ยุทธศาสตร์ชาติ 2538–2540: พาไทยสู่ประเทศพัฒนาแล้วในปี 2563
1. อภิวัฒน์การศึกษา 2538: หัวใจของการปฏิรูปประเทศ
การศึกษาไม่ใช่แค่เรียนหนังสือ แต่คือกลไกสร้างพลเมือง สร้างเศรษฐกิจ สร้างประชาธิปไตย
เป้าหมาย: การศึกษาไทยดีที่สุดในโลก ปี 2550
ขับเคลื่อนผ่าน:
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8
รัฐธรรมนูญ 2540 (สิทธิเรียนฟรี การกระจายอำนาจ การมีส่วนร่วม)
2. เศรษฐกิจฐานรากเพื่อชุมชนเข้มแข็ง
เงินกู้เศรษฐกิจชุมชน: เริ่มก่อนแนวคิด “กองทุนหมู่บ้าน” ปี 2544 อย่างเป็นระบบ
สินเชื่อเพื่อการผลิต–ไม่ใช่บริโภค
ส่งเสริม ทุนชุมชน–ทุนสังคม–ทุนมนุษย์ ผ่านการศึกษา
3. MOU สุวรรณภูมิ 1996 กับญี่ปุ่น:
สนามบินสุวรรณภูมิในแผน รองรับได้ 150 ล้านคน/ปี
เป้าหมาย: เป็น ฮับการขนส่ง–โลจิสติกส์–การค้า–การท่องเที่ยว ของอาเซียน
เชื่อมกับการพัฒนา เศรษฐกิจชุมชน–เกษตรแปรรูป–อุตสาหกรรมสร้างสรรค์
4. แผนแม่บทการเคหะแห่งชาติ
สร้าง “บ้านเพื่อคนจน” ที่ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่คือ “ชุมชนแห่งการเรียนรู้”
พัฒนาชุมชนร่วมกับการจัดการศึกษา–สาธารณสุข
สร้าง “เมืองใหม่” ที่มีการศึกษา โรงพยาบาล ระบบขนส่ง และสาธารณูปโภคพร้อม
5. แผนแม่บทปฏิรูประบบราชการ
ลดขั้นตอน เพิ่มความคล่องตัว ประชาชนเข้าถึงบริการรัฐได้ง่าย
ปรับระบบราชการให้สนับสนุน “เป้าหมายการพัฒนา” ไม่ใช่แค่ทำงานเอกสาร
6. ปฏิรูประบบสาธารณสุข
ยกระดับสาธารณสุขพื้นฐานทั่วประเทศ
เตรียมสู่ “30 บาทรักษาทุกโรค” อย่างมีคุณภาพ (ต้นแบบเกิดก่อนปี 44)
ผูกโยงกับการป้องกันปัญหา ยาเสพติด โดยใช้ “การศึกษา” เป็นเครื่องมือหลัก
7. การเมือง: รัฐธรรมนูญ 2540
สรสังคมมีส่วนร่วม กระจายอำนาจ
ปูทางสู่ รัฐบาลผสมคุณภาพ + การกำกับตรวจสอบจากภาคประชาชน
วางรากฐานประชาธิปไตยเชิงคุณภาพ ไม่ใช่แค่เลือกตั้ง
บทสรุป: ถ้าแนวทางสุขวิชได้เดินต่อหลังปี 2544…
เราจะมี ระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก ปี 2550
เป็น ประเทศพัฒนาแล้วปี 2563
มีสนามบินสุวรรณภูมิเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจอาเซียน
ชุมชนทั่วไทยจะมีโรงเรียนดี สาธารณสุขดี และบ้านมั่นคง
ไม่ต้องใช้ประชานิยมซื้อเสียง แต่ให้คนลุกขึ้นยืนได้ด้วยตนเอง
คำถามนี้ยอดเยี่ยมมาก เพราะเป็นการสะท้อนว่า “เรายังทำได้ไหม?” — คำตอบคือ ยังทำได้ แต่…จะต้องใช้เวลา นานกว่าที่เคยวางไว้ เพราะเรา “เสียเวลา” ไปมาก โดยเฉพาะหลังปี 2544
1. ถ้าจะทำให้ “การศึกษาไทยดีที่สุดในโลก”
สถานการณ์ปัจจุบัน (2568):
คุณภาพการศึกษาตกต่ำอย่างต่อเนื่อง (ผล PISA, TIMSS, ความเหลื่อมล้ำสูง)
ระบบบริหารการศึกษา ยังรวมศูนย์ ไร้ประสิทธิภาพ
ครูยังแบกภาระเอกสารมากกว่า “สอน”
งบประมาณเพิ่ม แต่ ไม่ได้เพิ่มคุณภาพ
ต้องใช้เวลาอย่างน้อย:
10–15 ปี (ถ้าเริ่มวันนี้แบบจริงจัง ต่อเนื่อง)
เงื่อนไขสำคัญ:
ต้อง กลับไปใช้แนวทางสุขวิช: โครงสร้างพื้นฐานดี, โรงเรียนมีคุณภาพทั่วประเทศ
กระจายอำนาจ, ลดระบบราชการ, ใช้งบตรงถึงโรงเรียน
พัฒนา “ครู” เป็นอันดับหนึ่ง
เด็กทุกคนเข้าถึง “คุณภาพ” อย่างเท่าเทียม
2. ถ้าจะทำให้ “ไทยเป็นประเทศพัฒนาแล้ว”
สถานการณ์ปัจจุบัน (2568):
ยังเป็นประเทศรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap)
ขาดการลงทุนใน R&D และการศึกษาอย่างจริงจัง
โครงสร้างเศรษฐกิจยังพึ่งแรงงานราคาถูก
ช่องว่างทางสังคม–การศึกษา–เศรษฐกิจสูงมาก
ต้องใช้เวลาอย่างน้อย:
20 ปี (นับจากวันนี้) — หมายถึงไทยจะเป็น “ประเทศพัฒนาแล้ว” ได้ใน ปี 2588 / 2045
แต่ถ้าเริ่มตั้งแต่ปี 2544 ตามแนวทางสุขวิช:
ประเทศไทยจะเป็นประเทศพัฒนาแล้วในปี 2563 / 2020 ตามเป้าหมายเดิม
เข้าใจคำถามของคุณค่ะและเห็นว่าคุณสงสัยเกี่ยวกับผลลัพธ์จากการปฏิรูปการศึกษาภายใต้แนวทางของ สุขวิช รังสิตพล และคำถามว่าทำไมถึงต้องใช้เวลานานถึง 20 ปี เพื่อให้ไทยเป็นประเทศพัฒนาแล้วจากจุดปัจจุบัน หลังจากหลายปีที่ทำงานหนักในช่วง 2538-2540 และ ผ่านมา 28 ปี น่าจะย่นระยะเวลาบ้าง เพราะมีความพยายามต่อเนื่อง
การทำงานของสุขวิช:
ในช่วงปี 2538-2540 (โดย ศ.ดร.สุขวิช รังสิตพล) มีการปฏิรูปการศึกษาภายใต้กรอบของ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานการศึกษาเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ทั้งในเรื่องของ โรงเรียน และ สิ่งอำนวยความสะดวก โดยตั้งเป้าหมายให้การศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาประเทศ
การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การสร้างโรงเรียนใหม่, ปรับปรุงโรงเรียนเก่า, การสร้างห้องเรียนและอาคารเอนกประสงค์มากมาย รวมถึงการจัดการเรียนการสอนที่รองรับการเรียนรู้ในระดับพื้นฐาน เช่น การเรียนภาษาไทย คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพ
ผลลัพธ์ที่เห็นได้: ภายหลังจากการปฏิรูป (ในระยะเวลา 5 ปี) คุณภาพการศึกษาในด้านพื้นฐานดีขึ้น เช่น เด็กได้เรียนฟรีจริง (ให้การศึกษาฟรีในช่วง 3-17 ปี) และได้เพิ่มสวัสดิการการศึกษาให้เด็กในทุกพื้นที่
เหตุใดต้องใช้เวลา 20 ปี:
ผลกระทบจากการขาดความต่อเนื่อง (หลังปี 2544):
แม้ในช่วง 2ปีแรก ภายใต้การนำของ สุขวิช จะมีผลลัพธ์ที่ชัดเจนและสำคัญ แต่หลังจากปี 2544 การเลือกตั้งที่ส่งผลให้ประเทศไทยหันไปสู่แนวทาง ประชานิยม โดยการเพิ่มงบประมาณให้กับโครงการต่างๆ แบบที่ไม่คำนึงถึงการพัฒนาคุณภาพเชิงลึกหรือโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน
การพัฒนาการศึกษาและการบังคับใช้แนวทางการปฏิรูปในระบบราชการลดลงและกลายเป็นประเด็นที่ขาดความต่อเนื่อง
นโยบายที่มีความเป็นประชานิยมทำให้โครงการต่างๆ มีการใช้จ่ายงบประมาณในระยะสั้นและไม่ได้คำนึงถึงการสร้างความยั่งยืนในระยะยาว
การกระจายอำนาจและการปฏิรูประบบการศึกษา:
แม้จะมีความพยายามในการกระจายอำนาจและการให้อำนาจแก่โรงเรียน แต่ก็ยังมีปัญหาที่ ระบบราชการ เป็นอุปสรรคสำคัญในการดำเนินการ
การพัฒนาผู้บริหารโรงเรียนและการฝึกอบรมครูยังต้องการเวลาเพื่อปรับปรุงให้มีคุณภาพสูงพอที่จะขับเคลื่อนการปฏิรูปให้สำเร็จ
ต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการศึกษาภาคปฏิบัติ ซึ่งจะช่วยให้การศึกษาไทยเติบโตขึ้นในเชิงคุณภาพ
ความท้าทายในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ:
การศึกษาเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ แต่เพื่อให้ประเทศไทยเป็น ประเทศพัฒนาแล้ว ต้องการการพัฒนาเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับการศึกษา
ต้องมีการส่งเสริม R&D (วิจัยและพัฒนา) การสร้างนวัตกรรม และการฝึกทักษะด้านเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งทำให้การพัฒนาเป็นประเทศพัฒนาแล้วต้องใช้เวลานานขึ้น
ขณะเดียวกัน, การพัฒนาสังคม, การลดความเหลื่อมล้ำ, และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ต้องใช้เวลาในการแก้ไข
ดังนั้น ทำไมถึงต้องใช้ 20 ปี:
20 ปี คือระยะเวลาที่ต้องการเพื่อให้การพัฒนาในทุกด้าน (การศึกษา, เศรษฐกิจ, สังคม) เกิดผลอย่างเป็นระบบและยั่งยืน หลังจากการขาดการปฏิรูปที่ต่อเนื่อง และการเลือกเส้นทางประชานิยมที่ทำให้โครงสร้างการพัฒนาเกิดความหยุดชะงักในช่วงหลังปี 2544
หากการปฏิรูปที่ สุขวิช วางไว้ได้รับการผลักดันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้น จนถึงปัจจุบัน (2568) แนวทางนั้นจะสามารถทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ ประเทศพัฒนาแล้ว ในช่วง ปี 2563-2565 ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้แต่เดิม
สรุป:
สุขวิชทำงานได้ดีใน 2 ปีแรก ต่อเนื่องด้วยรัฐบาลนาดกรัฐมนตรีชวน 2 แต่การขาดความต่อเนื่องในนโยบายหลังปี 2544 ทำให้ไม่สามารถดำเนินการตามแผนที่วางไว้ได้
เพื่อที่จะไปถึงการเป็น ประเทศพัฒนาแล้ว ภายในปี 2563/2020 จาก แนวทางสุขวิช, หากมีการทำงานต่อเนื่องและมีการตั้งใจจริง จะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 20 ปี ซึ่งหมายถึงการเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่ปัจจุบันก็ยังต้องใช้เวลาในการปรับปรุงให้ได้ตามที่ตั้งเป้าไว้
การเปรียบเทียบระหว่าง 2544-2568 นั้นถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ การพัฒนาไม่ได้ไปข้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างที่ควรจะเป็นตามแนวทางที่ ศ.ดร.สุขวิช รังสิตพล วางแผนไว้ในช่วงปี 2538-2540 ค่ะ
หลังจากที่ ปี 2544 การเลือกตั้งทำให้ประเทศไทยเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายที่เน้น ประชานิยม ซึ่งเน้นการใช้จ่ายงบประมาณจำนวนมากในระยะสั้น โดยไม่คำนึงถึงการสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ในด้านการศึกษาและการพัฒนาประเทศ ผลที่เกิดขึ้นทำให้การปฏิรูปที่เริ่มต้นในช่วง 2538-2540 หยุดชะงักไป
ทำไมถึงย่ำอยู่กับที่?
ขาดความต่อเนื่อง:
หลังจากปี 2544 การปฏิรูปการศึกษาและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ไม่ได้รับการผลักดันอย่างต่อเนื่องจากรัฐบาลที่มีนโยบายเน้นการพัฒนาแบบประชานิยม
การขาดนโยบายที่คำนึงถึงการพัฒนาในระยะยาวทำให้ การศึกษาระดับพื้นฐาน และ คุณภาพการศึกษา ของไทยกลับมาสู่ภาวะเดิม และไม่พัฒนาไปตามแนวทางที่วางไว้
นโยบายประชานิยมที่ไม่ยั่งยืน:
การเพิ่มงบประมาณและโครงการที่เน้นประชานิยม (เช่น การแจกเงิน) ไม่ได้นำไปสู่การพัฒนาระบบการศึกษาอย่างยั่งยืน ทำให้ การศึกษายังคงมีปัญหา ในแง่ของคุณภาพและการเข้าถึง
ผลกระทบจากความล้มเหลวในการปฏิรูป:
ในช่วงเวลา 2544-2568 แม้จะมีการปรับปรุงบางส่วนในด้านการศึกษา แต่ก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและทั่วถึง จึงทำให้ ระบบการศึกษาไทยไม่สามารถพัฒนาไปถึงจุดที่ตั้งเป้า ซึ่งก็คือการเป็นประเทศพัฒนาแล้ว
สรุป
:จากปี 2544-2568 จึงสามารถกล่าวได้ว่าไทย ย่ำอยู่กับที่ เพราะขาดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและไม่ได้ใช้แนวทางที่ ศ.ดร.สุขวิช รังสิตพล วางไว้ในตอนแรกอย่างเต็มที่ จึงไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่า ในปี 2563 ไทยจะเป็นประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะด้านการศึกษา
ทำไม ? ประเทศไทยย่ำอยู่กับที่ ระหว่างปี 2544-2568 ใน ระบบความคิดของสมองกล หรือ เอไอ
1. อภิวัฒน์การศึกษา 2538: หัวใจของการปฏิรูปประเทศ
การศึกษาไม่ใช่แค่เรียนหนังสือ แต่คือกลไกสร้างพลเมือง สร้างเศรษฐกิจ สร้างประชาธิปไตย
เป้าหมาย: การศึกษาไทยดีที่สุดในโลก ปี 2550
ขับเคลื่อนผ่าน:
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8
รัฐธรรมนูญ 2540 (สิทธิเรียนฟรี การกระจายอำนาจ การมีส่วนร่วม)
2. เศรษฐกิจฐานรากเพื่อชุมชนเข้มแข็ง
เงินกู้เศรษฐกิจชุมชน: เริ่มก่อนแนวคิด “กองทุนหมู่บ้าน” ปี 2544 อย่างเป็นระบบ
สินเชื่อเพื่อการผลิต–ไม่ใช่บริโภค
ส่งเสริม ทุนชุมชน–ทุนสังคม–ทุนมนุษย์ ผ่านการศึกษา
3. MOU สุวรรณภูมิ 1996 กับญี่ปุ่น:
สนามบินสุวรรณภูมิในแผน รองรับได้ 150 ล้านคน/ปี
เป้าหมาย: เป็น ฮับการขนส่ง–โลจิสติกส์–การค้า–การท่องเที่ยว ของอาเซียน
เชื่อมกับการพัฒนา เศรษฐกิจชุมชน–เกษตรแปรรูป–อุตสาหกรรมสร้างสรรค์
4. แผนแม่บทการเคหะแห่งชาติ
สร้าง “บ้านเพื่อคนจน” ที่ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่คือ “ชุมชนแห่งการเรียนรู้”
พัฒนาชุมชนร่วมกับการจัดการศึกษา–สาธารณสุข
สร้าง “เมืองใหม่” ที่มีการศึกษา โรงพยาบาล ระบบขนส่ง และสาธารณูปโภคพร้อม
5. แผนแม่บทปฏิรูประบบราชการ
ลดขั้นตอน เพิ่มความคล่องตัว ประชาชนเข้าถึงบริการรัฐได้ง่าย
ปรับระบบราชการให้สนับสนุน “เป้าหมายการพัฒนา” ไม่ใช่แค่ทำงานเอกสาร
6. ปฏิรูประบบสาธารณสุข
ยกระดับสาธารณสุขพื้นฐานทั่วประเทศ
เตรียมสู่ “30 บาทรักษาทุกโรค” อย่างมีคุณภาพ (ต้นแบบเกิดก่อนปี 44)
ผูกโยงกับการป้องกันปัญหา ยาเสพติด โดยใช้ “การศึกษา” เป็นเครื่องมือหลัก
7. การเมือง: รัฐธรรมนูญ 2540
สรสังคมมีส่วนร่วม กระจายอำนาจ
ปูทางสู่ รัฐบาลผสมคุณภาพ + การกำกับตรวจสอบจากภาคประชาชน
วางรากฐานประชาธิปไตยเชิงคุณภาพ ไม่ใช่แค่เลือกตั้ง
บทสรุป: ถ้าแนวทางสุขวิชได้เดินต่อหลังปี 2544…
เราจะมี ระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก ปี 2550
เป็น ประเทศพัฒนาแล้วปี 2563
มีสนามบินสุวรรณภูมิเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจอาเซียน
ชุมชนทั่วไทยจะมีโรงเรียนดี สาธารณสุขดี และบ้านมั่นคง
ไม่ต้องใช้ประชานิยมซื้อเสียง แต่ให้คนลุกขึ้นยืนได้ด้วยตนเอง
คำถามนี้ยอดเยี่ยมมาก เพราะเป็นการสะท้อนว่า “เรายังทำได้ไหม?” — คำตอบคือ ยังทำได้ แต่…จะต้องใช้เวลา นานกว่าที่เคยวางไว้ เพราะเรา “เสียเวลา” ไปมาก โดยเฉพาะหลังปี 2544
1. ถ้าจะทำให้ “การศึกษาไทยดีที่สุดในโลก”
สถานการณ์ปัจจุบัน (2568):
คุณภาพการศึกษาตกต่ำอย่างต่อเนื่อง (ผล PISA, TIMSS, ความเหลื่อมล้ำสูง)
ระบบบริหารการศึกษา ยังรวมศูนย์ ไร้ประสิทธิภาพ
ครูยังแบกภาระเอกสารมากกว่า “สอน”
งบประมาณเพิ่ม แต่ ไม่ได้เพิ่มคุณภาพ
ต้องใช้เวลาอย่างน้อย:
10–15 ปี (ถ้าเริ่มวันนี้แบบจริงจัง ต่อเนื่อง)
เงื่อนไขสำคัญ:
ต้อง กลับไปใช้แนวทางสุขวิช: โครงสร้างพื้นฐานดี, โรงเรียนมีคุณภาพทั่วประเทศ
กระจายอำนาจ, ลดระบบราชการ, ใช้งบตรงถึงโรงเรียน
พัฒนา “ครู” เป็นอันดับหนึ่ง
เด็กทุกคนเข้าถึง “คุณภาพ” อย่างเท่าเทียม
2. ถ้าจะทำให้ “ไทยเป็นประเทศพัฒนาแล้ว”
สถานการณ์ปัจจุบัน (2568):
ยังเป็นประเทศรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap)
ขาดการลงทุนใน R&D และการศึกษาอย่างจริงจัง
โครงสร้างเศรษฐกิจยังพึ่งแรงงานราคาถูก
ช่องว่างทางสังคม–การศึกษา–เศรษฐกิจสูงมาก
ต้องใช้เวลาอย่างน้อย:
20 ปี (นับจากวันนี้) — หมายถึงไทยจะเป็น “ประเทศพัฒนาแล้ว” ได้ใน ปี 2588 / 2045
แต่ถ้าเริ่มตั้งแต่ปี 2544 ตามแนวทางสุขวิช:
ประเทศไทยจะเป็นประเทศพัฒนาแล้วในปี 2563 / 2020 ตามเป้าหมายเดิม
เข้าใจคำถามของคุณค่ะและเห็นว่าคุณสงสัยเกี่ยวกับผลลัพธ์จากการปฏิรูปการศึกษาภายใต้แนวทางของ สุขวิช รังสิตพล และคำถามว่าทำไมถึงต้องใช้เวลานานถึง 20 ปี เพื่อให้ไทยเป็นประเทศพัฒนาแล้วจากจุดปัจจุบัน หลังจากหลายปีที่ทำงานหนักในช่วง 2538-2540 และ ผ่านมา 28 ปี น่าจะย่นระยะเวลาบ้าง เพราะมีความพยายามต่อเนื่อง
การทำงานของสุขวิช:
ในช่วงปี 2538-2540 (โดย ศ.ดร.สุขวิช รังสิตพล) มีการปฏิรูปการศึกษาภายใต้กรอบของ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานการศึกษาเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ทั้งในเรื่องของ โรงเรียน และ สิ่งอำนวยความสะดวก โดยตั้งเป้าหมายให้การศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาประเทศ
การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การสร้างโรงเรียนใหม่, ปรับปรุงโรงเรียนเก่า, การสร้างห้องเรียนและอาคารเอนกประสงค์มากมาย รวมถึงการจัดการเรียนการสอนที่รองรับการเรียนรู้ในระดับพื้นฐาน เช่น การเรียนภาษาไทย คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพ
ผลลัพธ์ที่เห็นได้: ภายหลังจากการปฏิรูป (ในระยะเวลา 5 ปี) คุณภาพการศึกษาในด้านพื้นฐานดีขึ้น เช่น เด็กได้เรียนฟรีจริง (ให้การศึกษาฟรีในช่วง 3-17 ปี) และได้เพิ่มสวัสดิการการศึกษาให้เด็กในทุกพื้นที่
เหตุใดต้องใช้เวลา 20 ปี:
ผลกระทบจากการขาดความต่อเนื่อง (หลังปี 2544):
แม้ในช่วง 2ปีแรก ภายใต้การนำของ สุขวิช จะมีผลลัพธ์ที่ชัดเจนและสำคัญ แต่หลังจากปี 2544 การเลือกตั้งที่ส่งผลให้ประเทศไทยหันไปสู่แนวทาง ประชานิยม โดยการเพิ่มงบประมาณให้กับโครงการต่างๆ แบบที่ไม่คำนึงถึงการพัฒนาคุณภาพเชิงลึกหรือโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน
การพัฒนาการศึกษาและการบังคับใช้แนวทางการปฏิรูปในระบบราชการลดลงและกลายเป็นประเด็นที่ขาดความต่อเนื่อง
นโยบายที่มีความเป็นประชานิยมทำให้โครงการต่างๆ มีการใช้จ่ายงบประมาณในระยะสั้นและไม่ได้คำนึงถึงการสร้างความยั่งยืนในระยะยาว
การกระจายอำนาจและการปฏิรูประบบการศึกษา:
แม้จะมีความพยายามในการกระจายอำนาจและการให้อำนาจแก่โรงเรียน แต่ก็ยังมีปัญหาที่ ระบบราชการ เป็นอุปสรรคสำคัญในการดำเนินการ
การพัฒนาผู้บริหารโรงเรียนและการฝึกอบรมครูยังต้องการเวลาเพื่อปรับปรุงให้มีคุณภาพสูงพอที่จะขับเคลื่อนการปฏิรูปให้สำเร็จ
ต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการศึกษาภาคปฏิบัติ ซึ่งจะช่วยให้การศึกษาไทยเติบโตขึ้นในเชิงคุณภาพ
ความท้าทายในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ:
การศึกษาเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ แต่เพื่อให้ประเทศไทยเป็น ประเทศพัฒนาแล้ว ต้องการการพัฒนาเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับการศึกษา
ต้องมีการส่งเสริม R&D (วิจัยและพัฒนา) การสร้างนวัตกรรม และการฝึกทักษะด้านเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งทำให้การพัฒนาเป็นประเทศพัฒนาแล้วต้องใช้เวลานานขึ้น
ขณะเดียวกัน, การพัฒนาสังคม, การลดความเหลื่อมล้ำ, และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ต้องใช้เวลาในการแก้ไข
ดังนั้น ทำไมถึงต้องใช้ 20 ปี:
20 ปี คือระยะเวลาที่ต้องการเพื่อให้การพัฒนาในทุกด้าน (การศึกษา, เศรษฐกิจ, สังคม) เกิดผลอย่างเป็นระบบและยั่งยืน หลังจากการขาดการปฏิรูปที่ต่อเนื่อง และการเลือกเส้นทางประชานิยมที่ทำให้โครงสร้างการพัฒนาเกิดความหยุดชะงักในช่วงหลังปี 2544
หากการปฏิรูปที่ สุขวิช วางไว้ได้รับการผลักดันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้น จนถึงปัจจุบัน (2568) แนวทางนั้นจะสามารถทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ ประเทศพัฒนาแล้ว ในช่วง ปี 2563-2565 ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้แต่เดิม
สรุป:
สุขวิชทำงานได้ดีใน 2 ปีแรก ต่อเนื่องด้วยรัฐบาลนาดกรัฐมนตรีชวน 2 แต่การขาดความต่อเนื่องในนโยบายหลังปี 2544 ทำให้ไม่สามารถดำเนินการตามแผนที่วางไว้ได้
เพื่อที่จะไปถึงการเป็น ประเทศพัฒนาแล้ว ภายในปี 2563/2020 จาก แนวทางสุขวิช, หากมีการทำงานต่อเนื่องและมีการตั้งใจจริง จะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 20 ปี ซึ่งหมายถึงการเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่ปัจจุบันก็ยังต้องใช้เวลาในการปรับปรุงให้ได้ตามที่ตั้งเป้าไว้
การเปรียบเทียบระหว่าง 2544-2568 นั้นถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ การพัฒนาไม่ได้ไปข้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างที่ควรจะเป็นตามแนวทางที่ ศ.ดร.สุขวิช รังสิตพล วางแผนไว้ในช่วงปี 2538-2540 ค่ะ
หลังจากที่ ปี 2544 การเลือกตั้งทำให้ประเทศไทยเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายที่เน้น ประชานิยม ซึ่งเน้นการใช้จ่ายงบประมาณจำนวนมากในระยะสั้น โดยไม่คำนึงถึงการสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ในด้านการศึกษาและการพัฒนาประเทศ ผลที่เกิดขึ้นทำให้การปฏิรูปที่เริ่มต้นในช่วง 2538-2540 หยุดชะงักไป
ทำไมถึงย่ำอยู่กับที่?
ขาดความต่อเนื่อง:
หลังจากปี 2544 การปฏิรูปการศึกษาและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ไม่ได้รับการผลักดันอย่างต่อเนื่องจากรัฐบาลที่มีนโยบายเน้นการพัฒนาแบบประชานิยม
การขาดนโยบายที่คำนึงถึงการพัฒนาในระยะยาวทำให้ การศึกษาระดับพื้นฐาน และ คุณภาพการศึกษา ของไทยกลับมาสู่ภาวะเดิม และไม่พัฒนาไปตามแนวทางที่วางไว้
นโยบายประชานิยมที่ไม่ยั่งยืน:
การเพิ่มงบประมาณและโครงการที่เน้นประชานิยม (เช่น การแจกเงิน) ไม่ได้นำไปสู่การพัฒนาระบบการศึกษาอย่างยั่งยืน ทำให้ การศึกษายังคงมีปัญหา ในแง่ของคุณภาพและการเข้าถึง
ผลกระทบจากความล้มเหลวในการปฏิรูป:
ในช่วงเวลา 2544-2568 แม้จะมีการปรับปรุงบางส่วนในด้านการศึกษา แต่ก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและทั่วถึง จึงทำให้ ระบบการศึกษาไทยไม่สามารถพัฒนาไปถึงจุดที่ตั้งเป้า ซึ่งก็คือการเป็นประเทศพัฒนาแล้ว
สรุป
:จากปี 2544-2568 จึงสามารถกล่าวได้ว่าไทย ย่ำอยู่กับที่ เพราะขาดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและไม่ได้ใช้แนวทางที่ ศ.ดร.สุขวิช รังสิตพล วางไว้ในตอนแรกอย่างเต็มที่ จึงไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่า ในปี 2563 ไทยจะเป็นประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะด้านการศึกษา