คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 2 เทวตานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 2.2

(ต่อจาก  คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 2 เทวตานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 2.1 https://pantip.com/topic/43688184)

เทวตานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 2.2


ถ้าจิตใจของบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายทรงพรหมวิหาร 4 แล้วเอาสักกายทิฏฐิที่องค์สมเด็จพระมหามุนีมาพิจารณา ว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา กายไม่ใช่เขา ไม่ใช่ของเขา กายเป็นอิสรภาพ กายนำความทุกข์มาให้ จิตใจของเราจะมีความสุขจริง ๆ คือเราไม่ยึดถือกายเป็นสำคัญ ตามที่องค์สมเด็จพระภควันต์ตรัสไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตรว่า

"ท่านทั้งหลายจงอย่าสนใจกายในกาย คือกายของเรา อย่าสนใจกายภายนอก คือกายคนอื่น อย่าสนใจวัตถุธาตุใด ๆ"

ถ้าเราไม่สนใจ วางภาระร่างกายเสีย ถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ กายเราก็นำทุกข์มาให้ กายเขาเราพอใจก็นำทุกข์มาให้ วัตถุธาตุใด ๆ ที่เราเข้าไปแบกภาระก็นำทุกข์มาให้

เป็นอันว่าทั้งกายภายในและกายภายนอก วัตถุธาตุทั้งหมด เราจะถือว่าเราจะทำทุกอย่างตามหน้าที่เท่านั้น กินข้าวเพื่อให้ร่างกายทรงอยู่ตามหน้าที่ เป็นการระงับเวทนาชั่วคราว และเราจะใช้ผ้าห่มกันหนาว ใช้เครื่องแต่งตัวก็สักแต่ว่าให้มันทรงสภาวะในเวลานั้น ๆ ที่ไม่เก้อเขินเกินไป ร่างกายจะแก่ก็ตามใจ ร่างกายจะป่วยก็เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อความตายเข้ามา เราก็ถือว่าเป็นเหตุปกติ คิดว่าดีแล้ว ร่างกายที่มีสภาพสับปรับอย่างนี้ ควบทั้ง 2 อย่าง มีทั้งความสกปรก มีทั้งความไม่ดี เมื่อร่างกายเป็นอย่างนี้เราก็ไม่ควรจะคบ

เราต้องยอมรับนับถือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระทรงภพ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าร่างกายสกปรก ร่างกายมีอารมณ์แทรกแซง และอิฏฐารมณ์ และอนิฏฐารมณ์ อารมณ์ที่ปรารถนาและไม่ปรารถนา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เมื่อวอดวายไปเสียได้ก็ดี เราจะได้พ้นทุกข์ อารมณ์เราจะมีความสุขเพราะไม่มีกายอย่างนี้

เป็นอันว่าสำหรับปฏิฆะนี้ถือเรื่องอารมณ์เป็นสำคัญ อารมณ์สรรเสริญไม่สนใจ อารมณีที่เขาด่าว่านินทาว่าร้ายเราก็ไม่สนใจ ตัวที่มีความสำคัญที่สุดตัวนี้ก็คือ อุเบกขา แต่ขณะใดเราทรงอุเบกขาได้ ขณะนั้นชื่อว่าเราเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งหิริและโอตตัปปะขั้นอนาคามี

ผมขออธิบายย่อ ๆ ไว้แต่เพียงเท่านี้ เพราะถ้าพูดกันไปมันก็ซ้ำตอนต้น แต่ละอย่างการขยายความเหมือนกัน

มาขั้นสุดท้ายเมื่อจิตใจของบรรดาท่านทั้งหลายสามารถทรงอนาคามีไว้ได้ โดยตัดอารมณ์ในกามฉันทะทั้งหมด จิตใจที่เห็นรูปกายของคน รูปกายของสัตว์ วัตถุธาตุ มีแต่ครามสลดว่า โอ..หนอ นี่เป็นปัจจัยของความทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นปัจจัยของความสุข ไม่มีดี ไม่สะอาด มีแต่ความสกปรก อารมณ์ทั้งหลายที่เป็นของโลก ที่ข้องเข้ามาในใจ ความรู้สึกของเราทรงไว้ว่า อารมณ์ของโลกที่เป็นอิฏฐารมณ์ อารมณ์ที่ชาวบ้านเขาชอบใจ ได้แก่คำสรรเสริญ และอนิฏฐารมณ์ ได้แก่อารมณ์ที่ชาวบ้านไม่ชอบใจได้แก่การเปรียบเปรย หรือนินทาว่าร้าย อารมณ์ทั้ง 2 ประการนี้ ไม่ได้สร้างใครดี ไม่ได้สร้างให้ใครชั่ว ถ้าใจไม่ยอมรับเสียอย่างเดียว อารมณ์ทั้ง 2 ประการก็ไม่มีประโยชน์สำหรับเรา เราก็ไม่ดีเพราะคำสรรเสริญ เราไม่ชั่วเพราะคำนินทา ความดีความชั่วอยู่ที่เรา สร้างอารมณ์ของเราดี หรือว่าสร้างอารมณ์ของเราชั่ว ถ้าอารมณ์ของเราคิดชั่ว ใครเขามาสรรเสริญว่าดีเราก็ไม่ดีไปตาม ถ้าอารมณ์ของเราดี ใครเขามานินทาว่าร้ายว่าเราชั่ว เราก็ไม่ชั่วไปตาม รวมความว่าเราหวังอารมณ์เป็นสำคัญ

ต่อนี้ไปก็กัาวถึงความดีของความเป็นพระอรหันต์ หิริ และ โอตตัปปะ อายอะไรสำหรับพระอรหันต์ การจะเป็นพระอรหันต์เราก็ต้องอายจิตที่มันติด ความจริงตอนนี้ง่าย เราจะลำบากอยู่แค่พระโสดาบัน สกิทาคามี เพราะตัดกิเลสหยาบ ตอนนี้เรามาอายกิเลสละเอียด กิเลสละเอียดก็คือ
1. รูปราคะ
2. อรูปราคะ

ถ้าหากจิตของเรายังคิดอยู่ว่า รูปฌานและอรูปฌานนี่เป็นของดีชั้นเลิศประเสริฐ สามารถทำให้คนพ้นทุกข์ได้ ก็แสดงว่าอารมณ์ของเรายังชั่ว เพราะว่าแค่รูปฌาน และอรูปฌานไม่สามารถจะบันดาลให้คนพ้นทุกข์ได้จริงจัง แต่ทว่าเราก็ต้องเกาะรูปฌานและอรูปฌานเป็นกำลังใหญ่ สำหรับห้ำหั่นกับบรรดากิเลสทั้งหลาย

ฉะนั้นใจของเราจะไม่หยุดยั้งแค่รูปฌานและอรูปฌาน เราจะทรงรูปฌานหรือว่าอรูปฌาน หรือว่าทั้ง 2 อย่างไว้ เพื่อเป็นการกั้นกิเลสหยาบไม่ให้เข้ามาสิงใจ และให้เป็นกำลังใหญ่สำหรับของปัญญา คือวิปัสนาญาณ คำว่าห้ำหั่นกิเลสละเอียดทั้งหลายให้พินาศไป ตอนนี้เรียกว่า อธิปัญญา

มองดูคนได้ฌาน คนผู้หลงอยู่ในฌาน นั่นท่านทรงอยู่ในฐานะอนาคามี ก็ยังไม่มีความดีจริง ๆ ยังไม่มีความสุขจริง ๆ เพราะว่ายังมีความวุ่นวายอยู่ใน มานะ คือการถือตัวถือตน ยังมีความวุ่นวายใน อุทธัจจะ คืออารมณ์ยังแทรกซ้อน มีอารมณ์ซ่าน ไม่เข้าจุดหมายปลายทาง ยังไม่มีอารมณ์สงบ ยังมี อวิชชา คือความโง่ยังหลงเหลืออยู่ ที่ยังติดอยู่ในรูปฌานและอรูปฌาน มานะ และอุทธัจจะ ฉะนั้นในฐานะที่เรามีความต้องการความสุขที่สุดในฐานะที่จิตของเราเป็นจิตชั้นเลิศ ที่ทรงเทวตานุสสติเป็นอารมณ์ เทวตานุสสตินี่ เขาเรียกว่านึกถึงอารมณ์ประเสริฐ และนึกถึงคุณธรรมที่ทำบุคคลให้มีความประเสริฐ

เป็นอันว่าท่านผู้ได้ใช้กรรมฐานกองนี้ อารมณ์ของท่านไม่มีชั่ว มีแต่ดีถึงที่สุดแล้วก็เป็นอรหันต์ง่าย

แล้วก็มานั่งมองว่า การถือตัวถือตน น่ะมันดีหรือว่ามันแล้ว ถ้ามองไปจริงๆคือว่า การถือตัวถือตนนี่เลวจริง ๆ เพราะอะไร เราไปนั่งถือกันทำไม ผู้หญิงก็ดี ผู้ชายก็ดี เด็กก็ดี ผู้ใหญ่ก็ดี คนแก่ก็ดี หรือว่าสัตว์เดรัจฉานก็ดี ฐานะสูงก็ดี ฐานะต่ำก็ดี ความรู้มากก็ดี ความรู้น้อยก็ดี หรือว่ามีตระกูลสูงก็ดี มีตระกูลต่ำก็ดี ก็ไอ้สภาพของเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีสภาพของร่างกายสกปรก มีความเกิดในเบื้องต้น ร่างกายเสื่อมไปในท่ามกลาง และก็สลายตัวไปในที่สุดเหมือนกัน และก็มานั่งรังเกียจอะไรร่างกายแร้งต่อแร้งมาเหม็นสาบกันเองนี่ก็จะรู้สึกว่ามันจะเลวเกินไป

เป็นอันว่า ร่างกายของใครต่อของใครก็ตาม มันมีสภาวะเช่นเดียวกัน คนรวยก็ตาย คนมีศักดิ์ศรีใหญ่ก็ตาย คนตระกูลสูงก็ตาย ตระกูลต่ำก็ตาย มีควานรู้น้อยก็ตาย มีความรู้มากก็ตาย และสกปรกโสมมเหมือนกัน อารมณ์ไม่ทรงตัวเหมือนกัน ทำไมจึงต้องรังเกียจกัน ตัดสินใจง่าย ๆ แบบนี้

แล้วก็มา อุทธัจจะ อารมณ์ที่มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน ตอนนี้ไม่มีอะไรมาก เป็นแต่เพียงว่ามีอารมณ์ยับยั้งไว้ตอนหนึ่ง ว่าเวลานี้เราทรงความเป็นพระอนาคามี ก็มีความสุขที่เรา

1.เรามีศีลบริสุทธิ์ เราไม่ไปอบายภูมิ
2.เราไม่มีกามฉันทะ ความวุ่นวายของอารมณ์ไม่มี
3.เราไม่มีปฏิฆะ อารมณ์ที่สร้างความเศร้าหมอง เพราะอารมณ์อื่นเข้ามากระทบไม่มี

ตอนนี้ก็รู้สึกความสุขสงัด และก็เราตายจากความเป็นคนไปเป็น เทวดาหรือพรหม เราก็ไปนิพพาน ถ้าอารมณ์จิตมันซ่าน นิดเดียวเท่านี้ แต่ก็ยังไม่ดี มันยังไม่ถึงที่สุด ในเมื่อชีวิตของเรายังทรงตัวอยู่ ต้องตัดความดีให้ถึงที่สุด นั่นก็คือทรงอารมณ์เฉพาะพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถ้าลมปราณของเรายังมีอยู่ เราจะไม่ละธรรมะขององค์สมเด็จพระบรมครูที่สอนไว้ ว่าความสุขที่สุดของเรานั้นไซร้ นั่นก็คือมีอารมณ์เข้าถึงพระนิพพาน นั่นก็เป็นอรหันต์

แต่ทว่าอารมณ์ฟุ้งซ่านเท่านี้ระงับง่าย ๆ ถ้าตัดสินกำลังใจว่าแค่นี้จะเก็บไว้ทำไม โยนทิ้งไปเสียดีกว่า กิเลสหยาบที่กล่าวมามันใหญ่โตมากกว่านี้ เราก็สามารถจะตัดได้ ไหน ๆ เราจะต้องตายแล้ว เมื่อตายแล้วให้มันมีความสุขจริง ๆ จะไปพักอยู่ที่เทวดาก็ไม่ได้มีประโยชน์ พักอยู่ที่พรหมมันก็ไม่มีประโยชน์ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเมื่อไปแล้ว ก็ไปให้มันถึงที่สุด ไม่ต้องมีการงานอะไรต่อไป ตั้งใจเท่านี้มันก็หมด

ต่อไปองค์สมเด็จพระบรมสุคตว่า ตัดอวิชชา แต่ความจริงตัดอวิชชาตัวเดียวก็พอ เข้าไปตัดเสียแต่เพียงว่า ร่างกายมันเป็นทุกข์ เกิดเป็นคนเป็นทุกข์ เกิดเป็นพรหมและเทวดาพักทุกข์ชั่วคราวไม่ได้มีประโยชน์ ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีโทษเข้าถึงอบายภูมิ ก็ยังไม่เสร็จกิจ กิจที่ดีที่สุดนั่นก็คือ เข้าถึงพระนิพพาน

คนที่จะเข้าถึงพระนิพพานเขาทำยังไง นั่นก็คืออารมณ์ใจของเขา ละความพอใจในการเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาหรือพรหม มีความนิยมเฉพาะพระนิพพานอย่างยิ่ง และจิตประกอบไปด้วยความเมตตาปรานี มีความเยือกเย็น ไม่สนใจกับอารมณ์ทั้งหลายที่เป็นปัจจัยของความสุขและความทุกข์ ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ยิ้มให้แก่อาการที่เข้ามาสนองที่เป็นปัจจัยให้หวั่นไหวทางกาย คือโรคภัยไข้เจ็บก็ดี ความป่วยไข้ไม่สบายก็ดี ความแก่ก็ดี ความตายก็ดี จะมาถึงเรานี้เมื่อไรยิ้มได้เป็นปกติ ถือว่าเป็นเรื่องรรมดา จนกระทั่งจิตใจของเราไม่มีอารมณ์ติดอยู่ในกามฉันทะ มีความสุขใจ อารมณ์ไม่ติดอยู่ในความโลภ มีความสุขอย่างยิ่ง อารมณ์ไม่ติดอยู่ในความโกรธ มีความหรรษาชื่นบาน อารมณ์ไม่มีสันดานเกาะอะไรทั้งหมด แม้แต่ขันธ์ 5 ของเรา จิตใจเรามีความต้องการอย่างเดียวคือนิพพาน มีความรู้สึกว่า ร่างกายนี้มันมีแต่ความแหลกลาญเป็นปกติ ไม่ช้ามันก็เป็นผุยผงไป คือความตาย แค่นี้ใจสบาย

บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับเทวตานุสสติกรรมฐาน ผมพูดย่อที่สุด เพราะถือว่าเป็นอารมณ์ที่สูงสุดในอนุสสติอันหนึ่ง ซึ่งบุคคลใดมีความนิยมในเทวตานุสสติกรรมฐานนี้ไซร้ ผมคิดถ้าเราจะพยากรณ์ว่าท่านผู้นั้นควรจะเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ในชาติปัจจุบันนี้ก็รู้สึกว่าจะต่ำเกินไป เพราะว่ากำลังใจของท่านที่พอใจในอนุสสติกรรมฐานนั้นเป็นอารมณ์ของ พระอรหันต์

เอาล่ะสำหรับวันนี้เห็นว่าเวลาหมดแล้ว ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อแต่นี้ไปขอทุกท่านตั้งกายให้ตรง คำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมมหายใจเข้าหายใจอก ใช้คำภาวนา และพิจารณาตามอัธยาศัย และจะเลิกเมื่อไรก็ได้ตามที่ท่านเห็นว่าสมควร สวัสดี

ลิงค์ทั้งหมด https://pantip.com/profile/8483559#topics

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่