เมื่อพระอาทิตย์ต่ำลงจนลับเหลี่ยมเขา เวลาพักผ่อนของพวกเขาจึงเริ่มขึ้นได้เสียที เสียงเอะอะเบาบางลง สิ้นเสียงขุดเจาะ รถเข็นคันสุดท้ายนอนตะแคงจอดสนิทในที่ของมันแล้วเช่นกัน
เมื่อเสร็จจากการรับประทานอาหาร เหล่าผู้ใช้แรงงานบ้างยังคงจับกลุ่มพูดคุย บ้างทำธุระส่วนตัวในที่พัก ฅนงานที่นี่จะพักรวมกันในเรือนพักซี่งมีอยู่สามหลัง เพียงพอสำหรับแรงงานร่วมห้าสิบฅนในเหมืองถ่านหินนี้ อาจต้องเบียดเสียดกันบ้างแต่ก็นับว่าเพียงพอ
บางส่วนกำลังอาบน้ำชำระล้างเหงื่อไคลที่หมักหมมมาทั้งวัน ยังนับว่าดี ที่ไม่ว่าอย่างไรดินแดนกันดารนี่ก็ยังพอมีน้ำให้ได้อาบกัน น้ำที่ต้องใช้รถบรรทุกขนมาจากแหล่งซึ่งอยู่ห่างออกไปสักหน่อย
ที่นี่คือหุบเขาสงัด เป็นที่ตั้งของเหมืองถ่านหินที่มีขื่อว่า สิงห์ดำ มันเป็นเหมืองเถื่อน
เหมืองซึ่งขับเคลื่อนด้วยแรงงานผิดกฎหมายไม่ว่าจะเป็นเหมืองแร่ต่าง ๆ หรือเหมืองถ่านหินแบบเหมืองสิงห์ดำนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่เราจะพบเห็นได้ทั่วไปในประเทศซึ่งได้ชื่อว่า ‘ดินแดนแห่งพระเจ้า’
เหล่าฅนงานในเหมืองจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกสู่ภายนอกแต่อย่างใด จะมียกเว้นแล้วแต่กรณีพิเศษในบางครั้งเท่านั้น
หลายสิบชีวิตในเหมืองนี้จะประกอบด้วยผู้ชายหลากหลายวัย ทั้งฅนชราที่ยังมีเรี่ยวแรง ชายฉกรรจ์ หรือเด็กอายุเพียง 13-14 ปี พวกเขาส่วนหนึ่งถูกหลอกลวงหรือชักจูงให้มาทำงานที่นี่ บ้างถูกพามาขายก็มี โดยเฉพาะเด็ก ๆ
วราเป็นเด็กชายฅนหนึ่งที่ถูกทางบ้านขายมา ตอนนี้เขาอายุสิบสามและอยู่ที่นี่มาร่วมปีแล้ว ใต้ต้นโอ๊กโดดเดี่ยวกลางพื้นที่แห้งแล้ง เด็กชายนั่งอยู่ที่นั่น เอนหลังพิงโคนไม้ รอเวลาชำระล้างร่างกาย
แม้ว่าน้ำจะมีเพียงพอ แต่ถังน้ำมันสองร้อยลิตรไม่กี่ใบไม่อาจรองรับการอาบน้ำพร้อมกันได้ วราไม่ต้องการแย่งชิงกับใครจึงมานั่งตรงนี้เพื่อรอให้ความต้องการอาบน้ำลดลงเสียก่อน แม้ว่ายิ่งเย็นหรือตกค่ำ อากาศร้อนระอุตอนกลางวันจะเปลี่ยนเป็นหนาวเย็นก็ตามที อากาศหนาวอาจทำให้หลายฅนเข้านอนโดยไม่ได้อาบน้ำ แต่สำหรับวรานั้น แม้จะหนาวเย็นเพียงใด หากไม่จำเป็นจริง ๆ แล้วเขาจะต้องอาบน้ำก่อนเข้านอนทุกวัน
อันว่าชีวิตของฅนเรานั้น บางครั้งมันก็ดูเชื่องช้าจนเกิดความท้อแท้เบื่อหน่าย แต่บางทีมันก็รวดเร็วจนน่าใจหาย จากหมู่บ้านเล็ก ๆ สุขสงบ ที่แม้ว่าจะมีความอัตคัดขัดสนเป็นส่วนใหญ่ แต่หมู่บ้านห่างไกลกันดารแห่งนั้นก็เป็นที่ซึ่งวราคุ้นเคยมาตั้งแต่เกิด ฉับพลันวันหนึ่ง เด็กชายก็ได้รู้ตัวว่าเขาถูกขายให้กับเหมืองเถื่อนแห่งนี้เสียแล้ว แทบไม่ทันกะพริบตา อาจเป็นสำนวนไม่เกินจริงหากจะอธิบายความรู้สึกของวรา เด็กชายยังแทบไม่อยากเชื่อเลยว่า อยู่ ๆ เขาต้องมาติดหล่มในดินแดนขะมุกขะมอมจากฝุ่นควันท่ามกลางเสียงเหล็กกระทบถ่านหิน ได้รู้จักงานเหนื่อยหนัก และได้รู้จักรสชาติชีวิตที่เขาไม่อยากได้รับรู้เลยจริง ๆ
สายลมเริ่มเปลี่ยนเป็นหนาวเย็น เขายังคงทอดสายตาอย่างไร้จุดหมาย และยังคงนั่งอยู่ฅนเดียว บางวันวราอาจมีสุทธิ์มาอยู่เป็นเพื่อนด้วย แต่เย็นนี้วรายังไม่เห็นหน้าสุทธิ์ หรือเพื่อนเพียงหนึ่งเดียวของเขาแต่อย่างใด
สุทธิ์เป็นเด็กชายที่ต้องทำงานเหมืองเพื่อใช้หนี้แทนพ่อผู้เสียชีวิตไปแล้ว แม้ไม่ใช่ฅนชอบเก็บตัวแบบวรา แต่สุทธิ์ก็เลือกที่จะคบวราเป็นเพื่อนสนิทเพียงฅนเดียวเช่นกัน
“เดี๋ยวตามไปด้วย”
เด็กชายสะดุ้งเล็กน้อย เงยหน้ามองผู้ออกคำสั่งเบา ๆ กับตน
สัตตะคือชายร่างท้วมที่แข็งแรงบึกบึน เหมาะสมกับการเป็นหัวหน้าผู้คุมคอยดูแลเหมืองสิงห์ดำนี้ ที่นี่ทุกฅนล้วนแต่ต้องเกรงสัตตะ สำหรับวราแล้ว เขาทั้งเกลียดกลัวและรู้สึกขยะแขยงสัตตะเป็นที่สุด
แต่ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้เขาคงทำได้เพียงรับรู้คำสั่ง เด็กชายข่มความรู้สึกทั้งหมดไว้ เขามีหน้าที่เพียงสนองตอบเท่านั้น แม้จะฝืนใจเพียงใดก็ตาม
สัตตะหันหลังไปเมื่อกล่าวจบ เด็กชายนั่งทอดสายตาไร้จุดหมายอยู่ชั่วขณะ ในที่สุดก็ลุกขึ้นก้าวเท้าออกไป
สายลมหนาวเย็นพัดเข้ามา ตอนนี้วราเหมือนไม่รับรู้สัมผัสอะไรทั้งนั้น เขายังคงก้าวเดินกับความคิดพร่ามัว ทั้งเนื้อตัวและเสื้อผ้า รวมถึงผ้าคลุมหัวของเขามีแต่ฝุ่นดินและผงถ่านหิน มันผสมรวมเหงื่อไคลเป็นคราบสกปรกเกาะกรัง ลมหายใจของเขายังมีแต่กลิ่นถ่านหินเช่นกัน
สองฅนยืนอยู่ข้างทางเมื่อเขาเดินผ่าน เป็นฅนงานวัยเด็กที่เนื้อตัวมอมแมมไม่ต่างกัน ทั้งคู่มีอายุไล่เลี่ยกับวรา ทั้ง กุร์พรีต และ วินัย แก่กว่าเขาปีหนึ่ง เท่ากับว่าสองฅนมีอายุสิบสี่ปี วินัยเป็นฅนพูดน้อย เขาชอบเออออตามเพื่อนโดยเฉพาะกุร์พรีตเสมอ ส่วนกุร์พรีตนั้น เขาเป็นเด็กชายที่ลักลอบข้ามแดนมาขายแรงแล้วถูกหลอกให้มาทำงานยังเหมืองแห่งนี้ แม้จะเป็นเด็กต่างถิ่นต่างศาสนาที่ถูกหลอกมา แต่กุร์พรีตก็ไม่ได้มีท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนหรือดูหงอแบบที่แรงงานต่างด้าวควรจะเป็นสักเท่าไร การชอบคบเพื่อนและเข้ากับฅนง่าย อาจมีส่วนให้กุร์พรีตดูกลมกลืนได้ไม่ยาก
เมื่อเหลือบตามอง วราก็ได้เห็นรอยยิ้มกับแววตาเจ้าเล่ห์ที่เขาแสนเกลียดชังนั้น
“มีอะไร” วราถามเสียงห้วนออกไป กุร์พรีตยังคงยิ้ม หันมองวินัยหรือเพื่อนที่มาด้วยกัน พยักหน้าให้ก่อนหันมาเลิกคิ้วมองหน้าวรา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มเบาแต่ยียวนของเขา
“จะไปไหนเหรอ สาวน้อย” ลงท้ายด้วยน้ำเสียงแสดงความจงใจเอ่ยคำนั้น
“อย่าเสื_ก” วราออกเสียงด่าแล้วรีบก้าวเท้าออกมา เสียงกุร์พรีตกับวินัยหัวเราะไล่หลัง วราไม่อยากสนใจอะไรแล้ว
เมื่อพ้นจากสองฅนมาได้ ระยะก้าวเท้าของวราก็เริ่มช้าลง ช้าลง ดวงตาของเด็กชายยังคงนิ่งสนิท แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความปวดร้าว คับแค้น และชิงชังสักเท่าไรก็ตาม
“เข้ามา” เสียงของสัตตะดังจากข้างในเมื่อวรามาถึง เด็กชายเปิดประตูหนาหนักตามเสียงที่ดูเป็นการออกคำสั่งมากกว่าเชิญชวน ด้วยอาการไร้ความรู้สึก
สัตตะเอนกายอยู่ที่เดิม บนเตียงขึงด้วยเชือกมีฟูกบาง ๆ ปูทับ เตียงที่วราคุ้นเคยและแสนเกลียดชัง
เด็กชายหลบสายตาด่ำลงจากร่างกึ่งเปลือย มองพรมขนสัตว์ทอมือสีแดง-น้ำเงินลายเรขาคณิตซึ่งปูทับกันหลายชั้นบนพื้นหินอัดแน่น ไล่สายตาไปเรื่อยเปื่อย มองตู้ยาข้างเตียง ยังคงก้มหน้าขณะก้าวเดินไปหยุดห่างหน้าสัตตะเล็กน้อย สายตาที่หลบต่ำยังคงส่อแววสับสนไม่ต่างจากทุกครั้ง
สัตตะยิ้มกว้าง วราไม่ชอบรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนนี้เลย เขารู้ว่ามันจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นพายุบ้าคลั่งในที่สุด
เด็กชายทอดกายลงบนเตียง สายตาเหม่อมองสู่เบื้องบน ถึงอย่างไรเขาก็อยากให้เรื่องราวสกปรกบ้าคลั่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ได้จบลงโดยไวเท่านั้น
ยิ่งดึกอากาศยิ่งหนาวเย็น น้ำในถังที่ใช้อาบยังพอมีเหลืออยู่บ้าง เด็กชายยืนนิ่ง คราบน้ำตาเปื้อนสองแก้ม เขาก้มลงตักน้ำเย็นเฉียบในถังราดรดตัวครั้งแล้วครั้งเล่า
ลมหนาวพัดผ่านเข้ามา เกือบสิบชีวิตที่นอนรวมกันต่างหลับไหล สุทธิ์ยันตัวขึ้นหลังอาการสะดุ้งตื่นตอนใกล้สาง หันมองร่างทึ่นอนอยู่ข้างกัน ช่วงหัวค่ำเขานอนรอวราจนหลับไปก่อน ความเพลียจากงานทำให้ไม่อาจข่มตารอได้ วราเข้ามาตอนไหนเขาจึงไม่รู้เลย ร่างที่พอเห็นได้ราง ๆ จากแสงจันทร์ที่สาดส่องยังคงนอนนิ่ง ใต้ผ้าห่มเก่าขาดที่มีแต่กลิ่นถ่านหินและฝุ่นดิน สุทธิ์รู้ว่าวราต้องเจออะไรบ้าง และเรื่องราวที่วราเจอนั้นมันก็ดูร้ายแรงสำหรับเด็กอายุสิบสามปีอย่างเขา สุทธิ์รู้ว่ามันร้ายแรงมาก มากจนไม่กล้าพูดคุยซักถาม เมื่อมีเพียงการรับรู้ปราศจากการพูดคุยซักถาม เขาจึงไม่เคยมีโอกาสได้ปลอบใจวราแต่อย่างใด
ลมหนาวยังคงพัดผ่านเข้ามา สุทธิ์โน้มตัวไปดึงขยับผ้าห่มให้วราก่อนเอนตัวนอนอีกครั้ง ขยับผ้าคลุมแล้วขดตัวจากอากาศหนาว มองร่างตรงหน้าแล้วสุทธิ์ยังอดรับรู้ถึงความสงสารจับใจไม่ได้ เด็กชายเอื้อมมือออกไป แต่กลับชะงักเมื่อแตะไหล่ผู้นอนหันหลังให้นั้น ลมเย็นวูบผ่านเข้ามา เขาหดมือ หันกลับมานอนขดตัวจนเกือบเป็นก้อนกลมเหมือนเดิมอีกครั้ง
แม้ยังคงนอนนิ่งแต่ตอนนี้วรานั้นตื่นอยู่เช่นกัน เขายังรับรู้ถึงความห่วงใยที่แสดงออกเพียงน้อยนิดได้
พรุ่งนี้เป็นวันชาติ ซึ่งถือเป็นวันพิเศษของทุกฅนในประเทศนี้ ไม่เว้นแม้แต่ฅนงานเหมืองเถื่อนอย่างพวกเขา ตามปกติแล้วฅนงานที่นี่จะทำงานกันโดยไม่มีเสาร์อาทิตย์ หรือไม่มีวันหยุดแต่อย่างใด วันชาติอาจเป็นเพียงวันเดียวที่ทำให้ทุกฅนได้หยุดงาน วันนี้จึงนับป็นวันที่มีความสำคัญที่สุด บางฅนตั้งวงดื่มเหล้าฉลองกันตั้งแต่ค่ำคืนวันนี้เลย แม้การดื่มสุราจะเป็นข้อห้ามร้ายแรง แต่ดินแดนป่าเถื่อนเช่นนี้กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ดูจะไม่มีความสำคัญอะไรเลย
วรากับสุทธิ์ยังไม่เข้านอนเช่นกัน สองฅนหลบมุมนั่งเงียบฟังเสียงขี้เมาวงเหล้า มองทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่เห็นได้จากแสงจันทร์
“คิดอะไร” เห็นท่าทางของวราแล้วสุทธิ์จึงเอ่ยถาม
“คิดถึง ป่าแดง” วราเอ่ยชื่อหมู่บ้านของเขา
“นึกถึงภาพธงของดินแดนแห่งพระเจ้าปลิวสะบัดตัดกับสีฟ้าของท้องฟ้า บ้านทุกหลังล้วนมีธงประดับประดา ในบ้านมีแต่กลิ่นอาหารกลิ่นเครื่องเทศหอมกรุ่น วันชาติทำให้เรามีอาหารอร่อยกินกัน แม่จะนำเนี้อแกะที่พ่อเก็บไว้มาทำกับข้าว มันเป็นเวลาที่มีความสุข
ฉันยังหวังว่าจะมีเวลาแบบนั้นอีก”
“ของนายยังดี” สุทธิ์เอ่ยขึ้นเมื่อวราพูดจบ “ฉันไม่เคยได้รับรู้อะไรแบบนั้นเลยด้วยซ้ำ ที่ฉันรู้จักมีแต่หุบเขาสงัดนี่เท่านั้น ฉันเห็นที่นี่ตั้งแต่จำความได้ ไม่เคยได้รู้จักการฉลองวันชาติจริง ๆ สักที”
“ถ้าไม่เคยรู้อะไรแบบนายเลยยังจะดีกว่า อย่างน้อย ฉันก็จะไม่ต้องคิดถึงมัน”
เสียงเอะอะดังมาจากวงเหล้าทำให้สองฅนต้องหันมอง
“เกิดอะไรขึ้น” สุทธิ์เอ่ยออกมา
รักต้องห้าม (บทที่ 1)
เมื่อพระอาทิตย์ต่ำลงจนลับเหลี่ยมเขา เวลาพักผ่อนของพวกเขาจึงเริ่มขึ้นได้เสียที เสียงเอะอะเบาบางลง สิ้นเสียงขุดเจาะ รถเข็นคันสุดท้ายนอนตะแคงจอดสนิทในที่ของมันแล้วเช่นกัน
เมื่อเสร็จจากการรับประทานอาหาร เหล่าผู้ใช้แรงงานบ้างยังคงจับกลุ่มพูดคุย บ้างทำธุระส่วนตัวในที่พัก ฅนงานที่นี่จะพักรวมกันในเรือนพักซี่งมีอยู่สามหลัง เพียงพอสำหรับแรงงานร่วมห้าสิบฅนในเหมืองถ่านหินนี้ อาจต้องเบียดเสียดกันบ้างแต่ก็นับว่าเพียงพอ
บางส่วนกำลังอาบน้ำชำระล้างเหงื่อไคลที่หมักหมมมาทั้งวัน ยังนับว่าดี ที่ไม่ว่าอย่างไรดินแดนกันดารนี่ก็ยังพอมีน้ำให้ได้อาบกัน น้ำที่ต้องใช้รถบรรทุกขนมาจากแหล่งซึ่งอยู่ห่างออกไปสักหน่อย
ที่นี่คือหุบเขาสงัด เป็นที่ตั้งของเหมืองถ่านหินที่มีขื่อว่า สิงห์ดำ มันเป็นเหมืองเถื่อน
เหมืองซึ่งขับเคลื่อนด้วยแรงงานผิดกฎหมายไม่ว่าจะเป็นเหมืองแร่ต่าง ๆ หรือเหมืองถ่านหินแบบเหมืองสิงห์ดำนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่เราจะพบเห็นได้ทั่วไปในประเทศซึ่งได้ชื่อว่า ‘ดินแดนแห่งพระเจ้า’
เหล่าฅนงานในเหมืองจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกสู่ภายนอกแต่อย่างใด จะมียกเว้นแล้วแต่กรณีพิเศษในบางครั้งเท่านั้น
หลายสิบชีวิตในเหมืองนี้จะประกอบด้วยผู้ชายหลากหลายวัย ทั้งฅนชราที่ยังมีเรี่ยวแรง ชายฉกรรจ์ หรือเด็กอายุเพียง 13-14 ปี พวกเขาส่วนหนึ่งถูกหลอกลวงหรือชักจูงให้มาทำงานที่นี่ บ้างถูกพามาขายก็มี โดยเฉพาะเด็ก ๆ
วราเป็นเด็กชายฅนหนึ่งที่ถูกทางบ้านขายมา ตอนนี้เขาอายุสิบสามและอยู่ที่นี่มาร่วมปีแล้ว ใต้ต้นโอ๊กโดดเดี่ยวกลางพื้นที่แห้งแล้ง เด็กชายนั่งอยู่ที่นั่น เอนหลังพิงโคนไม้ รอเวลาชำระล้างร่างกาย
แม้ว่าน้ำจะมีเพียงพอ แต่ถังน้ำมันสองร้อยลิตรไม่กี่ใบไม่อาจรองรับการอาบน้ำพร้อมกันได้ วราไม่ต้องการแย่งชิงกับใครจึงมานั่งตรงนี้เพื่อรอให้ความต้องการอาบน้ำลดลงเสียก่อน แม้ว่ายิ่งเย็นหรือตกค่ำ อากาศร้อนระอุตอนกลางวันจะเปลี่ยนเป็นหนาวเย็นก็ตามที อากาศหนาวอาจทำให้หลายฅนเข้านอนโดยไม่ได้อาบน้ำ แต่สำหรับวรานั้น แม้จะหนาวเย็นเพียงใด หากไม่จำเป็นจริง ๆ แล้วเขาจะต้องอาบน้ำก่อนเข้านอนทุกวัน
อันว่าชีวิตของฅนเรานั้น บางครั้งมันก็ดูเชื่องช้าจนเกิดความท้อแท้เบื่อหน่าย แต่บางทีมันก็รวดเร็วจนน่าใจหาย จากหมู่บ้านเล็ก ๆ สุขสงบ ที่แม้ว่าจะมีความอัตคัดขัดสนเป็นส่วนใหญ่ แต่หมู่บ้านห่างไกลกันดารแห่งนั้นก็เป็นที่ซึ่งวราคุ้นเคยมาตั้งแต่เกิด ฉับพลันวันหนึ่ง เด็กชายก็ได้รู้ตัวว่าเขาถูกขายให้กับเหมืองเถื่อนแห่งนี้เสียแล้ว แทบไม่ทันกะพริบตา อาจเป็นสำนวนไม่เกินจริงหากจะอธิบายความรู้สึกของวรา เด็กชายยังแทบไม่อยากเชื่อเลยว่า อยู่ ๆ เขาต้องมาติดหล่มในดินแดนขะมุกขะมอมจากฝุ่นควันท่ามกลางเสียงเหล็กกระทบถ่านหิน ได้รู้จักงานเหนื่อยหนัก และได้รู้จักรสชาติชีวิตที่เขาไม่อยากได้รับรู้เลยจริง ๆ
สายลมเริ่มเปลี่ยนเป็นหนาวเย็น เขายังคงทอดสายตาอย่างไร้จุดหมาย และยังคงนั่งอยู่ฅนเดียว บางวันวราอาจมีสุทธิ์มาอยู่เป็นเพื่อนด้วย แต่เย็นนี้วรายังไม่เห็นหน้าสุทธิ์ หรือเพื่อนเพียงหนึ่งเดียวของเขาแต่อย่างใด
สุทธิ์เป็นเด็กชายที่ต้องทำงานเหมืองเพื่อใช้หนี้แทนพ่อผู้เสียชีวิตไปแล้ว แม้ไม่ใช่ฅนชอบเก็บตัวแบบวรา แต่สุทธิ์ก็เลือกที่จะคบวราเป็นเพื่อนสนิทเพียงฅนเดียวเช่นกัน
“เดี๋ยวตามไปด้วย”
เด็กชายสะดุ้งเล็กน้อย เงยหน้ามองผู้ออกคำสั่งเบา ๆ กับตน
สัตตะคือชายร่างท้วมที่แข็งแรงบึกบึน เหมาะสมกับการเป็นหัวหน้าผู้คุมคอยดูแลเหมืองสิงห์ดำนี้ ที่นี่ทุกฅนล้วนแต่ต้องเกรงสัตตะ สำหรับวราแล้ว เขาทั้งเกลียดกลัวและรู้สึกขยะแขยงสัตตะเป็นที่สุด
แต่ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้เขาคงทำได้เพียงรับรู้คำสั่ง เด็กชายข่มความรู้สึกทั้งหมดไว้ เขามีหน้าที่เพียงสนองตอบเท่านั้น แม้จะฝืนใจเพียงใดก็ตาม
สัตตะหันหลังไปเมื่อกล่าวจบ เด็กชายนั่งทอดสายตาไร้จุดหมายอยู่ชั่วขณะ ในที่สุดก็ลุกขึ้นก้าวเท้าออกไป
สายลมหนาวเย็นพัดเข้ามา ตอนนี้วราเหมือนไม่รับรู้สัมผัสอะไรทั้งนั้น เขายังคงก้าวเดินกับความคิดพร่ามัว ทั้งเนื้อตัวและเสื้อผ้า รวมถึงผ้าคลุมหัวของเขามีแต่ฝุ่นดินและผงถ่านหิน มันผสมรวมเหงื่อไคลเป็นคราบสกปรกเกาะกรัง ลมหายใจของเขายังมีแต่กลิ่นถ่านหินเช่นกัน
สองฅนยืนอยู่ข้างทางเมื่อเขาเดินผ่าน เป็นฅนงานวัยเด็กที่เนื้อตัวมอมแมมไม่ต่างกัน ทั้งคู่มีอายุไล่เลี่ยกับวรา ทั้ง กุร์พรีต และ วินัย แก่กว่าเขาปีหนึ่ง เท่ากับว่าสองฅนมีอายุสิบสี่ปี วินัยเป็นฅนพูดน้อย เขาชอบเออออตามเพื่อนโดยเฉพาะกุร์พรีตเสมอ ส่วนกุร์พรีตนั้น เขาเป็นเด็กชายที่ลักลอบข้ามแดนมาขายแรงแล้วถูกหลอกให้มาทำงานยังเหมืองแห่งนี้ แม้จะเป็นเด็กต่างถิ่นต่างศาสนาที่ถูกหลอกมา แต่กุร์พรีตก็ไม่ได้มีท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนหรือดูหงอแบบที่แรงงานต่างด้าวควรจะเป็นสักเท่าไร การชอบคบเพื่อนและเข้ากับฅนง่าย อาจมีส่วนให้กุร์พรีตดูกลมกลืนได้ไม่ยาก
เมื่อเหลือบตามอง วราก็ได้เห็นรอยยิ้มกับแววตาเจ้าเล่ห์ที่เขาแสนเกลียดชังนั้น
“มีอะไร” วราถามเสียงห้วนออกไป กุร์พรีตยังคงยิ้ม หันมองวินัยหรือเพื่อนที่มาด้วยกัน พยักหน้าให้ก่อนหันมาเลิกคิ้วมองหน้าวรา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มเบาแต่ยียวนของเขา
“จะไปไหนเหรอ สาวน้อย” ลงท้ายด้วยน้ำเสียงแสดงความจงใจเอ่ยคำนั้น
“อย่าเสื_ก” วราออกเสียงด่าแล้วรีบก้าวเท้าออกมา เสียงกุร์พรีตกับวินัยหัวเราะไล่หลัง วราไม่อยากสนใจอะไรแล้ว
เมื่อพ้นจากสองฅนมาได้ ระยะก้าวเท้าของวราก็เริ่มช้าลง ช้าลง ดวงตาของเด็กชายยังคงนิ่งสนิท แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความปวดร้าว คับแค้น และชิงชังสักเท่าไรก็ตาม
“เข้ามา” เสียงของสัตตะดังจากข้างในเมื่อวรามาถึง เด็กชายเปิดประตูหนาหนักตามเสียงที่ดูเป็นการออกคำสั่งมากกว่าเชิญชวน ด้วยอาการไร้ความรู้สึก
สัตตะเอนกายอยู่ที่เดิม บนเตียงขึงด้วยเชือกมีฟูกบาง ๆ ปูทับ เตียงที่วราคุ้นเคยและแสนเกลียดชัง
เด็กชายหลบสายตาด่ำลงจากร่างกึ่งเปลือย มองพรมขนสัตว์ทอมือสีแดง-น้ำเงินลายเรขาคณิตซึ่งปูทับกันหลายชั้นบนพื้นหินอัดแน่น ไล่สายตาไปเรื่อยเปื่อย มองตู้ยาข้างเตียง ยังคงก้มหน้าขณะก้าวเดินไปหยุดห่างหน้าสัตตะเล็กน้อย สายตาที่หลบต่ำยังคงส่อแววสับสนไม่ต่างจากทุกครั้ง
สัตตะยิ้มกว้าง วราไม่ชอบรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนนี้เลย เขารู้ว่ามันจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นพายุบ้าคลั่งในที่สุด
เด็กชายทอดกายลงบนเตียง สายตาเหม่อมองสู่เบื้องบน ถึงอย่างไรเขาก็อยากให้เรื่องราวสกปรกบ้าคลั่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ได้จบลงโดยไวเท่านั้น
ยิ่งดึกอากาศยิ่งหนาวเย็น น้ำในถังที่ใช้อาบยังพอมีเหลืออยู่บ้าง เด็กชายยืนนิ่ง คราบน้ำตาเปื้อนสองแก้ม เขาก้มลงตักน้ำเย็นเฉียบในถังราดรดตัวครั้งแล้วครั้งเล่า
ลมหนาวพัดผ่านเข้ามา เกือบสิบชีวิตที่นอนรวมกันต่างหลับไหล สุทธิ์ยันตัวขึ้นหลังอาการสะดุ้งตื่นตอนใกล้สาง หันมองร่างทึ่นอนอยู่ข้างกัน ช่วงหัวค่ำเขานอนรอวราจนหลับไปก่อน ความเพลียจากงานทำให้ไม่อาจข่มตารอได้ วราเข้ามาตอนไหนเขาจึงไม่รู้เลย ร่างที่พอเห็นได้ราง ๆ จากแสงจันทร์ที่สาดส่องยังคงนอนนิ่ง ใต้ผ้าห่มเก่าขาดที่มีแต่กลิ่นถ่านหินและฝุ่นดิน สุทธิ์รู้ว่าวราต้องเจออะไรบ้าง และเรื่องราวที่วราเจอนั้นมันก็ดูร้ายแรงสำหรับเด็กอายุสิบสามปีอย่างเขา สุทธิ์รู้ว่ามันร้ายแรงมาก มากจนไม่กล้าพูดคุยซักถาม เมื่อมีเพียงการรับรู้ปราศจากการพูดคุยซักถาม เขาจึงไม่เคยมีโอกาสได้ปลอบใจวราแต่อย่างใด
ลมหนาวยังคงพัดผ่านเข้ามา สุทธิ์โน้มตัวไปดึงขยับผ้าห่มให้วราก่อนเอนตัวนอนอีกครั้ง ขยับผ้าคลุมแล้วขดตัวจากอากาศหนาว มองร่างตรงหน้าแล้วสุทธิ์ยังอดรับรู้ถึงความสงสารจับใจไม่ได้ เด็กชายเอื้อมมือออกไป แต่กลับชะงักเมื่อแตะไหล่ผู้นอนหันหลังให้นั้น ลมเย็นวูบผ่านเข้ามา เขาหดมือ หันกลับมานอนขดตัวจนเกือบเป็นก้อนกลมเหมือนเดิมอีกครั้ง
แม้ยังคงนอนนิ่งแต่ตอนนี้วรานั้นตื่นอยู่เช่นกัน เขายังรับรู้ถึงความห่วงใยที่แสดงออกเพียงน้อยนิดได้
พรุ่งนี้เป็นวันชาติ ซึ่งถือเป็นวันพิเศษของทุกฅนในประเทศนี้ ไม่เว้นแม้แต่ฅนงานเหมืองเถื่อนอย่างพวกเขา ตามปกติแล้วฅนงานที่นี่จะทำงานกันโดยไม่มีเสาร์อาทิตย์ หรือไม่มีวันหยุดแต่อย่างใด วันชาติอาจเป็นเพียงวันเดียวที่ทำให้ทุกฅนได้หยุดงาน วันนี้จึงนับป็นวันที่มีความสำคัญที่สุด บางฅนตั้งวงดื่มเหล้าฉลองกันตั้งแต่ค่ำคืนวันนี้เลย แม้การดื่มสุราจะเป็นข้อห้ามร้ายแรง แต่ดินแดนป่าเถื่อนเช่นนี้กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ดูจะไม่มีความสำคัญอะไรเลย
วรากับสุทธิ์ยังไม่เข้านอนเช่นกัน สองฅนหลบมุมนั่งเงียบฟังเสียงขี้เมาวงเหล้า มองทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่เห็นได้จากแสงจันทร์
“คิดอะไร” เห็นท่าทางของวราแล้วสุทธิ์จึงเอ่ยถาม
“คิดถึง ป่าแดง” วราเอ่ยชื่อหมู่บ้านของเขา
“นึกถึงภาพธงของดินแดนแห่งพระเจ้าปลิวสะบัดตัดกับสีฟ้าของท้องฟ้า บ้านทุกหลังล้วนมีธงประดับประดา ในบ้านมีแต่กลิ่นอาหารกลิ่นเครื่องเทศหอมกรุ่น วันชาติทำให้เรามีอาหารอร่อยกินกัน แม่จะนำเนี้อแกะที่พ่อเก็บไว้มาทำกับข้าว มันเป็นเวลาที่มีความสุข
ฉันยังหวังว่าจะมีเวลาแบบนั้นอีก”
“ของนายยังดี” สุทธิ์เอ่ยขึ้นเมื่อวราพูดจบ “ฉันไม่เคยได้รับรู้อะไรแบบนั้นเลยด้วยซ้ำ ที่ฉันรู้จักมีแต่หุบเขาสงัดนี่เท่านั้น ฉันเห็นที่นี่ตั้งแต่จำความได้ ไม่เคยได้รู้จักการฉลองวันชาติจริง ๆ สักที”
“ถ้าไม่เคยรู้อะไรแบบนายเลยยังจะดีกว่า อย่างน้อย ฉันก็จะไม่ต้องคิดถึงมัน”
เสียงเอะอะดังมาจากวงเหล้าทำให้สองฅนต้องหันมอง
“เกิดอะไรขึ้น” สุทธิ์เอ่ยออกมา