เรามักจะได้ยินคำว่าปฏิจจฯกันบ่อยๆ และมีหลายคนเอาคำนี้ไปละเลงจนพุทธพจน์ผิดเพี้ยน
แท้ที่จริงแล้วปฏิจจฯ เป็นกฎของธรรมชาติที่อยู่ในสภาพแวดล้อมของโลกใบนี้
ปฏิจจฯเป็นกฎของธรรมชาติที่คอยกำหนดให้กาย-ใจเรา ให้เป็นไปตามเหตุปัจจัยแห่งองค์ธรรมในปฏิจจฯ
ลักษณะของปฏิจจฯ ประกอบด้วยองค์ธรรมต่างที่ไม่ใช่เรียงกันแบบอนุโลมหรือปฏิโลมตามที่พวกเปรียญธรรม
เอามาสอนแบบมโนสาเร่
โดยนัยของ อิทัปปจยตา อันว่าด้วยเรื่องของเหตุปัจจัย
ปฏิจจสมุปบาท เป็นเหตุให้เกิดสิ่งต่างๆภายในกาย-ใจของบุคคล
พึงสังเกตุว่า ปฏิจจฯไม่ได้เกิดในกายใจของบุคคล แต่ปฏิจจคอยกำหนดให้กาย-ใจเป็นไปตามกฎอิทัปจยตา
โดยมีองค์ต่างๆในปฏิจจฯคอยทำหน้าที่
ขอยกตัวอย่างลักษณะที่เป็นสมมติสัจจะ (วิทยาศาสตร์)
เช่น ร่างกายเรารู้สึกได้ถึงความร้อนอบอ้าว นั้นก็เพราะแสงแดดจากดวงอาทิตย์
พิจารณาแล้วจะเห็นว่า แสงแดดไม่ได้อยู่ในร่างกายเรา แสงแดดอยู่นอกร่างกาย
แต่มันเป็นต้นเหตุทำให้ร่างกายเราร้อนอบอ้าว
ปฏิจจฯอันเป็นปรมัตต์สัจจะก็เช่นกัน ฉะนั้นอย่าหลงคิดว่า ปฏิจจสมุปบาทเกิดในกายใจเรา
แล้วถ้าจะถามว่า ปฏิจจฯหรือองค์ธรรมในปฏิจจฯ ทำให้เกิดอะไรในร่างกาย(กาย-ใจ)...
ขอพักไว้ให้ถกเถียงกันในประเด็นนี้ก่อน
ปฏิจจสมุปบาท ไม่ใช่สิ่งที่เกิดในกาย-ใจ
แท้ที่จริงแล้วปฏิจจฯ เป็นกฎของธรรมชาติที่อยู่ในสภาพแวดล้อมของโลกใบนี้
ปฏิจจฯเป็นกฎของธรรมชาติที่คอยกำหนดให้กาย-ใจเรา ให้เป็นไปตามเหตุปัจจัยแห่งองค์ธรรมในปฏิจจฯ
ลักษณะของปฏิจจฯ ประกอบด้วยองค์ธรรมต่างที่ไม่ใช่เรียงกันแบบอนุโลมหรือปฏิโลมตามที่พวกเปรียญธรรม
เอามาสอนแบบมโนสาเร่
โดยนัยของ อิทัปปจยตา อันว่าด้วยเรื่องของเหตุปัจจัย
ปฏิจจสมุปบาท เป็นเหตุให้เกิดสิ่งต่างๆภายในกาย-ใจของบุคคล
พึงสังเกตุว่า ปฏิจจฯไม่ได้เกิดในกายใจของบุคคล แต่ปฏิจจคอยกำหนดให้กาย-ใจเป็นไปตามกฎอิทัปจยตา
โดยมีองค์ต่างๆในปฏิจจฯคอยทำหน้าที่
ขอยกตัวอย่างลักษณะที่เป็นสมมติสัจจะ (วิทยาศาสตร์)
เช่น ร่างกายเรารู้สึกได้ถึงความร้อนอบอ้าว นั้นก็เพราะแสงแดดจากดวงอาทิตย์
พิจารณาแล้วจะเห็นว่า แสงแดดไม่ได้อยู่ในร่างกายเรา แสงแดดอยู่นอกร่างกาย
แต่มันเป็นต้นเหตุทำให้ร่างกายเราร้อนอบอ้าว
ปฏิจจฯอันเป็นปรมัตต์สัจจะก็เช่นกัน ฉะนั้นอย่าหลงคิดว่า ปฏิจจสมุปบาทเกิดในกายใจเรา
แล้วถ้าจะถามว่า ปฏิจจฯหรือองค์ธรรมในปฏิจจฯ ทำให้เกิดอะไรในร่างกาย(กาย-ใจ)...
ขอพักไว้ให้ถกเถียงกันในประเด็นนี้ก่อน