การสารภาพบาป

ผู้สารภาพพึงระมัดระวังอย่างยิ่ง
ในการรักษาเกียรติชื่อเสียงของเพื่อนมนุษย์ขณะทำการสารภาพบาป และต้องระวังมิให้เอ่ยนามบุคคลใดเมื่อสารภาพบาปที่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น

ทั้งนี้ ผู้สารภาพไม่พึงหาข้อแก้ตัวให้ตนเองหรือกล่าวเกินความจริงเกี่ยวกับบาปของตน และไม่พึงกล่าวสิ่งที่ไม่แน่นอนเสมือนแน่นอน หรือสิ่งที่แน่นอนเสมือนไม่แน่นอน แต่ควรวางแต่ละเรื่องในตำแหน่งที่เหมาะสมโดยไม่เบี่ยงเบนไปจากความจริง
—————-

เมื่อใดที่จำเป็นต้องสารภาพบาปซ้ำ?

ประการแรก หากผู้สารภาพโกหกเกี่ยวกับบาปหนัก

ประการที่สอง หากผู้สารภาพเจตนาไม่กล่าวถึงบาปหนักบางประการ หมายถึง เขาทราบว่าบาปนั้นเป็นบาปหนัก แต่กลับไม่เอ่ยถึงในการสารภาพบาป

แต่หากเขาไม่รู้ว่าบาปนั้นเป็นบาปหนัก และต่อมาจึงได้เรียนรู้ว่าบาปนั้นมีเนื้อหาหนักหน่วง ก็เพียงพอที่จะกล่าวบาปนั้นโดยเฉพาะในการสารภาพครั้งถัดไป โดยไม่ต้องสารภาพซ้ำทั้งหมด

ประการที่สาม หากผู้สารภาพไม่มีเจตนาจะละบาปที่เขากระทำอยู่

ประการที่สี่ หากผู้สารภาพมิได้ตรวจสอบมโนธรรมอย่างรอบคอบเพราะความประมาทเลินเล่อ และลืมบาปหนักไป

ประการที่ห้า หากผู้สารภาพอยู่ในภาวะต้องโทษขับออกจากศาสนจักร (Excommunication) และมิได้ขอรับการอภัยโทษจากโทษขับออกก่อน

เมื่อได้ว่าด้วยการสารภาพบาปแล้ว ควรกล่าวถึงผู้ที่สารภาพบาปบ่อยครั้งด้วย หลายคนในกลุ่มนี้ประสบกับความรู้สึกกลัวบาป (scruples) อย่างมาก

เพราะเมื่อตรวจสอบมโนธรรมแล้วมักไม่พบเรื่องบาปที่จะนำมาสารภาพ พวกเขารู้ดีว่าตนเองมิได้ปราศจากบาปโดยสิ้นเชิง แต่เมื่อมาถึงการสารภาพบาป กลับไม่พบสิ่งใดจะกล่าวได้ ในเรื่องนี้ พึงกล่าวถึงสองประการ :

ประการแรก การรู้จักตนเองและการเข้าใจซอกซุมในมโนธรรมของตนเป็นกิจการที่ยากลำบาก ดังที่ประกาศกกล่าวไว้ว่า “บาปทั้งหลาย ใครเล่าจะเข้าใจได้? ขอพระองค์ทรงปลดปล่อยข้าพเจ้าจากบาปลึกลับของข้าพเจ้าเถิด” (เทียบ สดุดี 19:12)

ประการที่สอง บาปของผู้ชอบธรรม ซึ่งนักปราชญ์กล่าวว่าพวกเขาตกในบาปวันละเจ็ดครั้ง มักเป็นบาปเว้นทำ (omission) มากกว่าบาปกระทำ (commission) และบาปเว้นทำนั้นรู้ได้ยากกว่า เพราะสิ่งที่มิได้เกิดขึ้นแลเห็นได้ยากกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว

เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจที่ผู้มีชีวิตฝ่ายจิต โดยเฉพาะผู้ที่มีจิตใจเรียบง่าย มักไม่พบสิ่งใดจะกล่าวโทษตนเองได้

—————-
เพื่อแก้ไขในเรื่องนี้ จึงสมควรให้แนวทางแก่ผู้มีจิตตระหนักบาปเหล่านี้ หลายประการที่เราจะกล่าวถึงต่อไปนี้

อาจมิใช่แม้แต่บาปเบา แต่เป็นความบกพร่องหรือความอ่อนแอ ซึ่งอาจนำไปสู่บาปเบาได้

ดังนั้น ผู้ที่แสวงหาความสมบูรณ์แบบควรกล่าวโทษตนเองในความบกพร่องบางประการเป็นครั้งคราว แต่ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นในทุกกรณี เพื่อมิให้ผู้ฟังการสารภาพบาปเบื่อหน่ายหรือผู้สารภาพกลายเป็นผู้มีจิตใจหวาดระแวงเกินควร

ผู้สารภาพอาจกล่าวโทษตนเองในเรื่องต่างๆ ดังนี้ :

ประการแรก ความประมาทเลินเล่อหรือความผิดพลาดในการเตรียมตัวเพื่อการสารภาพบาป โดยเฉพาะในการตรวจสอบมโนธรรม

ประการที่สอง การขาดความเสียใจต่อบาปที่ได้กระทำ หรือความตั้งใจอ่อนแอในการปรับปรุงชีวิตใหม่

ประการที่สาม การรับศีลมหาสนิทโดยปราศจากความสะอาดแห่งมโนธรรม การเคารพ หรือความศรัทธาอย่างเพียงพอ หรือการขาดการตั้งจิตแน่วแน่และการขอบพระคุณหลังการรับศีล

ประการที่สี่ ความไม่เอาจริงเอาจังในการปรับปรุงตนเองให้เจริญในคุณธรรม หรือการคงอยู่ในความเฉื่อยชาและความประมาทเลินเล่อ

—————-

จากนั้น ผู้สารภาพพึงกล่าวโทษตนเองต่อไปในเรื่องของคุณธรรมหลัก :

เกี่ยวกับพระเจ้า ผู้เชื่อพึงฝึกฝนคุณธรรมเทววิทยาสามประการ คือ ความเชื่อ ความหวัง และความรัก

• ในเรื่องความรัก พึงกล่าวโทษตนเองว่า ตนมิได้รักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจตามที่พึงกระทำ แต่กลับเลือกความรักผิดระเบียบที่มีต่อสรรพสิ่งและความไร้สาระของโลกนี้ ลืมเลือนพระเจ้าไป

• ในเรื่องความเชื่อ ว่าความเชื่อของตนมิได้แข็งแกร่งเท่าที่ควร และมิได้ขจัดความสงสัยหรือละทิ้งความคิดที่ขัดแย้งกับความเชื่อโดยเร็ว

• ในเรื่องความหวัง ว่ามิได้หันไปหาพระเจ้าในยามทุกข์ยาก หรือยอมแพ้และหมดกำลังใจได้ง่ายเกินควร

• ในเรื่องเจตนาบริสุทธิ์ พึงกล่าวโทษตนเองว่ากระทำกิจการฝ่ายพระเป็นเจ้าไม่ใช่เพื่อพระองค์โดยลำพัง แต่ด้วยความเคยชิน เพื่อความพอใจส่วนตัว หรือเพื่อประโยชน์ส่วนตน

พึงกล่าวโทษตนเองด้วยว่า :

• ขาดความกระตือรือร้นในการตอบสนองต่อการดลใจของพระเจ้าและพระหรรษทานแห่งกิจการจริง (actual graces) โดยมิได้เพียรพยายามพอสมควร ซึ่งเป็นความผิดฝ่ายจิตที่ซ่อนเร้น

• มิได้สำนึกคุณพระเจ้าในพระพรและพระพรมากมาย หรือมิได้นำพระพรเหล่านั้นมาใช้ให้เกิดผลเพื่อความรักและการรับใช้พระเจ้า

• ขาดจิตสำนึกและความตั้งใจแน่วแน่ในการร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณหรือพิธีกรรมทางศาสนา

เกี่ยวกับหน้าที่ต่อตนเอง
พึงกล่าวโทษตนเองว่า :

• มิได้ปฏิบัติต่อร่างกายด้วยความเข้มงวดและการบำเพ็ญตบะตามที่ควร โดยเฉพาะในเรื่องการกิน การดื่ม และการนอนหลับ แต่กลับปล่อยตัวและเฉื่อยชา

• มิได้ควบคุมจินตนาการและประสาทสัมผัส แต่ให้ความสนใจกับสิ่งไร้สาระที่ขัดขวางจิตใจจากการตั้งสมาธิในการภาวนา

• มิได้ระงับกิเลสตัณหา มิได้ขัดเกลากิเลสตนเอง แต่กลับทำตามความปรารถนาในทุกสิ่ง

• ขาดความถ่อมใจในจิตใจและในการประพฤติปฏิบัติ

• มีความเฉื่อยชาและความเกียจคร้านในการภาวนา มักหยุดการภาวนาเพราะเรื่องเล็กน้อย

เกี่ยวกับหน้าที่ต่อเพื่อนมนุษย์
พึงกล่าวโทษตนเองว่า :

• มิได้รักเพื่อนมนุษย์ตามแบบที่ตนปรารถนาให้เขารักตน ตามพระบัญญัติของพระเจ้า

• มิได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในยามจำเป็น หรือขาดความเมตตาต่อความทุกข์ของเขา

• มิได้แสดงความนบนอบและความเคารพต่อผู้บังคับบัญชา

• มิได้สั่งสอน ว่ากล่าว ตักเตือน หรือให้กำลังใจแก่ผู้ที่อยู่ภายใต้การปกครองของตน หรือมิได้ดูแลเขาอย่างเหมาะสม

หลังจากกล่าวโทษตนเองถึงบาปเว้นทำแล้ว พึงกล่าวถึงบาปกระทำ โดยตรวจสอบผ่านทางพระบัญญัติสิบประการ ข้อบัญญัติของพระศาสนจักร และบาปต้นเจ็ดประการ

สุดท้าย

พึงกล่าวโทษตนเองถึงบาปที่เกี่ยวข้องกับสภาพชีวิตและหน้าที่การงานของตน
หากเป็นนักบวช พึงตรวจสอบตามคำปฏิญาณสามประการและกฎข้อบังคับของคณะนักบวช
หากเป็นผู้พิพากษา ทนายความ แพทย์ พ่อค้า ฯลฯ พึงตรวจสอบตามพันธกรณีของอาชีพตน

เมื่อกล่าวโทษตนเองจนครบถ้วนแล้ว จงเสริมว่า:
“ข้าพเจ้าขอกล่าวโทษตนเองต่อพระเจ้าในบาปเหล่านี้ และบาปอื่นๆ ทั้งปวงที่ข้าพเจ้าได้กระทำทั้งโดยความคิด วาจา และการกระทำ และขอร้องท่าน บาทหลวง โปรดประทานกิจใช้โทษบาปpenance และการอภัยบาปแก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ”

- พระคุณเจ้าหลุยส์แห่งกรานาดา


Catholic Christianity

CR. : FrPongsak Od-Od
https://www.facebook.com/frpongsak/posts/pfbid0qxFEcFBWTJFATGayaCZ49T1BDmzzKY6Y3iT82vtbHJfSyfwWPWHuzYB3FCtbBZ4Jl
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่