คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 2 เทวตานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 1.2

(ต่อจาก  คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 2 เทวตานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 1.1 https://pantip.com/topic/43426093)

เทวตานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 1.2

ถ้าหากว่าท่านสงสัย คิดตามผมไปด้วยว่า
1. หิริ ความละอายต่อความชั่ว ขึ้นชื่อว่าความชั่วทุกอย่าง ไม่ว่าชั่วเล็ก หรือว่าชั่วใหญ่ ชั่วหยาบ หรือว่าชั่วละเอียด เราอาย ความจริงคนถ้าอายกันนะเขาไม่สบตากัน หรือว่าเขาไม่อยากจะพบกัน ไม่อยากจะเห็นกัน นี่ถ้าคนอายความชั่วก็ไม่อยากจะเข้าไปใกล้ความชั่ว แม้แต่เงาของความชั่วก็ไม่อยากจะเห็น

และ โอตตัปปะ เกรงกลัว หรือมีความกลัว หวาดกลัวในความชั่ว ผลของความชั่วที่พึ่งจะบังเกิด เมื่อคนเราทุกคนไม่มีชั่วแล้วมันก็มีแต่ดี การไม่มีชั่วมีแต่ดีอะไรบ้างที่เราเรียกกันว่าชั่ว

ถ้าจิตของท่านจับอยู่ในเทวตานุสสติกรรมฐานละก็ ท่านไม่ได้ไปมองอื่นหรอก มองจุดเดียว สังโยชน์ 10 ประการ ที่ผมสรรเสริญน่ะผมสรรเสริญตรงนี้ เอาจิตเราไปมองสังโยชน์ 10 ประการ อย่าไปมองอย่างอื่นให้มันเลอะเทอะไปเลย เพราะว่าใจเรามีกำลังสูง มองสังโยชน์ 10 ประการที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า สักกายทิฏฐิ ความรู้สึกที่มีความเห็นว่า อัตภาพร่างกายที่เรียกว่าขันธ์ 5 ที่เรียกกันว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันนี้ผมไม่ค่อยอยากจะพูด เพราะว่าทำใจของท่านมันยุ่ง ฟังกันแบบ ง่าย ๆ ก็คือเรียกว่าเราเอาร่างกายก็แล้วกัน ไอ้รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่มันก็กาย

คำว่า รูป คือสิ่งที่เรามองเห็น ได้แก่เนื้อ แก่หนัง เป็นต้น
เวทนา นี้เขาเรียกว่า ความเสวยอารมณ์ที่มีความรู้สึกเป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง ไม่สุขไม่ทุกข์บ้าง
สัญญา ได้แก่ ความจำ จำดีบ้าง จำชั่วบ้าง
สังขาร เรียกว่าอารมณ์ที่ปรุงแต่งใจ ปรุงแต่งในด้านของความดี เรียกว่า ปุญญาภิสังขาร ปรุงแต่งในด้านของความชั่วเรียกว่า อปุญญาภิสังขาร และก็อารมณ์ที่ทรงเฉย ๆ เป็นอุเบกขารมณ์ อย่างนี้เรียกว่า อเนญชาภิสังขาร อเนญชา ภิสังขารนี้คืออารมณ์ความเป็นพระอรหันต์

และก็ วิญญาณ ได้แก่ความรู้สึก รู้สึกหนาว รู้สึกร้อน รู้สึกหิว รู้สึกกระหาย รู้สึกอะไรต่ออะไรทุกอย่าง รู้สึกเปรี้ยว รู้สึกเค็ม รู้สึกขม อย่างนี้เรียกว่าวิญญาณ วิญญาณตัวนี้ไม่ใช่จิต เป็นประสาทจุดหนึ่งที่รับสัมผัส คือรู้สัมผัสทุกอย่างนั่นเอง

นี่เป็นอันว่าขันธ์ 5 นี่แบ่งออกเป็นอย่างนี้ มันก็อยู่ในตัวเรา ถ้าจะพูดกันให้ง่าย ๆ คือร่างกายนี่มันง่ายกว่า เราก็มานั่งพิจารณาดูว่า ขันธ์ 5 คือร่างกายที่พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา อย่างนี้จริงไหม ควานรู้สึกของเราเป็นยังไง ความรู้สึกของเรายังเกาะอยู่ในอารมณ์นี้หรือเปล่า ถ้าความรู้สึกของเรายังเกาะว่ามันยังเป็นเราเป็นของเราอยู่ ก็แสดงว่าเรายังอายความชั่วไม่หมด

และเราก็ไปนั่งกำหนดดู ว่ามันมีความรู้สึกเพียงไหน มีความรู้สึกว่ากายนั้นเป็นเราเป็นของเรา แต่ทว่าเรามีความรู้สึกอยู่เสมอว่ามันจะต้องตาย ในเมื่อรู้สึกว่ามันจะต้องตายจิตก็คิดว่า ถ้าเราตายจากความเป็นคน มันยังไม่ถึงที่สุดของชีวิต มันยังจะต้องตะเกียกตะกายต่อไปในวันหน้า นั่นหมายความว่าถ้ากิเลสยังไม่หมดเพียงใด มันยังต้องเกิด ถ้าพลาดจังหวะไปเกาะอารมณ์ชั่วเข้าก็ไปเกิดในอบายภูมิ คือเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น หรือเป็นคนก็หาความสมบูรณ์แบบไม่ได้ ถ้าดีสักหน่อยเกิดเป็นคน ดีขึ้นไปอีกนิดเกิดเป็นเทวดา ดีขึ้นไปอีกหน่อยเกิดเป็นพรหม ดีหมดเป็นพระอรหันต์ไปนิพพาน

ก็เป็นอันว่าในเมื่อจิตใจของเรา ยังไม่สามารถจะปลดกายได้จริง ๆ มันยังมีอารมณ์ยึดถืออยู่ แต่ทว่ารู้ว่ามันจะต้องตาย เราก็เตรียมตัวเตรียมใจต่อสู้เพื่อรับสถานการณ์ของความตาย ว่าการตายคราวนี้เราไม่ยอมไปนรก จะยึดมั่นเฉพาะจิตในการเกิดเป็นคน หรือเป็นเทวดา หรือเป็นพรหมให้ได้ เรียกว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย เป็นชาติเริ่มต้นที่เราจะไม่ยอมไปอบายภูมิ เพราะอบายภูมิมันเป็นทุกข์ เราจะทำยังไง ต้องเข้าไปศึกษาคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยปัญญา พิจารณาด้วยปัญญา คิดว่าคำสอนของพระพุทธเจ้านี่ควรยอมรับนับถือไหม ถ้าใจของเราดี อายชั่วจริง เกรงชั่วจริง จิตใจต้องยอมรับเหตุ ยอมรับผลว่าคำสอนขององค์สมเด็จพระทศพลนี่ดีแน่ ถ้าเราปฏิบัติตามมันมีสุข สุขทั้งในชาตินี้ และสุขทั้งในชาติหน้า

และก็มองต่อไป คิดว่าพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เราจะยึดอะไรเป็นสำคัญ มันจึงจะไม่ลงอบายภูมิ มองไปในอันดับหยาบ เราก็จะทราบว่าศีล 5 มีความสำคัญเป็นที่สุด สำหรับเณรก็คือศีล 10 สำหรับพระก็คือศีล 227 มันเป็นศีลประจำตัว ในเมื่อมีความมั่นใจว่า ศีลนี่จะสามารถให้เราทรงความดีเป็นสุขได้เมื่อตายไปแล้ว ชาตินี้เมื่อเรามีศีลบริสุทธิ์อารมณ์เราก็เป็นสุข ชาติหน้าเมื่อเราตายไปแล้ว ศีลก็พาไปในส่วนแห่งความสุขที่สุด

ก็เป็นอันว่าเราก็ยึดศีลเป็นอารมณ์ เกาะไว้ก่อน กันอบายภูมิ มีอารมณ์ตัดสินใจว่า เราจะไม่ยอมเป็นคนหน้าด้านเข้าไปทำลายศีล ถ้าเราทำลายศีลข้อใดข้อหนึ่งนั่นแสดงว่าเราหน้าด้าน หรือว่าใจด้านเต็มที เราเป็นคนไม่มียางอาย อย่าลืมนะว่าเทวตานุสสตินี่เขามีอารมณ์อาย มีอารมณ์กลัว อายชั่ว กลัวชั่ว ฉะนั้นเมื่ออายชั่วกลัวชั่ว ก็ต้องมองดูชั่วหยาบเสียก่อน ที่เราจะจับมันได้ง่าย นั่นก็คือจับศีลเข้าไว้ ถ้าเราละเมิดศีลแสดงว่าเราชั่วหยาบ เราทรงศีลบริสุทธิ์ แสดงว่าทรงความดีหยาบยังไม่ละเอียดพอ จิตใจยึดศีลเป็นอารมณ์เป็นจิตตั้งมั่นเรียกว่า ทรงฌานในสีลานุสสติกรรมฐาน

ตามที่กล่าวมาแล้วว่าจะหลับอยู่ก็ดี ตื่นอยู่ก็ดี จะทำกิจการงานใด ๆ ก็ดี ภาระใดมันจะยุ่งสักเท่าไรก็ตามที ในขณะนั้นจิตของเราจะไม่ยอมวางศีลเป็นอันขาด การที่จะทำลายศีลด้วยตนเองก็ดี ยุให้ชาวบ้านทำลายศีลก็ดี หรือยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลก็ดี ไม่มีสำหรับเรา เพราะเรารู้สึกว่านั่นมันเป็นความชั่วที่เราละอายที่สุด และก็เป็นความชั่วที่เรามีความเกรงกลัวที่สุด

นี่เทวตานุสสติกรรมฐาน เริ่มต้นเขาจับจุดนี้ พอจับจุดนี้ได้แล้ว เราเป็นอะไร เราก็เป็นพระโสดาบันกับพระสกิทาคามี ไม่ยาก

ต่อไป จิตเราก็ก้าวต่อไปว่า ความเป็นพระโสดาบันกับพระสกิทาคามีนี่ยังดีไม่พอ ถ้าเราทรงคุณธรรมเพียงเท่านี้ เราก็เป็นคนที่น่าอายที่สุด เพราะว่าเราเกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงยกย่องอะไรเป็นสำคัญ ส่วนสำคัญที่สุดที่พระพุทธเจ้าทรงยกย่อง ก็คือพระนิพพาน สมเด็จพระพิชิตมารไม่เคยยกย่องอย่างอื่น ที่มีความดีเหนือพระนิพพานเลย เราจะต้องทำกำลังใจของเราก้าวเข้าสู่พระนิพพานให้ได้ในชาตินี้ และก็ในเวลารวดเร็ว ไม่ใช่ช้านัก เพราะเราไม่แน่ใจว่าชีวิตของเรานี้ มันจะอยู่ไปได้สักกี่วัน วันนี้เห็นดวงอาทิตย์ แต่วันพรุ่งนี้อาจจะไม่เห็นดวงอาทิตย์ก็ได้ วันนี้เห็นดวงอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า แต่ว่าในตอนบ่ายเราอาจจะไม่เห็นดวงอาทิตย์ก็ได้ เพราะอะไร เพราะเราอาจจะตายก่อน

ฉะนั้นจึงรวบรวมกำลังใจประพฤติทรงธรรม ตามที่องค์สมเด็จพระชินวรตรัส คือว่าทำจิตให้มีความมั่นคง มีความประสงค์ที่จะตัดสังโยชน์อีก 7 ประการ ก้าวเข้าไปสังโยชน์นี่มัน 10 เราได้ 3 ถ้าเราทรงเพียง 3 ก็เป็นคนที่น่าอายที่สุด เพราะว่ายังบูชาความชั่วอยู่ ความชั่วที่เราจะต้องตัดนั่นก็ได้แก่อะไร ได้แก่

1. กามฉันทะ มีความพอใจในรูปสวย คือรูปที่มันไม่มีการทรงตัวในความสวย มีความพอใจในเสียงเพราะ มีความพอใจในกลิ่นหอม มีความพอใจในรสอร่อย มีความพอใจในการสัมผัสระหว่างเพศ จิตมั่วสุมในกามารมณ์ นี่มันเป็นความเลวทรามที่น่าละอายที่สุด เพราะว่ารูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสทั้งหมด มันไม่มีอะไรจริง ๆ ไม่มีความจริงจัง ความสวยไม่ได้สวยจริง ร่างกายของคนและสัตว์เต็มไปด้วยความสกปรก วัตถุธาตุที่เราเห็นมีความสวยงาม มันก็ไม่มีการทรงตัว มันสกปรกด้วยและก็หาการทรงตัวไม่ได้

สำหรับกิเลสข้อที่ 2 ที่เราจะต้องเหวี่ยงทิ้งมันไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้คือทั้งสองอย่างนี่แหละ ทั้งกามฉันทะก็ดี ปฏิฆะก็ดี ปฏิฆะ เป็นข้อที่ 2 หรือว่าข้อที่ 5 ของสังโยชน์ การที่มีอารมณ์รับการกระทบและเกิดความไม่พอใจ ไอ้คำว่าไม่พอใจนี่ มันเป็นปัจจัยของความเร่าร้อน หรือความทุกข์ มันเป็นความเลวที่น่าละอายที่สุด ถ้าจิตใจของเรายังมีสภาพอยู่อย่างนั้น เราก็เลวเต็มที เพราะเราคบกับความชั่ว เราไม่มีความอายในความชั่ว อารมณ์ของตัวเรา ถ้ามีความเร่าร้อนในการกระทบกระทั่งอารมณ์จากบุคคลอื่นที่กล่าวมาเป็นเครื่องสัมผัส และก็มีความไม่พอใจ อันนี้เป็นความเลวใหญ่ เราจะต้องโยนทิ้งไปให้ได้

แต่ว่าท่านทั้งหลาย วันนี้โยนทิ้งยังไงล่ะ เวลามันหมดเสียแล้วนี่ เป็นอันว่าขอให้ท่านศึกษาในเทวตานุสสติกรรมฐาน ผมอยากให้ท่านทุกองค์สำหรับภิกษุและสามเณร และญาติโยมพุทธบริษัททุกท่าน อยากจะให้ทุกคนทรงเทวตานุสสติกรรมฐานนี้เป็นอารมณ์ ไม่ใช่ไปนั่งท่องจำให้จิตมันทรงตัว คิดว่าอะไรมันชั่ว เราไม่ยอมทำ เราอาย เรียกว่าเราเป็นคนหน้าบาง ไม่ใช่คนหน้าด้าน หรือว่าเป็นคนใจบาง ไม่ใช่เป็นคนใจด้าน และก็กลัว เป็นขี้ขลาดในความชั่วทั้งหมดที่จะปรากฏกับใจ

เอาละบรรดาท่านทั้งหลาย วันนี้หมดเวลาแล้ว ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อแต่นี้ไปขอท่านทั้งหลายตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น อยู่ในอิริยาบถ 4 ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านเห็นว่าสมควร สวัสดี


ลิงค์ทั้งหมด https://pantip.com/profile/8483559#topics

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่