รักต้องห้าม (บทที่ 4)

กระทู้สนทนา
“ถ้านายไม่ตีฟาดมัน ข้าคงตาย และถ้าข้าไม่ตีหัวมัน คนตายอาจเป็นเราสองฅน”

วราทำเหมือนจะแย้งออกมาอีกแต่กลับนิ่งเงียบ สักครู่จึงเอ่ยเบา ๆ ออกมา

“พวกเขาต้องตามฆ่าเราแน่”

"ไม่” สุทธิ์ปฏิเสธเสียงหนักออกมาทันควัน วราอดหันมองไม่ได้

“เมื่อสัตตะฟื้น หรือเมื่อฅนอื่นรู้เรื่อง พวกเขาจะออกตามล่า แต่จะไม่ฆ่าเราแน่นอน” หยุดชั่วขณะแล้วจึงพูดต่อ “สิ่งที่พวกเขาจะทำก็คือ การให้เราได้รับเฆี่ยนตีจากใครฅนหนึ่งหรือหลายฅน บางทีเราอาจถูกตัดมือ ใบหู ก่อนจะกลายเป็นทาสตลอดไป แต่ถ้าโชคร่ายกว่านั้น เราจะถูกขังลืมในเหมืองร้าง” สุทธิ์ว่าพลางมองหน้าวรา จ้องลึกเข้าไปในดวงตา “ดังนั้นจงจำไว้ว่า เราจะถูกจับไม่ได้เป็นอันขาด

“แล้วเราจะไปที่ไหน นายไม่มีบ้าน ข้ามีบ้านก็เหมือนไม่มี” วราว่า

“ทำไม” สุทธิ์ถาม

“ถ้าข้าเป็นที่ต้องการของครอบครัว ข้าคงไม่ถูกขาย และถ้าข้ากลับบ้าน พวกเขาก็ต้องแจ้งให้พวกเหมืองทราบอยู่ดี”

สุทธิ์หันมองหน้าวราอีกครั้ง ดวงตากลมโตคู่นั้นยังคงฉายแววชวนสงสารออกมา

“ที่แน่ ๆ เราต้องรีบ ต้องข้ามหุบเขาให้ได้ก่อนพวกเขาจะมาทัน” สุทธิ์บอกกับวรา

“อีกไกลไหม” วราถาม

“ถ้ารีบเราก็จะไปถึงก่อนค่ำ”  สุทธิบอก

“ทำไมนายถึงรู้เส้นทาง” วราอดสงสัยไม่ได้

“ข้าเคยมากับพ่อ ตอนที่พ่อทำงานกับพวกค้าของเถื่อนเพื่อใช้หนี้นั่นแหละ” สุทธิ์ตอบ หยุดชั่วขณะก่อนกล่าวต่อ “พ่อข้าตายโดยยังมีหนี้ค้างคา ข้าถึงได้ถูกพาตัวไปทำงานใช้หนี้อย่างไรเล่า”

สุทธิ์พาวรามาตามเส้นทางที่เขาพอจำได้ เป็นทางเดินเท้าทั่วไป ถ้าจะมีพาหนะที่พอใช้ได้สำหรับเส้นทางสายนี้ ก็น่าจะมีเพียงลาและล่อ ซึ่งในตอนนี้พวกเขามีเพียงสองเท้าที่ต่างรีบเร่งกันเท่านั้น

ในที่สุดสะพานไม้ที่แขวนทอดข้ามร่องเหวลึก ก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขาตอนที่ดวงอาทิตย์เริ่มลับเหลี่ยมโลก มันถูกโยงด้วยเชือกเส้นหนาเก่าและเปื่อยจากแดดฝน พื้นสะพานที่มีขนาดหนึ่งฅนข้ามนั้นมีบางช่วงแหว่งหายไป เหวเบื้องล่างเต็มไปด้วยหมอกหนาและเสียงลมหวีดหวิวลอดผ่านผนังหิน

“ไปกันเถอะ อิสระของเราอยู่ข้างหน้าแล้ว” สุทธิ์ร้องบอกและวิ่งไปที่สะพาน วราแม้เหนื่อยหอบแต่ยังวิ่งตามสุทธิ์ที่นำไปก่อนแล้ว

สะพานโยกไหว สองฅนต่างใช้ความเร่งรีบและระมัดระวัง สุทธิ์ใจหายวาบ เสียงไม้แตกหักพร้อมอาการยุบยวบเมื่อเขาก้าวไปข้างหน้า เด็กชายเสียหลักรุดลงพร้อมกับเสียงปืนที่ดังขึ้น

“อยู่ตรงนั้นแหละ” เสียงหนึ่งตะโกนออกมา

“เร็ว” สุทธิ์ตะโกนและออกวิ่ง แม้จะตกใจแต่วราก็รีบก้มต่ำและวิ่งไปบนสะพานที่สั่นไหวนั้น เสียงปืนดังขึ้นอีกครั้งพร้อมเสียงกระสุนแหวกอากาศผ่านไป เสียงฝีเท้าและเสียงเอะอะดังไล่หลังมา ยิ่งทำให้สองคนต่างรีบวิ่งโดยไม่ได้สนใจพื้นไม้เก่า ๆ กันแต่อย่างใด


ในที่สุดพวกเขาก็พ้นจากสะพานมาได้ สองฅนพากันวิ่งลงที่ต่ำ ในตอนนี้เบื้องหน้าคือผาหินสูงชัน ด้านหนึ่งมีรูปเคารพเล็ก ๆ แกะสลักอยู่ในซอกหิน ดูเหมือนไม่มีทางไปต่อ แต่สุทธิ์ไม่หยุดที่จะวิ่ง เขาชี้มือขึ้นไปยังเศียรของรูปเคารพพร้อมเปล่งเสียงแหบแห้งร้องบอก

“ตรงนั้น เราต้องขึ้นไปบนนั้น”


สนธยานี้เหมืองดูเงียบเชียบกว่าปกติ จากการหลบหนีของวราและสุทธิ์ รวมถึงการที่สัตตะโดนทำร้าย ฅนงานในเหมืองต่างได้รับคำสั่งให้อยู่แต่ในที่พัก ขณะที่ผู้คุมฅนงานจำนวนหนึ่งกำลังตามล่าตัวสองฅนกลับมา

แต่ไม่ใช่สำหรับ กุร์พรีต เขาเป็นฅนไม่เคยสนใจกฎระเบียบหรือคำสั่งมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทุกอย่างที่เป็นกฎ ล้วนเป็นความท้าทายให้ฝ่าฝืน กุร์พรีตรู้ดีว่าแม้จะมีคำสั่งให้พวกเขาเก็บตัว แต่ผู้คุมที่เหลืออยู่เพียงสี่ห้าฅนนั้นไม่ได้สนใจพวกเขากันสักเท่าไรนักหรอก และความจริงแล้ว คงไม่ได้ถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายอะไรหากเขาจะออกมา กุร์พรีตคิดว่าหากเจอผู้คุม เขาก็จะแค่ถูกไล่ให้กลับเข้าไปเท่านั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรกุร์พรีตก็ยังต้องหูไวตาไวอยู่ดี และตอนนี้ท้องฟ้าที่สลัวลง ยังช่วยให้เขาไม่เป็นจุดสังเกตมากนักด้วย

อาคารเสบียงถูกแยกให้ห่างจากที่พักออกมา ตามปกติแล้วที่นี่จะมียามเฝ้าอยู่ตลอด แต่วันนี้มันอาจถูกละเลยบ้าง กลิ่นมูลสัตว์จาง ๆ จากคอกที่เคยผูกล่อและลาสิบกว่าตัวโชยมา กุพรีตหันมองคอกสัตว์ว่างเปล่าก่อนมุ่งความสนใจไปยังคลังเสบียงอีกครั้ง เขามีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ขณะแสดงท่าทีระมัดระวังมากขึ้น เด็กชายขยับเท้าเงียบกริบไปยังคลังเสบียง แม้จะปลอดการรักษาความปลอดภัย แต่ประตูยังคงถูกล่ามด้วยโซ่และกุญแจแน่นหนาอยู่ดี กุร์พรีตมองแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาอีกครั่ง เขาย่อตัวนั่งลง ล้วงมือเข้าไปในรองเท้าเก่ามีรอยขาดที่สวมอยู่ ดึงลวดงอ ๆ เส้นหนึ่งออกมา เขาดัดมันเบา ๆ การเสดาะกุญแจ ไม่ใช่เรื่องยากเย็นสำหรับเด็กที่เคยลักเล็กโขมยน้อยเพื่อเอาตัวรอดมาก่อนอย่างเขา

เสียงประตูลั่นเบา ๆ เมื่อกุร์พรีตพยายามเปิดมันช้า ๆ เด็กชายแทบกลั้นหายใจขณะก้าวเท้าเข้าไป กลิ่นเค็มของเนื้อแห้งที่แขวนอยู่เหนือหัวผสมกลิ่นอับชื้นและกลิ่นหืนของแป้งในกระสอบป่าน ยังมีกลิ่นฉี่หนูที่เขาแยกแยะออกมาจากกลิ่นต่าง ๆ ภายในคลังเสบียงจะค่อนข้างมืดเพราะทุกด้านถูกปิดทึบ มีเพียงช่องระบายอากาศขนาดไม่ใหญ่นักที่อยู่สูงขึ้นไปเท่านั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรทุกอย่างก็ยังพอมองเห็นได้ และเมื่อสายตาของเขาเริ่มชิน ทุกอย่างก็ยิ่งดูชัดเจนขึ้น เด็กชายตรงไปยังกองฟางเก่า ๆ ที่อยู่ข้างถุงแป้งสาลี ล้วงไม้ขีดออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ใจเต้นเล็กน้อย กุร์พรีตบอกตัวเองว่าเขาตัดสินใจแล้ว เด็กชายใช้กานไม้ขีดขูดกับข้างกล่องด้วยความเร็ว ก้านแรกไม่มีอะไรเกิดขึ้น ด้วยความใจเย็น เขาสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วหยิบก้านใหม่มาขีดอีกครั้ง กลักไม้ขีดได้รับความชื้นจึงติดยากอยู่สักหน่อย แต่ในที่สุดก้านไม้ขีดก็ติดไฟจนได้ เด็กชายจ่อมันเข้าใส่ฟางที่เขาสุมเป็นกองไว้แล้ว มือสั่นเล็กน้อย ใจเต้นคับอก เมื่อไฟลุกไหม้ขึ้นมาเขาจึงหาฟางมาวางล่อให้มันลามไปยังกองกระสอบป่าน ที่นั่นมันจะลุกไหม้ลามไปยังที่อื่น ๆ ได้อย่างง่ายดาย เสร็จแล้วจึงรีบออกมาอย่างรวดเร็ว

กุร์พรีตยังคงยืนอยู่ระหว่างบ้านพักของผู้คุมกับที่พักฅนงาน กระทั่งผลงานของเขาฉายชัดออกมา เด็กชายจึงวิ่งส่งเสียงให้ทุกฅนได้รู้กัน

“ไฟไหม้ไฟไหม้” เขาวิ่งตะโกนเสียงดังไปทางบ้านพักผู้คุม เสียงเอะอะดังขานรับ เมื่อทุกฅนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกุร์พรีตจึงวิ่งตะโกนมายังที่พักของตน


วินัยตื่นขึ้นมาจากเสียงเอะอะ เขารู้แล้วว่าไฟไหม้ ไม่ทันได้ลำดับความคิดอะไรมากนักกุร์พรีตก็เข้ามาเสียก่อน

“ไปกัน” กุร์พรีตบอกเบา ๆ

“ไปไหน” วินัยถามออกมา กุร์พรีตยกนิ้วแตะปาก หันมองฅนอื่น ๆ ที่มัวแต่สนใจแสงไฟจากคลังเสบียง หลายฅนรีบไปที่นั่น กุร์พรีตรีบสะพายกระเป๋าที่เตรียมไว้แล้ว และช่วยเก็บเสื้อผ้าไม่กี่ชิ้นของวินัยยัดใส่กระเป๋าให้ หันมองซ้ายขวาอีกครั้ง ไม่มีใครสนใจพวกเขาสองฅนเลย วินัยพอเข้าใจอะไรบ้างแล้ว เมื่อสะพายกระเป๋า กุร์พรีตก็พาเขาแฝงกายออกมาอย่างเงียบเชียบ

หมายเหตุ: เป็นการเขียนที่ไม่ต่างจากร่างแรก เนื้อหาจึงยังอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ และขออนุญาตนำมาลงแต่เพียงเท่านี้ครับ

:แนะนำหรือแสดงความคิดเห็นกันได้ครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่