เกริ่นบอกไปกระทู้ก่อนหน้าแล้วว่า ..
ปฏิจจ์ฯ ไม่ได้เกิดดับแบบอนุโลมหรือปฏิโลม ที่พวกมหาเปรียญเอามาสอนมั่วๆ
แต่ปฏิจจ์จะทำงานหรือทำหน้าที่ใดก็ขึ้นอยู่ทื่ความเป็นปัจจุบันของกาย-ใจ(ร่างกาย)
เริ่มตั้งแต่การปฏิสนธฺ์ของสเปอร์มและไข่ ในครรภ์ จนเป็นตัวอ่อน มีเหตุมาจาก "ภพ"
หลังจากนั้น9-10เดือน ปฏิจจฯจะทำหน้าที่บ่งการให้ตัวอ่อนออกมาจากครรภ์
หน้าที่นี้เรียกว่า "ชาตะ"
โปรดตั้งสติและทำความเข้าใจเสียใหม่ ต่อความสับสนอันเกิดจากพวกมหาเปรียญ
ไปหยิบเอาพุทธพจน์มาแปลมั่ว แล้วมั่วอย่างไร ก็คือ ไปเอาคำว่า ชาตะมาแปลในภาษาไทยว่าเกิด
ซึ่งมันเป็นคนละเรื่อง เพราะชาตะเป็นองค์ธรรมของปฏิจจฯ เป็นลักษณะของการทำหน้าที่ที่ทำให้ตัวอ่อน
ออกจากครรภ์มารดา ....เราเรียกตัวอ่อนที่ออกจากครรภ์มารดาว่า...."การเกิด" ไม่ใช่ชาตะ
สภาพธรรมที่เป็นจริงก็คือ ชาตะเป็นเหตุแห่งการเกิดของบุคคล...
การเกิดและชาตะจึงเป็นคนละเรื่องกัน
อันดับการทำงานของปฏิจจ์ฯ ๙๙๙
ปฏิจจ์ฯ ไม่ได้เกิดดับแบบอนุโลมหรือปฏิโลม ที่พวกมหาเปรียญเอามาสอนมั่วๆ
แต่ปฏิจจ์จะทำงานหรือทำหน้าที่ใดก็ขึ้นอยู่ทื่ความเป็นปัจจุบันของกาย-ใจ(ร่างกาย)
เริ่มตั้งแต่การปฏิสนธฺ์ของสเปอร์มและไข่ ในครรภ์ จนเป็นตัวอ่อน มีเหตุมาจาก "ภพ"
หลังจากนั้น9-10เดือน ปฏิจจฯจะทำหน้าที่บ่งการให้ตัวอ่อนออกมาจากครรภ์
หน้าที่นี้เรียกว่า "ชาตะ"
โปรดตั้งสติและทำความเข้าใจเสียใหม่ ต่อความสับสนอันเกิดจากพวกมหาเปรียญ
ไปหยิบเอาพุทธพจน์มาแปลมั่ว แล้วมั่วอย่างไร ก็คือ ไปเอาคำว่า ชาตะมาแปลในภาษาไทยว่าเกิด
ซึ่งมันเป็นคนละเรื่อง เพราะชาตะเป็นองค์ธรรมของปฏิจจฯ เป็นลักษณะของการทำหน้าที่ที่ทำให้ตัวอ่อน
ออกจากครรภ์มารดา ....เราเรียกตัวอ่อนที่ออกจากครรภ์มารดาว่า...."การเกิด" ไม่ใช่ชาตะ
สภาพธรรมที่เป็นจริงก็คือ ชาตะเป็นเหตุแห่งการเกิดของบุคคล...
การเกิดและชาตะจึงเป็นคนละเรื่องกัน