีจึงได้แต่ยืนนิ่ง รอว่าสัตตะจะกล่าวอะไรออกมาอีก
สัตตะนิ่งชั่วณะ ในที่สุดจึงส่งเสียงเบา ๆ ออกมา
“เจ้าต้องการเขาจริง ๆ อย่างนั้นรึ บอกสิว่าเจ้าต้องการเขาในฐานะอะไร”
“เขาเป็นเพื่อนข้า เขาจะอยู่ในฐานะอะไรก็ได้ ถ้าหากท่านไม่บิดพลิ้ว” สุทธิ์รีบโพล่งออกมา สัตตะยังคงยิ้มอย่างอารมณ์ดี ยิ่งเห็นท่าทางเด็กชายยิ่งทำให้เขารู้สึกครึ้มใจ
“ข้าไม่บิดพลิ้วเจ้าแน่นอน เพียงแต่ว่า” สัตตะกล่าวช้า ๆ แล้วจ้องหน้า “การที่เจ้าเพิ่งมาบอกความต้องการในตอนนี้ มันจึงจำเป็นต้องมีข้อแลกเปลี่ยนก็เท่านั้น”
สุทธิ์รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ทั้งอึดอัดกับการถูกจ้องหน้าจากอีกฝ่าย อดคาดเดาไม่ได้ว่าสัตตะต้องการอะไรกันแน่ จนกระร่างท้วมแต่ดูมั่นคงได้เอ่ยขึ้นอีก
“ข้าจะมอบวราให้เจ้า เป็นของเจ้า ถ้าเจ้า จะอยู่ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนข้า แค่ผ่านคืนนี้ไปสักคืน”
วราสะดุ้ง เขาตกใจเมื่อคิดว่าสุทธิ์ต้องเข้ามาอยู่ในวังวนเดียวกับตน สุทธิ์มีอาการสะดุ้งเล็กน้อยเช่นกัน แต่เขายังคงยืนนิ่ง
“ว่าอย่างไรเล่า” สัตตะถามซ้ำเมื่อเด็กชายยังคงอ้ำอึ้ง
“แค่ผ่านคืนนี้ใช่ไหม” สุทธิ์ก้มหน้าถาม สัตตะรีบพยักหน้ารับ วรารู้ว่าถ้ามีครั้งแรกแล้ว มันจะมีครั้งต่อไปไม่จบสิ้น
“ได้” สุทธิ์พยักหน้าตอบ วราอดสะดุ้งกับคำตอบที่ได้ยินเพียงแผ่วนั้นไม่ได้ สัตตะยิ้มพอใจ ชั่วขณะสุทธิ์จึงเงยหน้ามองแล้วกล่าวกับสัตตะ
“ท่านให้วราออกไปก่อน เพื่อข้าจะได้อยู่กับท่านเพียงลำพัง”
สัตตะยิ้มกว้าง หันมองวราแล้วพยักหน้าเชิงอนุญาตให้ออกไป วรายังคงยืนนิ่ง ลังเล ทั้งสับสนว่าควรทำอย่างไรดี อยากบอกสุทธิ์ว่าเขาไม่ควรทำเช่นนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรวราก็ต้องเปิดประตูก้าวเท้าออกจากห้องตามลำพัง
สัตตะส่งแก้วเหล้าให้เด็กชายเมื่อประตูถูกปิดและสุทธิ์นั่งลงบนเตียงแล้ว สุทธิ์รับมากระดกดื่ม ตีสีหน้าเหยเกเมื่อรู้รส
“บาดคอชะมัด” เด็กชายพึมพำ
“ข้าชอบอะไรที่มีรสชาติ” สัตตะว่าพลางโอบไหล่เปล่าเปลือย รั้งร่างเด็กชายเข้าหา สุทธิ์ขืนตัวออกมา
“ถ้าท่านชอบข้าจะรินให้” ว่าพลางหันหลังคว้าขวดมารินเหล้าใส่แก้ว ส่งให้สัตตะแล้วเดินไปหยิบแก้วอีกใบมารินเหล้าให้ตัวเอง
“เรามานั่งดื่มกันก่อนดีกว่า ถึงจะบาดคอแต่ข้าก็ชักติดใจเหมือนกัน”
สัตตะยิ้มรับ เขาไม่จำเป็นต้องรีบร้อนอะไร สัตตะคิดเช่นนั้นพลางขยับไปนั่งแนบชิดกับสุทธิ์ เด็กชายปล่อยให้ร่างกายถูกล่วงเกิน สัตตะลูบคลำผิวเปลือยเปล่า เริ่มรับรู้ว่าวันนี้เหล้ามีผลต่อร่างกายของเขาได้ง่ายกว่าปกติ
สุทธิ์ยังคงนั่งด้วยอาการอิงแอบแนบชิด ซักถามสัตตะด้วยเรื่องต่าง ๆ
“เจ้านี่มันเหมือนพ่อมากจริง ๆ”
สัตตะว่าพลางมองหน้าเด็กชาย
“ข้าก็เคยได้ยินเช่นนั้น มีแต่ฅนบอกว่าข้าเหมือนพ่อ”
“ใช่” ลัตตะเอ่ยขึ้นอีก “พ่อเจ้าเป็นหนุ่มรูปงามที่แข็งแรงบึกบึน เสียแต่ชอบเหล้าและการพนันมากไปหน่อยเท่านั้น” ว่าพลางยิ้มจ้องหน้า
เวลาผ่านไปร่วมครึ่งชั่วโมง วราออกมานั่งอยู่กับกองหินที่เกิดจากการทำเหมือง กองหินสกปรกเหล่านี้อยู่ไม่ห่างที่พักสัตตะมากนัก ถึงอย่างไรเขายังอดเป็นห่วงสุทธิ์ไม่ได้
สัตตะเริ่มรู้สึกถึงอาการมึนงงที่มีมากขึ้น เขาแปลกใจกับแขนขาที่หนักอึ้งอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สุทธิ์รินเหล้าส่งให้ สัตตะยกมือปัดออก จ้องหน้าเด็กชายก่อนกระชากไหล่เข้าหาตน ความอ่อนเปลี้ยและอาการที่รุนแรงขึ้นทำให้เขามั่นใจ
สุทธิ์พยายามดิ้นออกมา แม้จะดูอ่อนแรง แต่ฝ่ามือของสัตตะยังไม่ต่างจากคีมเหล็ก เขาใช้กำลังทั้งหมดเท่าที่มีพยายามเค้นคอเด็กชาย
แม้จะยากต่อการดิ้นหลุด แต่สุทธิ์ยังคงไม่กล้าทำร้ายสัตตะเพื่อเอาตัวรอด ความขลาดกลัวที่มีมานานทำให้เขาเป็นเช่นนั้น สุทธิ์ไม่รู้ด้วยว่าสัตตะยังมีสติแค่ไหน เขาจึงได้แต่ดิ้นรนให้หลุดออกมาโดยปราศจากการใช้กำลังตอบโต้แต่อย่างใด
สัตตะรู้ตัวแล้วว่าถูกสุทธิ์วางยา เขาจึงต้องรีบจัดการก่อนที่เรี่ยวแรงจะทรุดลง หรือฤทธิ์ยาจะกำเริบมากกว่านี้
สุทธิ์กำลังตกอยู่ในอุ้งมือมัจจุราช ในที่สุดลมหายใจของเขาเริ่มขาดห้วง ทั้งร่างเกร็งแน่น ได้แต่ดิ้นรนตามสัญชาตญาณ มือสองข้างตะเกียกตะกายเปะปะ แม้ตอนนี้เขาจะต้องการตอบโต้ด้วยกำลังก็ไม่อาจทำได้เต็มที่หรือทำได้โดยถนัดถนี่แล้ว พยายามแกะมือของสัตตะออก แต่แรงของเขาไม่มีทางสู้ฝ่ามือแข็งแรงนั้นได้เลย มันดูใหญ่กว่าคอเล็ก ๆ ของเขามาก นิ้วที่เหมือนคีมเหล็กของสัตตะนั้นยิ่งขยับก็ยิ่งบีบแน่นขึ้น ความดันในศีรษะพุ่งทะยาน ดวงตาร้อนผ่าว เหมือนเลือดทั้งหมดกำลังจะระเบิดออกมา
เขาพยายามถีบขา ดิ้นเร่าอย่างคนกำลังจมน้ำ เสียงอื้ออึงดังอยู่ในหู ทุกอย่างรอบตัวเลือนลางไปหมดแล้ว จังหวะหัวใจเต้นโครมครามอยู่ในอก รุนแรงจนรู้สึกได้
สุทธิ์ได้แต่อ้าปากพะงาบ พยายามกลืนอากาศที่ไม่มีเหลือ ลมหายใจสั้นลงเรื่อย ๆ เริ่มหอบฮืดฮาดอย่างไร้พลัง ร่างกายเริ่มชา แขนที่เคยยื้อยุดเมื่อครู่หมดแรงห้อยลงข้างตัว
แต่สติที่ยังมีนั้นบอกว่าเขายังไม่อยากตาย ดวงตาพร่ามัวมองเห็นเงาราง ๆ ของสัตตะที่จ้องเขาด้วยสายตาไร้ปรานี
"อย่า..."
เสียงแหบพร่าหลุดออกมาอย่างยากลำบาก ไม่มีใครได้ยินอีกแล้ว ทุกอย่างกำลังจมหายไป...
“อัก”
สัตตะส่งเสียงร้องสั้น ๆ ออกมาพร้อมเสียงดังของท่อนไม้ที่ถูกหวดกระทบกลางหลัง สุทธิ์เป็นอิสระอีกครั้ง
“วรา” เขาเรียกชื่อเพื่อนผู้กำลังยืนหน้าซีดเผือด วราแทบไม่อยากเชื่อว่าเขาทำอะไรลงไป เพียงแต่ไม่ทันไร คอเสื้อของเขาก็ถูกกระชากอย่างแรง แม้ต้องฝืนอย่างเต็มที่ แต่สัตตะก็พยายามใช้เรี่ยวแรงและสติเท่าทีมีอยู่จัดการกับเด็กสองฅน ในที่สุดสัตตะก็คว้าคอของวราไว้ได้ มือแข็งออกแรงบีบเค้น
เสียงขวดเหลัาแตกกระจายเมื่อสุทธิ์ฟาดมันเข้าใส่ร่างบึกบึน ขวดที่มีน้ำเหลือครึ่งหนึ่งนั้นถูกฟาดเข้าใส่จุดสำคัญบริเวณที่เรียกว่าทัดดอกไม้หรือกกหูพอดี ทั้งการโดนทำร้าย และฤทธิ์ของยาคลายกล้ามเนื้อชนิดที่มีผลรุนแรงเมื่อผสมกับเหล้า ทำให้ร่างสัตตะทรุดลงกับพื้น เขายังคงกระตุกเป็นบางครั้งก่อนแน่นิ่งไป
“ไปกันเถอะ” สุทธิ์รีบจูงมือวราออกมา
“ไปไหน” วราถาม ยังคงตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
แม้จะได้รับความปราชัย แต่กุร์พรีตก็ยังได้รับการยอมรับจากกลุ่ม เพราะอย่างน้อยทุกฅนก็ได้เห็นความเป็นนักสู้ในตัวของเขา กุร์พรีตยังคงเต้นรำฉลองวันชาติท่ามกลางความชื่นชมของทุกฅน เพียงแต่ขณะกำลังสนุกอยู่นั้น เมื่อมองไกลออกไปเขากลับได้เห็นความผิดปกติ
“จะไปไหน” เสียงใครฅนหนึ่งร้องถามเมื่อเห็นกุร์พรีตแยกออกจากกลุ่มเต้นรำ
“ธุระส่วนตัว” กุพีร์ตตอบสั้น ๆ ยังคงจ้องมองและตรงไปยังทิศทางที่เห็นสองร่างหายลับไป
“เราไม่น่าทำร้ายเขาเลย ข้าไม่ตั้งใจเลยจริง ๆ” วราเอ่ยขึ้น
“ช่างมันเถอะ ไหน ๆ เรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว” สุทธิ์บอก
“แต่เราไม่ควรทำร้ายใคร” วรายังคงกล่าวแย้งออกมา
(ยังมีต่อ)