อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 11.1

สำหรับวันนี้ท่านทั้งหลาย ได้พากันสมาทานพระกรรมฐาน และสมาทานศีลแล้ว บทว่า
อิมาหัง ภควา อัตตภาวัง ตุมหากัง ปริจัจชามิ ซึ่งแปลเป็นใจความว่า “ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ตามที่ได้ยินเสียงอย่างนี้และท่านว่าตามอย่างนี้ ความรู้สึกของท่านเป็นยังไง ท่านว่าตามไปตามประเพณี หรือว่าว่าไปด้วยความตั้งใจ หวังจะอุทิศชีวิตและร่างกายเป็นการบูชาพระรัตนตรัยหรือเปล่า สำหรับคำนี้เป็นเครื่องวัดกำลังใจของท่าน เพราะว่าคนที่จะเป็นพระโสดา สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จะเป็นพระโสดาบัน มีความเคารพในพระพุทธเจ้าจริงๆ มีความเคารพในพระธรรม มีเคารพในพระสงฆ์จริง คือมั่นคงในคุณพระรัตนตรัยทั้ง 3 ประการจริง แล้วก็มีศีลบริสุทธิ์จริง มีอารมณ์จับพระนิพพานจริง นี่เป็นอาการของพระโสดาบัน
เมื่อจิตเข้าถึงพระโสดาบันแล้วก็บรรเทาความรัก บรรเทาความโลภ บรรเทาความโกรธ บรรเทาความหลง คำว่าบรรเทาความรัก ก็หมายความว่ามีรักอยู่ในขอบเขตของศีลธรรม รักกันในฐานะคู่ตัวผัวเมีย ในฐานะที่นี้หมายถึงความรักในด้านกามารมณ์ จิตใจไม่ไปยุ่งกับคนอื่น ด้านความโลภ คือพระโสดาบันยังมีการอยากรวยแต่ว่ารวยอยู่ในขอบเขตของศีล หรือว่ารวยอยู่ในขอบเขตของระเบียบประเพณี ไม่อยากรวยนอกรีตนอกรอย พระโสดาบันยังมีความโกรธ ที่ว่าบรรเทาความโกรธ ก็เพราะว่าได้แต่โกรธ ประทุษร้ายเขาไม่ได้ พระโสดาบันยังมีความหลง คือว่ายังรักสวยรักงาม ยังมีความรัก ยังมีความอยากรวย ยังมีความโกรธ จึงชื่อว่ามีความหลง
แต่ถึงกระไรก็ดี พระโสดาบันยังมีความดีอยู่มาก คือ
ประการที่ 1 ไม่ลืมความตาย ไม่ประมาทในชีวิต
ประการที่ 2 มีความเคารพในพระพุทธเจ้า มีความเคารพในพระธรรม มีความเคารพในพระอริยสงฆ์อย่างจริงจัง ไม่สักแต่ว่าทำความเคารพ และ
ประการที่ 3 มีศีลบริสุทธิ์ จิตมีความสงบ รักพระนิพพานเป็นอารมณ์
ที่นำมาพูดนี้เพราะว่าสงสัย สงสัยว่าคนในกลุ่มของเราบางคน จะมีนิสัยประเภทเพียงสักแต่ว่าจับปลายรูด คอยแต่ตำหนิติเตียนแต่คนอื่น แต่ตนเองไม่มีความดีพอ คนที่ชอบตำหนิคนอื่นน่ะ แสดงว่าจิตใจมันเลวจัด ถ้าใจของเราไม่เลว มันก็ไม่อยากจะติใคร ทีนี้บางประการก็สักแต่เพียงว่าทำสีหลอกชาวบ้าน ทำเหมือนว่าฉันนี่เป็นปราชญ์ เป็นคนดีมีความรู้ มีการบรรลุมรรคบรรลุผล แต่จิตใจของตนยังประกอบด้วยความเลวทราม แม้แต่การเคารพในพระรัตนตรัยก็ยังไม่มี นี่จุดนี้เป็นจุดสำคัญ คือเป็นจุดบอดสำหรับบุคคลที่เกิดมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราได้ฟังคำสอนกันทุกๆ วัน วันละหลายเวลา แต่จิตของเรายังไม่บรรเทาความรักในระหว่างเพศ ไม่บรรเทาความโลภ ไม่บรรเทาความโกรธ ไม่บรรเทาความหลง แสดงว่าเราเป็นอภัพบุคคล เป็นบุคคลที่หาความดีไม่ได้ ที่พระพุทธเจ้าไม่ต้องการ ฉะนั้น ขอท่านทั้งหลายจงระมัดระวังจิตใจของท่านในเรื่องนี้ให้มาก อย่ามีความประมาท เกิดมาเป็นคนแล้วจงอย่ากลับลงไปเป็นสัตว์นรก เพราะว่าถ้าอยู่แดนอย่างนี้ ถ้าลงก็ลงลึก เพราะว่าชาวบ้านเขาคิดว่าเราดี
ต่อแต่นี้ไปก็จะพูดกันถึงเรื่องพระสกิทาคามีมรรคในด้านอสุภสัญญา หรือว่าในด้านความรักในระหว่างเพศ ผมพูดมายาวไปหน่อย แต่ทั้งๆ ที่ยาวนี่ความจริงมันก็ยาวมาหลายปีแล้ว ถ้าจะเลือกเอาเรื่องนี้มาพูดกันมาต่อกันทุกๆ ปี ทุกๆ คราวที่ผมพูด มันก็จะกลายเป็นหนังสือเล่มใหญ่ แต่ทว่าอาศัยบุคคลบางคนที่มีน้ำใจหยาบเป็นอภัพบุคคล ไม่ได้รู้เรื่องนี้เสียเลย เป็นที่น่าเสียดาย ความรักกับความโลภนี่มันตัวเดียวกัน
วันนี้ก็จะขอพูดเรื่อง
ความโลภ สำหรับพระสกิทาคามี ที่เรียกว่าปฏิบัติเพื่อความเข้าถึงพระสกิทาคามี เขาเรียกว่า
พระสกิทาคามิมรรค จิตดวงนี้ แต่ความจริงนี่เราตัดความรักในระหว่างเพศเสียได้ ความโลภมันก็ขาด ความโลภ หรือความโกรธ ความหลง มันก็มีกำลังเบาไปเสมอๆ กัน แต่เพื่อความเข้าใจของบรรดาท่านทั้งหลาย ก็จะขอนำมาพูดไว้ แต่ความจริงถ้าผมเองละก็ผมไม่อยากฟังหรอก เพราะว่าผมไม่ได้ศึกษามามากอย่างพวกท่านศึกษากัน ผมศึกษามาตามปกติ ครูบาอาจารย์สอนเล็กน้อย ผมก็พยายามไปทำให้มันได้ จุดใดที่อาจารย์สอน ถ้าเรายังทำไม่ได้ เราก็ไม่เข้าไปหาครูบาอาจารย์ ส่วนใหญ่ผมก็นำมาจากตำรับตำรา ผมไม่ได้กวนอาจารย์มาก ถ้าส่วนใดในตำราที่ผมดูแล้วไม่เข้าใจ นั่นผมจะเข้าไปหาครูบาอาจารย์ และส่วนใดที่ได้จากมีตำราอยู่แล้วและปฏิบัติไป มันจะผิดหรือมันจะถูกจึงเข้าไปหาครูบาอาจารย์ใหม่ เพื่อเป็นการซักซ้อมผลแห่งการปฏิบัติ ส่วนใหญ่เราก็ปฏิบัติถูกแต่มันมีส่วนหยาบ ท่านก็เตือนเข้าไปหาส่วนละเอียด มันก็เป็นการเตือนเล็กน้อย อย่างนี้เราก็ทำกันได้
รวมความว่ากิจการที่เราทำกันจริงๆ เราจับสักกายทิฐิตัวเดียว แล้วก็เอาสังโยชน์ 10 ประการเป็นเครื่องวัดใจ เขาทำกันแค่นี้ เขาไม่ได้ทำกันมากกันมาย ผลที่มันจะพึงได้ก็คือ ผลที่เราต้องการ และก็เป็นผลที่พระพุทธเจ้าต้องการ นี่พูดกันถึงคนดี คนรู้จริง แล้วก็คนเอาจริง สำหรับผมพูดนี่ ผมพูดเผื่อว่าไม่รู้ แต่ความจริงมันก็หนามากนะ ถ้าไม่รู้แบบนี้ หนามาก ฟังกันมานานแล้ว ตำรับตำรามีดู เทปมีฟัง แล้วก็ฟังฟรีกันตลอด ถ้ายังไม่เข้าใจยังลดไม่ได้ละก็ นิมนต์สึกกันไปเสียเถอะถ้าเป็นพระ เป็นพระเป็นเณรน่ะนิมนต์สึกไปเสียเถอะ ไม่มีอะไรจะดีหรอก
ตอนนี้มาพูดกันตามจุดของพระสกิทาคามิมรรค ในเมื่อความโลภนี่เราบรรเทากันมาได้แล้วจากพระโสดาบัน จริยาของพระโสดาบันก็ดูตัวอย่าง
นางวิสาขามหาอุบาสิกา และ
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านทั้งสองนี่เป็นผู้บรรเทาความโลภ ความจริงท่านเป็นมหาเศรษฐี งานในยามปกติในการทำมาหากินของท่าน ท่านก็ทำมาหากินเป็นปกติ ไม่ใช่ว่าพอเจริญวิปัสสนาญาณเข้ามาแล้วละก็ทำอะไรไม่ได้ เจริญสมถวิปัสสนา รักษาศีล ทำอะไรไม่เป็น เขาไม่ใช่อย่างนั้น เขาทำกินกันตามปกติ เพราะว่าร่างกายมันจะต้องกิน จะต้องมีของใช้ เพราะร่างกายมันจะต้องใช้ แต่ว่า จิตใจของเขามีความรู้สึกอยู่อย่างเดียวคือตายแล้วเลิกกิน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราทำเพราะความจำเป็นจำใจ เพราะร่างกายมันมี
พึงทราบว่าพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ยังมีงานทำเพื่อความเป็นอยู่ของขันธ์ 5 แล้วก็เพื่อความเป็นสุขของสังคม นี่เขาไม่ได้นั่งคิดจะมาร่ำมารวยกัน พอถึงพระสกิทาคามีนี่เขาทำกันยังไง ความโลภมันถอยหลัง มันถอยหลังกลับไปที่เราเรียกว่า
มากูมุด ทีนี้พอถึงความเป็นพระอริยเจ้าแล้ว
มีงไม่มากูก็มุด ความจริงระบบนี้ เราก็ควรจะมุดมาตั้งแต่ก่อนที่จะเป็นพระอริยเจ้า ถ้าก่อนเป็นพระอริยเจ้าเราไม่มุดก็ตั้งหน้าตั้งตาสู้กับความโลภ มันก็เสร็จ
ทีนี้ตอนมาถึงพระสกิทาคามีปฏิบัติในตอนนี้ ความรวยในยามปกติที่เราหาได้ก็เกิดความพอ ความดิ้นรนในลาภสักการะเหลือน้อยเต็มที แต่ว่างานทุกอย่างทำตามหน้าที่ มีนาอยู่ 100 ไร่ เราก็ยังทำเต็ม 100 ไร่ ลงทุนเพื่อการค้าขายเท่าไหร่ เราก็ยังลงทุนอยู่ ถือว่าทำตามหน้าที่แต่ว่าปราศจากความคดโกง ปราศจากการทุจริตการยื่นโยนสงเคราะห์ในการให้ทาน อย่างนางวิสาขามหาอุบาสิกา กับท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านสงเคราะห์ด้วยดีทุกอย่าง ตามพระบาลีท่านกล่าวว่า ท่านทั้งสองนี้ในยามที่เข้าไปสู่วัด จะมองเห็นมือท่านเป็นผู้มีมือเปล่าไม่มี ในตอนเช้าหรือก่อนเที่ยง ท่านจะมีอาหารไปถวายพระเวลาเข้าไปวัด เวลาในเวลาวิกาลก็จะมีเภสัชเข้าไปเสมอ สำหรับการให้ทานของท่านทั้งหลายพวกนี้ท่านให้ไม่หวังผลตอบแทน ให้เพื่อหวังในการสงเคราะห์ จิตไม่คิดจะละโมบโลภมากไม่มี มีจิตดวงเดียวคือ การให้
แต่การให้ของพระอริยเจ้านี้ ท่านเลือกบุคคลเป็นผู้ให้ พระสงฆ์ชื่อว่า “ปุญญักเขตตัง” เป็นเนื้อนาบุญของโลก แต่ทว่าถ้านาเลวท่านก็ไม่ให้เหมือนกัน อย่างภิกษุโกสัมพีไม่เชื่อในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทะเลาะกัน แตกร้าวกัน บรรดาพระอริยเจ้าที่เป็นฆราวาสทั้งหลาย ไม่ยอมใส่บาตรเด็ดขาด พระพวกนั้นจะได้กินอยู่บ้าง ก็ชาวบ้านที่เป็นปุถุชนคนหนาแน่นไปด้วยกิเลสที่ถือกันว่า ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ เห็นว่าหัวโล้นห่มผ้าเหลืองก็ใช้ได้ แบบนั้นเป็นแบบที่ส่งเสริมผู้ทำลายความดีของพระศาสนา เรียกว่า ส่งเสริมโจรผู้ปล้นพระศาสนา ฆราวาสพวกนั้นก็ทำไม่ถูกเหมือนกัน อย่างนี้พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ และขณะที่บรรดาภิกษุชาวโกสัมพีจะไปขอขมาโทษต่อพระพุทธเจ้า ที่พระเชตวันมหาวิหาร ตอนนั้นท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีท่านเป็นพระโสดาบัน ท่านขออนุญาตองค์สมเด็จพระพิชิตมาร จะไม่ยอมให้พระบรรดาทั้งหลายพวกนี้เข้ามา เห็นไหม ว่าพระอริยเจ้าน่ะเขาไม่ได้เคารพส่งเดช ไม่ใช่ว่าสักแต่ว่าโกนหัว โกนคิ้ว ห่มผ้าเหลือง เขาก็ไหว้ เขาเลือกที่ไหว้ เขาจึงเป็นพระอริยเจ้าได้ ฉะนั้น การให้ก็เหมือนกัน การให้ของพระอริยเจ้าย่อมให้ไม่หวังผล แต่ว่าการให้ประเภทนั้น ก็จะต้องดูคนว่าเป็นบุคคลผู้ควรให้หรือไม่
มีต่อ หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 11.2 https://pantip.com/topic/43135975
หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 11.1
สำหรับวันนี้ท่านทั้งหลาย ได้พากันสมาทานพระกรรมฐาน และสมาทานศีลแล้ว บทว่า อิมาหัง ภควา อัตตภาวัง ตุมหากัง ปริจัจชามิ ซึ่งแปลเป็นใจความว่า “ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ตามที่ได้ยินเสียงอย่างนี้และท่านว่าตามอย่างนี้ ความรู้สึกของท่านเป็นยังไง ท่านว่าตามไปตามประเพณี หรือว่าว่าไปด้วยความตั้งใจ หวังจะอุทิศชีวิตและร่างกายเป็นการบูชาพระรัตนตรัยหรือเปล่า สำหรับคำนี้เป็นเครื่องวัดกำลังใจของท่าน เพราะว่าคนที่จะเป็นพระโสดา สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จะเป็นพระโสดาบัน มีความเคารพในพระพุทธเจ้าจริงๆ มีความเคารพในพระธรรม มีเคารพในพระสงฆ์จริง คือมั่นคงในคุณพระรัตนตรัยทั้ง 3 ประการจริง แล้วก็มีศีลบริสุทธิ์จริง มีอารมณ์จับพระนิพพานจริง นี่เป็นอาการของพระโสดาบัน
เมื่อจิตเข้าถึงพระโสดาบันแล้วก็บรรเทาความรัก บรรเทาความโลภ บรรเทาความโกรธ บรรเทาความหลง คำว่าบรรเทาความรัก ก็หมายความว่ามีรักอยู่ในขอบเขตของศีลธรรม รักกันในฐานะคู่ตัวผัวเมีย ในฐานะที่นี้หมายถึงความรักในด้านกามารมณ์ จิตใจไม่ไปยุ่งกับคนอื่น ด้านความโลภ คือพระโสดาบันยังมีการอยากรวยแต่ว่ารวยอยู่ในขอบเขตของศีล หรือว่ารวยอยู่ในขอบเขตของระเบียบประเพณี ไม่อยากรวยนอกรีตนอกรอย พระโสดาบันยังมีความโกรธ ที่ว่าบรรเทาความโกรธ ก็เพราะว่าได้แต่โกรธ ประทุษร้ายเขาไม่ได้ พระโสดาบันยังมีความหลง คือว่ายังรักสวยรักงาม ยังมีความรัก ยังมีความอยากรวย ยังมีความโกรธ จึงชื่อว่ามีความหลง
แต่ถึงกระไรก็ดี พระโสดาบันยังมีความดีอยู่มาก คือ
ประการที่ 1 ไม่ลืมความตาย ไม่ประมาทในชีวิต
ประการที่ 2 มีความเคารพในพระพุทธเจ้า มีความเคารพในพระธรรม มีความเคารพในพระอริยสงฆ์อย่างจริงจัง ไม่สักแต่ว่าทำความเคารพ และ
ประการที่ 3 มีศีลบริสุทธิ์ จิตมีความสงบ รักพระนิพพานเป็นอารมณ์
ที่นำมาพูดนี้เพราะว่าสงสัย สงสัยว่าคนในกลุ่มของเราบางคน จะมีนิสัยประเภทเพียงสักแต่ว่าจับปลายรูด คอยแต่ตำหนิติเตียนแต่คนอื่น แต่ตนเองไม่มีความดีพอ คนที่ชอบตำหนิคนอื่นน่ะ แสดงว่าจิตใจมันเลวจัด ถ้าใจของเราไม่เลว มันก็ไม่อยากจะติใคร ทีนี้บางประการก็สักแต่เพียงว่าทำสีหลอกชาวบ้าน ทำเหมือนว่าฉันนี่เป็นปราชญ์ เป็นคนดีมีความรู้ มีการบรรลุมรรคบรรลุผล แต่จิตใจของตนยังประกอบด้วยความเลวทราม แม้แต่การเคารพในพระรัตนตรัยก็ยังไม่มี นี่จุดนี้เป็นจุดสำคัญ คือเป็นจุดบอดสำหรับบุคคลที่เกิดมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราได้ฟังคำสอนกันทุกๆ วัน วันละหลายเวลา แต่จิตของเรายังไม่บรรเทาความรักในระหว่างเพศ ไม่บรรเทาความโลภ ไม่บรรเทาความโกรธ ไม่บรรเทาความหลง แสดงว่าเราเป็นอภัพบุคคล เป็นบุคคลที่หาความดีไม่ได้ ที่พระพุทธเจ้าไม่ต้องการ ฉะนั้น ขอท่านทั้งหลายจงระมัดระวังจิตใจของท่านในเรื่องนี้ให้มาก อย่ามีความประมาท เกิดมาเป็นคนแล้วจงอย่ากลับลงไปเป็นสัตว์นรก เพราะว่าถ้าอยู่แดนอย่างนี้ ถ้าลงก็ลงลึก เพราะว่าชาวบ้านเขาคิดว่าเราดี
ต่อแต่นี้ไปก็จะพูดกันถึงเรื่องพระสกิทาคามีมรรคในด้านอสุภสัญญา หรือว่าในด้านความรักในระหว่างเพศ ผมพูดมายาวไปหน่อย แต่ทั้งๆ ที่ยาวนี่ความจริงมันก็ยาวมาหลายปีแล้ว ถ้าจะเลือกเอาเรื่องนี้มาพูดกันมาต่อกันทุกๆ ปี ทุกๆ คราวที่ผมพูด มันก็จะกลายเป็นหนังสือเล่มใหญ่ แต่ทว่าอาศัยบุคคลบางคนที่มีน้ำใจหยาบเป็นอภัพบุคคล ไม่ได้รู้เรื่องนี้เสียเลย เป็นที่น่าเสียดาย ความรักกับความโลภนี่มันตัวเดียวกัน
วันนี้ก็จะขอพูดเรื่อง ความโลภ สำหรับพระสกิทาคามี ที่เรียกว่าปฏิบัติเพื่อความเข้าถึงพระสกิทาคามี เขาเรียกว่า พระสกิทาคามิมรรค จิตดวงนี้ แต่ความจริงนี่เราตัดความรักในระหว่างเพศเสียได้ ความโลภมันก็ขาด ความโลภ หรือความโกรธ ความหลง มันก็มีกำลังเบาไปเสมอๆ กัน แต่เพื่อความเข้าใจของบรรดาท่านทั้งหลาย ก็จะขอนำมาพูดไว้ แต่ความจริงถ้าผมเองละก็ผมไม่อยากฟังหรอก เพราะว่าผมไม่ได้ศึกษามามากอย่างพวกท่านศึกษากัน ผมศึกษามาตามปกติ ครูบาอาจารย์สอนเล็กน้อย ผมก็พยายามไปทำให้มันได้ จุดใดที่อาจารย์สอน ถ้าเรายังทำไม่ได้ เราก็ไม่เข้าไปหาครูบาอาจารย์ ส่วนใหญ่ผมก็นำมาจากตำรับตำรา ผมไม่ได้กวนอาจารย์มาก ถ้าส่วนใดในตำราที่ผมดูแล้วไม่เข้าใจ นั่นผมจะเข้าไปหาครูบาอาจารย์ และส่วนใดที่ได้จากมีตำราอยู่แล้วและปฏิบัติไป มันจะผิดหรือมันจะถูกจึงเข้าไปหาครูบาอาจารย์ใหม่ เพื่อเป็นการซักซ้อมผลแห่งการปฏิบัติ ส่วนใหญ่เราก็ปฏิบัติถูกแต่มันมีส่วนหยาบ ท่านก็เตือนเข้าไปหาส่วนละเอียด มันก็เป็นการเตือนเล็กน้อย อย่างนี้เราก็ทำกันได้
รวมความว่ากิจการที่เราทำกันจริงๆ เราจับสักกายทิฐิตัวเดียว แล้วก็เอาสังโยชน์ 10 ประการเป็นเครื่องวัดใจ เขาทำกันแค่นี้ เขาไม่ได้ทำกันมากกันมาย ผลที่มันจะพึงได้ก็คือ ผลที่เราต้องการ และก็เป็นผลที่พระพุทธเจ้าต้องการ นี่พูดกันถึงคนดี คนรู้จริง แล้วก็คนเอาจริง สำหรับผมพูดนี่ ผมพูดเผื่อว่าไม่รู้ แต่ความจริงมันก็หนามากนะ ถ้าไม่รู้แบบนี้ หนามาก ฟังกันมานานแล้ว ตำรับตำรามีดู เทปมีฟัง แล้วก็ฟังฟรีกันตลอด ถ้ายังไม่เข้าใจยังลดไม่ได้ละก็ นิมนต์สึกกันไปเสียเถอะถ้าเป็นพระ เป็นพระเป็นเณรน่ะนิมนต์สึกไปเสียเถอะ ไม่มีอะไรจะดีหรอก
ตอนนี้มาพูดกันตามจุดของพระสกิทาคามิมรรค ในเมื่อความโลภนี่เราบรรเทากันมาได้แล้วจากพระโสดาบัน จริยาของพระโสดาบันก็ดูตัวอย่าง นางวิสาขามหาอุบาสิกา และ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านทั้งสองนี่เป็นผู้บรรเทาความโลภ ความจริงท่านเป็นมหาเศรษฐี งานในยามปกติในการทำมาหากินของท่าน ท่านก็ทำมาหากินเป็นปกติ ไม่ใช่ว่าพอเจริญวิปัสสนาญาณเข้ามาแล้วละก็ทำอะไรไม่ได้ เจริญสมถวิปัสสนา รักษาศีล ทำอะไรไม่เป็น เขาไม่ใช่อย่างนั้น เขาทำกินกันตามปกติ เพราะว่าร่างกายมันจะต้องกิน จะต้องมีของใช้ เพราะร่างกายมันจะต้องใช้ แต่ว่า จิตใจของเขามีความรู้สึกอยู่อย่างเดียวคือตายแล้วเลิกกิน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราทำเพราะความจำเป็นจำใจ เพราะร่างกายมันมี
พึงทราบว่าพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ยังมีงานทำเพื่อความเป็นอยู่ของขันธ์ 5 แล้วก็เพื่อความเป็นสุขของสังคม นี่เขาไม่ได้นั่งคิดจะมาร่ำมารวยกัน พอถึงพระสกิทาคามีนี่เขาทำกันยังไง ความโลภมันถอยหลัง มันถอยหลังกลับไปที่เราเรียกว่า มากูมุด ทีนี้พอถึงความเป็นพระอริยเจ้าแล้ว มีงไม่มากูก็มุด ความจริงระบบนี้ เราก็ควรจะมุดมาตั้งแต่ก่อนที่จะเป็นพระอริยเจ้า ถ้าก่อนเป็นพระอริยเจ้าเราไม่มุดก็ตั้งหน้าตั้งตาสู้กับความโลภ มันก็เสร็จ
ทีนี้ตอนมาถึงพระสกิทาคามีปฏิบัติในตอนนี้ ความรวยในยามปกติที่เราหาได้ก็เกิดความพอ ความดิ้นรนในลาภสักการะเหลือน้อยเต็มที แต่ว่างานทุกอย่างทำตามหน้าที่ มีนาอยู่ 100 ไร่ เราก็ยังทำเต็ม 100 ไร่ ลงทุนเพื่อการค้าขายเท่าไหร่ เราก็ยังลงทุนอยู่ ถือว่าทำตามหน้าที่แต่ว่าปราศจากความคดโกง ปราศจากการทุจริตการยื่นโยนสงเคราะห์ในการให้ทาน อย่างนางวิสาขามหาอุบาสิกา กับท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านสงเคราะห์ด้วยดีทุกอย่าง ตามพระบาลีท่านกล่าวว่า ท่านทั้งสองนี้ในยามที่เข้าไปสู่วัด จะมองเห็นมือท่านเป็นผู้มีมือเปล่าไม่มี ในตอนเช้าหรือก่อนเที่ยง ท่านจะมีอาหารไปถวายพระเวลาเข้าไปวัด เวลาในเวลาวิกาลก็จะมีเภสัชเข้าไปเสมอ สำหรับการให้ทานของท่านทั้งหลายพวกนี้ท่านให้ไม่หวังผลตอบแทน ให้เพื่อหวังในการสงเคราะห์ จิตไม่คิดจะละโมบโลภมากไม่มี มีจิตดวงเดียวคือ การให้
แต่การให้ของพระอริยเจ้านี้ ท่านเลือกบุคคลเป็นผู้ให้ พระสงฆ์ชื่อว่า “ปุญญักเขตตัง” เป็นเนื้อนาบุญของโลก แต่ทว่าถ้านาเลวท่านก็ไม่ให้เหมือนกัน อย่างภิกษุโกสัมพีไม่เชื่อในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทะเลาะกัน แตกร้าวกัน บรรดาพระอริยเจ้าที่เป็นฆราวาสทั้งหลาย ไม่ยอมใส่บาตรเด็ดขาด พระพวกนั้นจะได้กินอยู่บ้าง ก็ชาวบ้านที่เป็นปุถุชนคนหนาแน่นไปด้วยกิเลสที่ถือกันว่า ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ เห็นว่าหัวโล้นห่มผ้าเหลืองก็ใช้ได้ แบบนั้นเป็นแบบที่ส่งเสริมผู้ทำลายความดีของพระศาสนา เรียกว่า ส่งเสริมโจรผู้ปล้นพระศาสนา ฆราวาสพวกนั้นก็ทำไม่ถูกเหมือนกัน อย่างนี้พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ และขณะที่บรรดาภิกษุชาวโกสัมพีจะไปขอขมาโทษต่อพระพุทธเจ้า ที่พระเชตวันมหาวิหาร ตอนนั้นท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีท่านเป็นพระโสดาบัน ท่านขออนุญาตองค์สมเด็จพระพิชิตมาร จะไม่ยอมให้พระบรรดาทั้งหลายพวกนี้เข้ามา เห็นไหม ว่าพระอริยเจ้าน่ะเขาไม่ได้เคารพส่งเดช ไม่ใช่ว่าสักแต่ว่าโกนหัว โกนคิ้ว ห่มผ้าเหลือง เขาก็ไหว้ เขาเลือกที่ไหว้ เขาจึงเป็นพระอริยเจ้าได้ ฉะนั้น การให้ก็เหมือนกัน การให้ของพระอริยเจ้าย่อมให้ไม่หวังผล แต่ว่าการให้ประเภทนั้น ก็จะต้องดูคนว่าเป็นบุคคลผู้ควรให้หรือไม่
มีต่อ หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 11.2 https://pantip.com/topic/43135975