คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 2 เทวตานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 1.1

เทวตานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 1.1

โอกาสนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ได้พากันสมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อแต่นี้ไปก็เป็นโอกาสที่บรรดาท่านพุทธบริษัท จะรับฟังคำแนะนำในการเจริญพระกรรมฐาน สำหรับวันนี้ก็จะขอแนะนำในด้านของ เทวตานุสสติกรรมฐาน

คำว่า เทวตานุสสติกรรมฐาน หมายถึงว่า เอาจิตเข้าไปตั้งไว้ในอารมณ์ที่นึกถึงความดีของเทวตา หรือว่าคุณธรรมที่ทำบุคคลให้เป็นเทวดา เมื่อพูดถึงเทวดา แล้วก็รู้สึกว่าบรรดาท่านทั้งหลายที่รับฟัง บางท่านอาจจะฟังมาจากที่อื่นว่าเทวดาไม่มีบ้าง การเชื่อถือเทวดาถือเป็นคนโง่เกินไปบ้าง เพราะว่าเวลานี้มีกระแสเสียงต่าง ๆปรากฏขึ้น ในทำนองที่ไม่ยอมรับฉันถือว่าเทวดามี แต่ความเข้าใจอย่างนั้นเป็นเรื่องของท่านผู้นั้นจะเป็นยังไง ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายก็จงอย่าไปสนใจ อย่าคิดว่าท่านพวกนั้นคิดถูกหรือว่าคิดผิด เราก็จงมาคิดว่า คำว่า เทวตานุสสติกรรมฐาน การแนะนำให้รู้จักเทวธรรม คือธรรมที่ทำให้บุคคลให้เป็นเทวดานี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์ตรัสเอง ไม่มีใครแต่งขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระพุทธประวัติ คือประวัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองก็ดี ประวัติของพระสาวกก็ดี ก็ปรากฏว่ามีเรื่องราวที่สัมผัสกับเทวดามามาก

ฉะนั้นในเมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เทวดามีจริง ถ้าเรามีความเคารพในพระองค์ เราก็ยอมรับนับถือไว้ก่อน แต่ทว่าวิธีการที่จะเปลื้องความสงสัย ว่าเทวดามีจริง หรือว่าเทวดาไม่มี ความจริงเรื่องนี้เป็นของไม่แปลก เป็นความรู้ขั้นประถมในหลักสูตรของพระพุทธศาสนานั้นเท่านั้น ไม่ใช่เป็นความรู้ด้านขั้นพระอริยเจ้า เป็นแต่เพียงว่า ถ้าเราสามารถจะสร้างฌานโลกีย์ให้เกิด อันดับแรกเราจะทรงจิตแค่อุปจารสมาธิ ที่เราเรียกกันว่ายังไม่ขึ้นประถมปีที่ 1 ของหลักสูตรพระพุทธศาสนา แล้วก็ใช้อุปจารสมาธิ ฝึกจิตให้เข้าถึงด้านทิพพจักขุญาณ เพียงเท่านี้ เรื่องนรก เรื่องเปรต อสุรกาย เทวดา พรหม และสัมภเวสี ก็จะปรากฏกับเราเอง ไม่ต้องไปนั่งเดา และก็ไม่ต้องไปคัดค้านคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้มันเป็นบาป

คำว่าบาปนี่แปลว่าชั่ว ถ้าจิตของเราคิดผิดจากความดีก็ชื่อว่าจิตคิดชั่ว ปากพูดผิดจากความเป็นจริงก็เรียกว่าปากชั่ว กายทำไม่ดี เขาเรียกว่ากายชั่ว แต่ทั้งนี้ขอท่านทั้งหลายจงอย่าไปประณามท่านที่คัดค้านว่าเทวดาไม่มี หรือว่าพรหมไม่มี ว่าชั่ว นั่นมันเป็นเรื่องของท่าน เรื่องของท่านเราอย่าสนใจ เราจงสนใจแต่กำลังใจของเราเอง ให้อยู่ในขอบเขตของความดีเท่านั้นเป็นพอ ถ้าเรามีใจดีเสียอย่างเดียว กายของเราก็ดี วาจาของเราก็ดีด้วย

วันนี้ก็จะขอพูดเรื่อง เทวธรรม หรือว่า เทวตานุสสติกรรมฐาน สำหรับกรรมฐานข้อนี้ ผมจะขอพูดเพียง 2 หน้าของคาสเซทเท่านั้น เพราะว่าเป็นกรรมฐานใหญ่และก็เป็นกรรมฐานก้าวไปสู่ระดับความดีอันดับสูงมาก การที่พระพุทธเจ้าให้ทรงนึกถึงเทวดาเป็นอารมณ์ นี่ความจริงไม่ได้นึกถึงเทวดาชั้นนั้นชั้นนี้โดยเฉพาะ คือให้เราทั้งหลายพากันคิดว่าท่านที่เป็นเทวดานั้น ท่านทำอะไรจึงเป็นเทวดา พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า ผลมาจากเหตุ ถ้าไม่มีเหตุก็ไม่มีผล คำว่าเทวดาเป็นผล ก็ต้องไปนั่งดูว่าเหตุที่จะทำให้บุคคลเป็นเทวดานั้นเขาทำกันยังไง

ถ้าเราจะดูในพระสูตรก็จะพบว่า องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรัสไว้ว่า เทวธรรม คือธรรมที่ทำบุคคลให้เป็นเทวดานั้นมี 2 ข้อ คือ
1. หิริ ความละอายต่อความชั่ว
2. โอตตัปปะ ความเกรงกลัวผลของความชั่วที่จะให้ผลเป็นทุกข์
อารมณ์จิต 2 ประการนี้ทำคนให้เป็นเทวดา ถ้าหากว่าท่านผู้นั้นยังเป็นมนุษย์ ธรรมดาอยู่ ก็ถือว่าร่างกายของท่านเป็นมนุษย์ แต่จิตของท่านเป็นจิตเทวดา ถ้าตายจากคนก็เป็นเทวดา

คำว่าเทวดาอีกหมวดหนึ่ง ศัพท์เขาเรียกว่าเทพ หรือเทวะหรือเทวดานี่เขาแปลว่าประเสริฐ แบ่งเป็น 3 ชั้นด้วยกัน
๑. สมมุติเทพ คนที่ทรงจิตมีคุณธรรมอยู่ในด้านของเทวธรรม คือมี หิริ ความละอายต่อความชั่ว โอตตัปปะ เกรงกลัวผลของความชั่วจะให้ผลเป็นทุกข์ และก็ไม่พยายามคิดชั่ว ไม่พยายามพูดชั่ว ไม่พยายามทำชั่ว อย่างนี้ท่านเรียกว่า สมมุติเทพ ถึงแม้ว่าจะเป็นคนก็มีสภาพเหมือนเทวดา สมมุติว่าท่านผู้นั้นเป็นเทวดาได้
ประการที่ 2 ท่านเรียกว่า อุปปัติเทพ นี่มีในหลักสูตรนักธรรมโท อุปปัติเทพ นี่หมายความว่าเกิดขึ้นไปก็เป็นเทวดาเลย เป็นเทวดาหรือพรหม เราก็เรียกกันว่าเทวดา นั่นก็หมายความว่า ท่านที่ทรงคุณธรรม 2 ประการประจำใจ ปฏิบัติจิตใจให้หมดจด ปราศจากความชั่วอันดับต้น ที่เรียกกันว่าขั้นกามาวจรสวรรค์ หรือว่าจะสามารถทรงฌานสมาบัติ ทั้ง 2 ประการนี้ เวลาตายจากคนก็ไปเป็นเทวดา เทวดาชั้นกามาวจรหรือว่าเทวดาชั้นพรหม

สำหรับเทวดาอีกพวกหนึ่งนั่นก็คือ วิสุทธิเทพ วิสุทธิเทพนี่หมายความว่าเป็น เทวดาด้วยความบริสุทธิ์ คือพระอรหันต์ที่เข้าถึงพระนิพพาน

เป็นอันว่าคำว่าเทวดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงจัดไว้ ๓ ระดับจงอย่าลืมคำว่าเทวดาแปลว่าประเสริฐ ผู้ใดทรงคุณธรรมของความเป็นเทวดาได้ บุคคลนั้นก็ชื่อว่าเป็นผู้ประเสริฐถ้าเป็นคน แต่ก็ประเสริฐกันตามลำดับ ประเสริฐเล็ก ประเสริฐกลาง ประเสริฐใหญ่ ประเสริฐเล็กก็หมายความว่าทรงคุณธรรมความดีได้ คือมีทานเป็นปัจจัย มีศีลเป็นปัจจัย มีภาวนาเป็นปัจจัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวนาได้ ถึงขั้นขณิกสมาธิ หรืออุปจารสมาธิ อย่างนี้ถือว่าเป็นเทวดาเล็ก ถ้ายังมีชีวิตอยู่ เรียกว่าร่างกายเป็นมนุษย์ แต่ว่าใจเป็นเทวดา ถ้าตายจากคนขึ้นไปก็เป็นเทวดาขนาดย่อม เรียกว่าเทวดาขั้นกามาวจรสวรรค์ คือไปเกิดเป็นเทวดา 6 ชั้น ชั้นใดชั้นหนึ่งก็ได้

ถ้าหากว่าพรงอารมณ์ในทานการบริจาค จิตใจตั้งไว้เป็นปกติ คิดไว้เสมอว่าเราต้องการจะสงเคราะห์บุคคอื่นให้มีความสุข จิตใจตั้งอยู่อย่างนี้เป็นอารมณ์ หรือว่าจิตมีการทรงศีลเป็นปกติ ไม่ยอมให้จิตเคลื่อนจากอารมณ์ของศีล หรือว่าเจริญฌานสมาบัติอย่างอื่น จนกระทั่งมีอารมณ์เป็นฌานเป็นอารมณ์ คำว่า เป็นอารมณ์หมายความว่าจิตทรงตัวอยู่อย่างนั้น ในเมื่อเวลาจะตายจัดยังมั่นหมาย คิด มีความประสงค์ในการให้ทาน จิตยังมีความรักเหนียวแน่นในศีล จิตยังมีความรักเหนียวแน่นในอารมณ์ฌานอย่างอื่น อย่างนี้ชื่อว่าผู้ตายในระหว่างฌาน ถ้าอย่างนี้เป็นเทวดาขั้นกลาง คือเป็นพรหม ตายจากคนแล้วก็ไปเป็นพรหม

ถ้าจิตสามารถตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน ไม่ยึดถือร่างกายของเราเองว่าเป็นเรา เป็นของเรา และก็ไม่สนใจในร่างกายของบุคคลอื่นและสัตว์อื่น ไม่สนใจในวัตถุธาตุใด ๆ ทั้งหมด ถือว่าร่างกายของเราก็ดีร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี วัตถุธาตุก็ดี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นของโลกีย์วิสัย ถ้าไปสนใจกับมันเข้า มันเป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์ จิตใจเราปลดร่างกายของเรา ปลดร่างกายของบุคคลอื่น และก็ปลดวัตถุธาตุทั้งหมด ไม่มีเยื่อใยในวัตถุธาตุใด ๆ และก็ไม่มีความพอใจในการเป็นเทวดาชั้นกามาวจรสวรรค์ ไม่มีความพอใจในการเป็นพรหม เพราะเห็นว่าเป็นปัจจัยที่ยังไม่พ้นจากความทุกข์แน่นอน ใจของเรามีอย่างเดียวคือต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์ อย่างนี้ชื่อว่าเป็นเทวดาสูงสุด หมดกิจกันในพระพุทธศาสนา

ในเมื่อคุยกันมาถึงตอนนี้แล้ว ต่อไปก็จะขอคุยถึงปฏิปทาเสียก่อน ความจริงบุคคลที่เจริญเทวตานุสสติกรรมฐาน ถ้าท่านทรงจิตในเขตจริง ๆ ละก็ ผมขอโมทนาอย่างยิ่ง ไม่ว่าภิกษุสามเณร หรืออุบาสก อุบาสิกา ถือว่าทุกท่านเป็นผู้มีอารมณ์เลิศประเสริฐจริง ๆ ผมขอยกย่องบุคคลประเภทนี้ เพราะอะไร เพราะว่าเป็นคนที่มีกำลังใจสูงมาก

ทำไมจึงว่าอย่างนั้น ถ้าจะถามว่าเจริญพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ อุปสมานุสสติ ก็ยกย่องว่าดี ถึงว่าท่านเจริญในเขตนี้แล้วอยู่ในเขตของพระโสดาบัน และก็ทำไมมานั่งชมกัน ว่าท่านที่มีจิตใจเข้าถึงเทวตานุสสติกรรมฐานเป็นผู้เลิศ เพราะว่าอนุสสติทั้ง 5 ตามที่กล่าวมา เริ่มต้นก็เข้าเขตของพระโสดาบัน แต่ว่าสำหรับเทวตานุสสตินี้นั้นพอเริ่มต้นก็เข้านิพพานเลย

(มีต่อ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 2 เทวตานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 1.2 https://pantip.com/topic/43426096)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่