เทวตานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 2.1
ท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย และบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลานี้ท่านทั้งหลายได้สมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อไปโปรดฟังคำแนะนำในเทวตานุสสติกรรมฐานต่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของเทวตานุสสติกรรมฐานนี่ ผมจะใช้เวลาไม่มาก เพราะว่าเป็นกรรมฐานที่มีความละเอียด ถ้าจิตใจของท่านผู้ใดมีความฝังใจในเทวตานุสสติกรรมฐานเป็นอารมณ์ ก็ถือว่าท่านผู้นั้นควรจะเป็นพระอรหันต์ที่มีความรวดเร็วอย่างยิ่ง เพราะอะไร เพราะว่าเทวตานุสสติกรรมฐานมีธรรมะประจำอยู่ ๒ ประการ คือ
หิริ และ
โอตตัปปะ
หิริ ความอายต่อความชั่ว
โอตตัปปะ ความเกรงกลัวผลของความชั่ว
ก็รวมความว่าท่านผู้ใดพอใจในเทวตานุสสติกรรมฐาน ท่านผู้นั้นก็ไม่พอใจในความชั่วนั่นเอง หากว่าท่านผู้ใดไม่พอใจในความชั่ว ท่านผู้นั้นก็เป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ย่อมเป็นไปตามลำดับ
สำหรับวันนี้ก็จะขอพูดต่อวันที่แล้วมา คือวันนี้ก็จะขอพูดถึงอารมณ์ของพระอนาคามี และอารมณ์ของพระอรหันต์ สำหรับท่านที่ไม่พอใจในความชั่ว มีความละอายในความชั่ว ด้านระดับพระอนาคามี ท่านมีความเห็นว่าการมีความพอใจในกามารมณ์ หรือว่ามัวเมาในกามฉันทะ เป็นอารมณ์ที่เป็นปัจจัยแห่งความทุกข์ และอีกประการหนึ่ง การมีอารมณ์ฉุนเฉียว โกรธ พยาบาท คิดประทุษร้ายคนอื่น เป็นปัจจัยแห่งความทุกข์ หรือว่าเป็นอารมณ์ความชั่วนั่นเอง ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าถ้าทุกข์มีที่ไหน ชั่วก็มีที่นั่น ที่ไหนมีความชั่ว ที่นั่นเป็นปัจจัยของความทุกข์ เป็นอันว่าการพอใจในกามรมณ์ คือรักรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ จิตคลุกเคล้าไปด้วยกามารมณ์ก็ดี ความมักโกรธ พยาบาท จองล้างจองผลาญบุคคลอื่นก็ดี อาการทั้ง 2 ประการนี้ ไม่มีอะไรบันดาลความสุข
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
รูป รูปคนหรือรูปสัตว์ หรือว่ารูปวัตถุ เป็นสภาวะที่มีความเศร้าหมอง ขึ้นชื่อว่ารูปมีแล้วต้องเลี้ยง เลี้ยงเท่าไรก็ตาม รูปก็ไม่มีการทรงตัว มีความเสื่อมโทรมเป็นไปตามปกติเป็นธรรมดา ไม่มีทางแก้ไขที่จะให้รูปทรงตัวได้ หมอที่วิเศษที่ไหนก็ตาม ก็ไม่สามารถจะแก้ไข แม้แต่รูปของตนเอง ให้ทรงตัวอยู่ตามสภาพปกติ จึงเห็นว่ารูปมีสภาพเป็นอนิจจัง และรูปมีสภาพเป็นอนัตตา เกิด แก่ ป่วย ตาย และรูปมีสภาวะเต็นไปด้วยความสกปรกโสโครก ไม่มีสภาพทรงตัว หาความสะอาดมิได้ นี่เป็นอันว่ารูป ไม่ว่ารูปอะไรหาดีไม่ได้เลย
เสียง ไม่เป็นปัจจัยแห่งการทรงตัว เสียงเพราะก็ไม่สร้างความทรงตัวให้เราไม่แก่ หรือเสียงเพราะก็ไม่สามารถห้ามความป่วยได้ เสียงเพราะก็ไม่สามามรห้ามความตายของเราได้
กลิ่น รส สัมผัส ก็มีสภาพเช่นเดียวกัน
เป็นอันว่า รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส เป็นอนัตตา เมื่อผ่านไปไปแล้วก็แล้วกันไป การทรงตัวของ รูป เสียง กลิ่น รส ไม่มี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีความพอใจในกามรมณ์ คือกามฉันทะ คนพวกนั้นเป็นผู้สร้างทุกข์และก็แบกทุกข์ เราจะเห็นว่าคนที่แต่งงานทุกคนไม่มีใครมีความสุข แบกทุกข์ ที่เห็นว่าการแต่งงานเป็นสุขก็เพราะอาศัยอารมณ์ที่เป็นอกุศล หรือเราจะพูดกันง่าย ๆ ก็เรียกว่าความโง่มันเข้ามาสิงใจ ตัวเองยังปกครองตัวเองไม่ได้ ตัวเองยังไม่สามารถบันดาลตัวเองให้มีความสุขได้ ทำไมเรายิ่งจะเอาคนอื่นมาร่วมเรียงเคียงหมอนอยู่ด้วยกัน ก็เป็นปัจจัยบันดาลความทุกข์ให้เกิดมากขึ้น
ทั้งนี้ขอท่านทั้งหลายโปรดใช้ปัญญาพิจารณาเอา ซึ่งเราจะเห็นได้โดยง่าย เพราะว่าจะพูดมากไปมันก็ยืดยาว ทั้งคู่ที่แต่งงานกันกันก็แก่ลงไปทุกวัน ช่วยกันแบกภาระความเคลื่อนไหวของกาย กายทรุดโทรมไปต่างคนต่างก็เริ่มทุกข์ เราอยู่คนเดียว เราทุกข์คนเดียว เรามีคู่ก็ทุกข์คู่ เมื่อมีบุตรธิดาขึ้นมาก็สร้างภาระหนักขึ้น แก่ลงไป ป่วยลงไป ตาย และความตายจะเข้ามาถึง ภาระหนักก็แบกเข้ามาทุกที ในที่สุดถ้าลูกเป็นคนดีก็แบกภาระน้อยหน่อย ถ้าไปโดนลูกอกตัญญูไม่รู้คุณเข้าก็เสร็จ การมีลูกมีเต้าถือว่าเป็นที่พึ่งสืบตระกูล นั่นเป็นภาระของคนโง่ ใครจะเป็นคนสืบตระกูลให้ใครนั้นมันไม่มี สืบตระกูลสักเท่าไรก็ตามทีเราก็ตาย มองดูหาความจริง มันเป็นธรรมตาที่เราจะพึงเห็นได้ ถ้าเราตัดภาระความพอใจความผูกพันในกามฉันทะเสียได้ ความสุขมันเกิด มันมีแต่ความเยือกเย็น มีแต่ชื่นบานหรรษา ความกระสันปรารถนาในการมีคู่ครองไม่มี มันสุขจริง ๆ
แต่ความสุขนี่จะมีขนาดไหน ท่านทั้งหลายถ้ายังไม่ถึง ท่านจะยังไม่เห็น ขอท่านทั้งหลายจงพิสูจน์คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยกำลังใจ ใช้จิตยับยั้งความพอใจในกามารมณ์ด้วยกำลังของฌาน ถ้าแค่ฌานสมาบัติ จะทำให้บรรดาท่านพุทธบริษัทเห็นว่าเป็นสุข ถ้าโดยการตัดทุกข์ประเภทนี้ด้วยอำนาจของวิปัสสนาญาณ จะมีสุขมากขึ้น
วิธีตัดก็คือ ใช้สักกายทิฏฐิ กายคตานุสสติ คือพิจารณาร่างกายตามความเป็นจริง และอสุภสัญญา หรืออสุภกรรมฐาน เห็นว่าร่างกายที่เป็นชิ้นเป็นท่อนเป็นตอน มันเป็นของสกปรก แล้วใช้สักกายทิฏฐิเข้ามาเทียบควบกัน คือพิจารณากายเป็นชิ้นเป็นอันเป็นท่อน พิจารณากายเป็นของสกปรก ตามสภาวะความเป็นจริง และก็พิจารณากายนี้เป็น
อนิจจัง หาความเที่ยงมิได้
ทุกขัง เป็นทุกข์
อนัตตา สลายตน กายไม่ใช่เรา กายไม่ใช่เขา เราไม่สามารถจะเป็นผู้บังคับบัญชากายได้ กายเป็นอิสรภาพไม่ขึ้นอยู่กับใจ
มองไปตามความเป็นจริงว่า กายของคนมีความสกปรกตรงไหน กายของคนมีสภาพเหี่ยวแห้งลงไป กายของคนมีสภาพสลายตัวไปทุกวัน ในที่สุดกายนี้ถ้าเราจะเกาะ ยึดมั่นว่าเป็นเราเป็นของเรามันก็ไม่ได้ ถ้าเราเอาจิตเข้าไปแบกกาย จิตเข้าไปนำภาระของกายว่าเป็นเรา เป็นของเรา ในที่สุดความผิดหวังมันก็จะมี เพราะว่ากายของเรานี้ กายของบุคคลอื่นก็ดี วัตถุธาตุก็ดี มันจะสลายตัวไปในที่สุด
ถ้าอารมณ์จิตของท่านพุทธบริษัท เห็นกายเป็นชิ้น เป็นท่อน เป็นตอน พิจารณากายเรา พิจารณากายเขาเป็นของสกปรกตามธรรมชาติของมัน พิจารณาตามความเป็นจริงของสังขาร คือร่างกายว่าทรุดโทรมและก็พังไปในที่สุด อย่างนี้จิตถึงจะมีความสุข เมื่อตัดจุดนี้ได้ความสุขมีมากขึ้น ถ้าหากว่าท่านยังตัดไม่ได้ ท่านยังไม่เห็น ถ้าตัดได้จริง ๆ จะมีความรู้สึกว่าสบายบอกไม่ถูก
อารมณ์ที่สอง
ปฏิฆะ คือความกระทบกระทั่งอารมณ์ ข้อนี้รู้สึกว่าจะมีความหนักน้อยในการตัด เพราะเป็นกิเลสที่มีภัยใหญ่ กระทบกระทั่งมากไม่เหมือนกามฉันทะ กามฉันทะเป็นตัวนำความทุกข์มา แต่มีความรู้สึกของคนเหมือนว่าจะมีความสุขขึ้น เราก็มองหาสภาววะตามความเป็นจริงกัน ว่า
ปฏิฆะ คือการที่ทำใจคนเป็นคนโหดร้าย ชอบด่าเขา ชอบคิดประทุษร้ายเขา คิดจะฆ่า คิดจะทำร้ายเขา อย่างนี้มันเป็นการประกาศความชั่วของจิต เพราะอะไร เพราะอารมณ์อย่างนี้เป็นการสร้างความชั่ว สร้างความเร่าร้อน ถ้าเราคิดจะฆ่าเขา เขาก็ต้องคิดฆ่าเรา เราคิดจะประทุษร้ายเขา เขาก็คิดจะประทุษร้ายเรา
ตามที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า
"ปูชา ลภเต ปูชัง วันทโก ปฏิวันทนัง” ผู้บูชาย่อมได้รับการบูชาตอบ ผู้ไหว้ย่อมได้รับไหว้ตอบ เมื่อเราไหว้เขา เขาก็ไหว้เราตอบ เรายอมรับนับถือเขา เขาก็ยอมรับนับถือเราตอบ ถ้าเราด่าเขา เขาก็ด่าตอบ เราตีเขา เขาก็ตีตอบ มันสุขหรือมันทุกข์ มันดีหรือมันชั่ว ในเมื่ออารมณ์ของเรารักสุขเกลียดทุกข์
หิริ เราอายความชั่ว
โอตตัปปะ เกรงกลัวผลของความชั่ว ว่าการคิดประทุษร้ายเขามันชั่ว เราก็ต้องไม่ทำ แต่การที่เราจะไม่ทำ มันก็เป็นของไม่ยาก
ถ้าจิตใจก้าวมาถึงตอนนี้ อาศัยความเมตตาปรานี คือจิตทรงอยู่ในพรหมวิหาร 4 เป็นปกติ ได้แก่มีความรัก มีความสงสาร ไม่อิจฉาริษยาเขา ยินดีในเมื่อเขาทั้งหลายเหล่านั้นได้ดี และก็เฉยในเมื่อถูกต้องกับอารมณ์ที่มาขวางกับความตั้งใจ อารมณ์อะไรก็ตาม ที่เราตั้งใจมาแล้ว ถ้ามีอารมณ์อื่นขวางเข้ามาแทรกซ้อนเข้ามา จิตใจของเราไม่หวั่นไหว ถือว่าเมื่อใดขันธ์ 5 ยังปรากฏในขณะนั้น องค์สมเด็จพระบรมสุคตถือว่า เราจะต้องกระทบอารมณ์ทั้ง 2 ประการ คือ
อิฏฐารมณ์ อารมณ์ที่น่าปรารถนาอย่างหนึ่ง แล้วก็
อนิฏฐารมณ์ อารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนาอย่างหนึ่ง เป็นอันว่าอารมณ์ทั้ง 2 ประการนี้ เกิดขึ้นเมื่อไร ใจของเราก็มีการวางเฉย ถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ใครจะด่าจะว่าก็รู้สึกว่า นั่นเป็นความเลวของคน เรากลัวความชั่ว อายความชั่ว เราจะไม่ยอมด่าตอบ เราจะไม่ยอมว่าตอบ เราจะไม่ยอมชั่วตอบ เรียกว่าเราจะไม่ยอมร่วมความชั่วกับเขา
มีต่อ
คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 2 เทวตานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 2.2 https://pantip.com/topic/43688190)
คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 2 เทวตานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 2.1
ท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย และบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลานี้ท่านทั้งหลายได้สมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อไปโปรดฟังคำแนะนำในเทวตานุสสติกรรมฐานต่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของเทวตานุสสติกรรมฐานนี่ ผมจะใช้เวลาไม่มาก เพราะว่าเป็นกรรมฐานที่มีความละเอียด ถ้าจิตใจของท่านผู้ใดมีความฝังใจในเทวตานุสสติกรรมฐานเป็นอารมณ์ ก็ถือว่าท่านผู้นั้นควรจะเป็นพระอรหันต์ที่มีความรวดเร็วอย่างยิ่ง เพราะอะไร เพราะว่าเทวตานุสสติกรรมฐานมีธรรมะประจำอยู่ ๒ ประการ คือ หิริ และ โอตตัปปะ
หิริ ความอายต่อความชั่ว
โอตตัปปะ ความเกรงกลัวผลของความชั่ว
ก็รวมความว่าท่านผู้ใดพอใจในเทวตานุสสติกรรมฐาน ท่านผู้นั้นก็ไม่พอใจในความชั่วนั่นเอง หากว่าท่านผู้ใดไม่พอใจในความชั่ว ท่านผู้นั้นก็เป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ย่อมเป็นไปตามลำดับ
สำหรับวันนี้ก็จะขอพูดต่อวันที่แล้วมา คือวันนี้ก็จะขอพูดถึงอารมณ์ของพระอนาคามี และอารมณ์ของพระอรหันต์ สำหรับท่านที่ไม่พอใจในความชั่ว มีความละอายในความชั่ว ด้านระดับพระอนาคามี ท่านมีความเห็นว่าการมีความพอใจในกามารมณ์ หรือว่ามัวเมาในกามฉันทะ เป็นอารมณ์ที่เป็นปัจจัยแห่งความทุกข์ และอีกประการหนึ่ง การมีอารมณ์ฉุนเฉียว โกรธ พยาบาท คิดประทุษร้ายคนอื่น เป็นปัจจัยแห่งความทุกข์ หรือว่าเป็นอารมณ์ความชั่วนั่นเอง ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าถ้าทุกข์มีที่ไหน ชั่วก็มีที่นั่น ที่ไหนมีความชั่ว ที่นั่นเป็นปัจจัยของความทุกข์ เป็นอันว่าการพอใจในกามรมณ์ คือรักรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ จิตคลุกเคล้าไปด้วยกามารมณ์ก็ดี ความมักโกรธ พยาบาท จองล้างจองผลาญบุคคลอื่นก็ดี อาการทั้ง 2 ประการนี้ ไม่มีอะไรบันดาลความสุข
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รูป รูปคนหรือรูปสัตว์ หรือว่ารูปวัตถุ เป็นสภาวะที่มีความเศร้าหมอง ขึ้นชื่อว่ารูปมีแล้วต้องเลี้ยง เลี้ยงเท่าไรก็ตาม รูปก็ไม่มีการทรงตัว มีความเสื่อมโทรมเป็นไปตามปกติเป็นธรรมดา ไม่มีทางแก้ไขที่จะให้รูปทรงตัวได้ หมอที่วิเศษที่ไหนก็ตาม ก็ไม่สามารถจะแก้ไข แม้แต่รูปของตนเอง ให้ทรงตัวอยู่ตามสภาพปกติ จึงเห็นว่ารูปมีสภาพเป็นอนิจจัง และรูปมีสภาพเป็นอนัตตา เกิด แก่ ป่วย ตาย และรูปมีสภาวะเต็นไปด้วยความสกปรกโสโครก ไม่มีสภาพทรงตัว หาความสะอาดมิได้ นี่เป็นอันว่ารูป ไม่ว่ารูปอะไรหาดีไม่ได้เลย
เสียง ไม่เป็นปัจจัยแห่งการทรงตัว เสียงเพราะก็ไม่สร้างความทรงตัวให้เราไม่แก่ หรือเสียงเพราะก็ไม่สามารถห้ามความป่วยได้ เสียงเพราะก็ไม่สามามรห้ามความตายของเราได้
กลิ่น รส สัมผัส ก็มีสภาพเช่นเดียวกัน
เป็นอันว่า รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส เป็นอนัตตา เมื่อผ่านไปไปแล้วก็แล้วกันไป การทรงตัวของ รูป เสียง กลิ่น รส ไม่มี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีความพอใจในกามรมณ์ คือกามฉันทะ คนพวกนั้นเป็นผู้สร้างทุกข์และก็แบกทุกข์ เราจะเห็นว่าคนที่แต่งงานทุกคนไม่มีใครมีความสุข แบกทุกข์ ที่เห็นว่าการแต่งงานเป็นสุขก็เพราะอาศัยอารมณ์ที่เป็นอกุศล หรือเราจะพูดกันง่าย ๆ ก็เรียกว่าความโง่มันเข้ามาสิงใจ ตัวเองยังปกครองตัวเองไม่ได้ ตัวเองยังไม่สามารถบันดาลตัวเองให้มีความสุขได้ ทำไมเรายิ่งจะเอาคนอื่นมาร่วมเรียงเคียงหมอนอยู่ด้วยกัน ก็เป็นปัจจัยบันดาลความทุกข์ให้เกิดมากขึ้น
ทั้งนี้ขอท่านทั้งหลายโปรดใช้ปัญญาพิจารณาเอา ซึ่งเราจะเห็นได้โดยง่าย เพราะว่าจะพูดมากไปมันก็ยืดยาว ทั้งคู่ที่แต่งงานกันกันก็แก่ลงไปทุกวัน ช่วยกันแบกภาระความเคลื่อนไหวของกาย กายทรุดโทรมไปต่างคนต่างก็เริ่มทุกข์ เราอยู่คนเดียว เราทุกข์คนเดียว เรามีคู่ก็ทุกข์คู่ เมื่อมีบุตรธิดาขึ้นมาก็สร้างภาระหนักขึ้น แก่ลงไป ป่วยลงไป ตาย และความตายจะเข้ามาถึง ภาระหนักก็แบกเข้ามาทุกที ในที่สุดถ้าลูกเป็นคนดีก็แบกภาระน้อยหน่อย ถ้าไปโดนลูกอกตัญญูไม่รู้คุณเข้าก็เสร็จ การมีลูกมีเต้าถือว่าเป็นที่พึ่งสืบตระกูล นั่นเป็นภาระของคนโง่ ใครจะเป็นคนสืบตระกูลให้ใครนั้นมันไม่มี สืบตระกูลสักเท่าไรก็ตามทีเราก็ตาย มองดูหาความจริง มันเป็นธรรมตาที่เราจะพึงเห็นได้ ถ้าเราตัดภาระความพอใจความผูกพันในกามฉันทะเสียได้ ความสุขมันเกิด มันมีแต่ความเยือกเย็น มีแต่ชื่นบานหรรษา ความกระสันปรารถนาในการมีคู่ครองไม่มี มันสุขจริง ๆ
แต่ความสุขนี่จะมีขนาดไหน ท่านทั้งหลายถ้ายังไม่ถึง ท่านจะยังไม่เห็น ขอท่านทั้งหลายจงพิสูจน์คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยกำลังใจ ใช้จิตยับยั้งความพอใจในกามารมณ์ด้วยกำลังของฌาน ถ้าแค่ฌานสมาบัติ จะทำให้บรรดาท่านพุทธบริษัทเห็นว่าเป็นสุข ถ้าโดยการตัดทุกข์ประเภทนี้ด้วยอำนาจของวิปัสสนาญาณ จะมีสุขมากขึ้น
วิธีตัดก็คือ ใช้สักกายทิฏฐิ กายคตานุสสติ คือพิจารณาร่างกายตามความเป็นจริง และอสุภสัญญา หรืออสุภกรรมฐาน เห็นว่าร่างกายที่เป็นชิ้นเป็นท่อนเป็นตอน มันเป็นของสกปรก แล้วใช้สักกายทิฏฐิเข้ามาเทียบควบกัน คือพิจารณากายเป็นชิ้นเป็นอันเป็นท่อน พิจารณากายเป็นของสกปรก ตามสภาวะความเป็นจริง และก็พิจารณากายนี้เป็น อนิจจัง หาความเที่ยงมิได้ ทุกขัง เป็นทุกข์ อนัตตา สลายตน กายไม่ใช่เรา กายไม่ใช่เขา เราไม่สามารถจะเป็นผู้บังคับบัญชากายได้ กายเป็นอิสรภาพไม่ขึ้นอยู่กับใจ
มองไปตามความเป็นจริงว่า กายของคนมีความสกปรกตรงไหน กายของคนมีสภาพเหี่ยวแห้งลงไป กายของคนมีสภาพสลายตัวไปทุกวัน ในที่สุดกายนี้ถ้าเราจะเกาะ ยึดมั่นว่าเป็นเราเป็นของเรามันก็ไม่ได้ ถ้าเราเอาจิตเข้าไปแบกกาย จิตเข้าไปนำภาระของกายว่าเป็นเรา เป็นของเรา ในที่สุดความผิดหวังมันก็จะมี เพราะว่ากายของเรานี้ กายของบุคคลอื่นก็ดี วัตถุธาตุก็ดี มันจะสลายตัวไปในที่สุด
ถ้าอารมณ์จิตของท่านพุทธบริษัท เห็นกายเป็นชิ้น เป็นท่อน เป็นตอน พิจารณากายเรา พิจารณากายเขาเป็นของสกปรกตามธรรมชาติของมัน พิจารณาตามความเป็นจริงของสังขาร คือร่างกายว่าทรุดโทรมและก็พังไปในที่สุด อย่างนี้จิตถึงจะมีความสุข เมื่อตัดจุดนี้ได้ความสุขมีมากขึ้น ถ้าหากว่าท่านยังตัดไม่ได้ ท่านยังไม่เห็น ถ้าตัดได้จริง ๆ จะมีความรู้สึกว่าสบายบอกไม่ถูก
อารมณ์ที่สอง ปฏิฆะ คือความกระทบกระทั่งอารมณ์ ข้อนี้รู้สึกว่าจะมีความหนักน้อยในการตัด เพราะเป็นกิเลสที่มีภัยใหญ่ กระทบกระทั่งมากไม่เหมือนกามฉันทะ กามฉันทะเป็นตัวนำความทุกข์มา แต่มีความรู้สึกของคนเหมือนว่าจะมีความสุขขึ้น เราก็มองหาสภาววะตามความเป็นจริงกัน ว่า ปฏิฆะ คือการที่ทำใจคนเป็นคนโหดร้าย ชอบด่าเขา ชอบคิดประทุษร้ายเขา คิดจะฆ่า คิดจะทำร้ายเขา อย่างนี้มันเป็นการประกาศความชั่วของจิต เพราะอะไร เพราะอารมณ์อย่างนี้เป็นการสร้างความชั่ว สร้างความเร่าร้อน ถ้าเราคิดจะฆ่าเขา เขาก็ต้องคิดฆ่าเรา เราคิดจะประทุษร้ายเขา เขาก็คิดจะประทุษร้ายเรา
ตามที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า "ปูชา ลภเต ปูชัง วันทโก ปฏิวันทนัง” ผู้บูชาย่อมได้รับการบูชาตอบ ผู้ไหว้ย่อมได้รับไหว้ตอบ เมื่อเราไหว้เขา เขาก็ไหว้เราตอบ เรายอมรับนับถือเขา เขาก็ยอมรับนับถือเราตอบ ถ้าเราด่าเขา เขาก็ด่าตอบ เราตีเขา เขาก็ตีตอบ มันสุขหรือมันทุกข์ มันดีหรือมันชั่ว ในเมื่ออารมณ์ของเรารักสุขเกลียดทุกข์ หิริ เราอายความชั่ว โอตตัปปะ เกรงกลัวผลของความชั่ว ว่าการคิดประทุษร้ายเขามันชั่ว เราก็ต้องไม่ทำ แต่การที่เราจะไม่ทำ มันก็เป็นของไม่ยาก
ถ้าจิตใจก้าวมาถึงตอนนี้ อาศัยความเมตตาปรานี คือจิตทรงอยู่ในพรหมวิหาร 4 เป็นปกติ ได้แก่มีความรัก มีความสงสาร ไม่อิจฉาริษยาเขา ยินดีในเมื่อเขาทั้งหลายเหล่านั้นได้ดี และก็เฉยในเมื่อถูกต้องกับอารมณ์ที่มาขวางกับความตั้งใจ อารมณ์อะไรก็ตาม ที่เราตั้งใจมาแล้ว ถ้ามีอารมณ์อื่นขวางเข้ามาแทรกซ้อนเข้ามา จิตใจของเราไม่หวั่นไหว ถือว่าเมื่อใดขันธ์ 5 ยังปรากฏในขณะนั้น องค์สมเด็จพระบรมสุคตถือว่า เราจะต้องกระทบอารมณ์ทั้ง 2 ประการ คือ อิฏฐารมณ์ อารมณ์ที่น่าปรารถนาอย่างหนึ่ง แล้วก็ อนิฏฐารมณ์ อารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนาอย่างหนึ่ง เป็นอันว่าอารมณ์ทั้ง 2 ประการนี้ เกิดขึ้นเมื่อไร ใจของเราก็มีการวางเฉย ถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ใครจะด่าจะว่าก็รู้สึกว่า นั่นเป็นความเลวของคน เรากลัวความชั่ว อายความชั่ว เราจะไม่ยอมด่าตอบ เราจะไม่ยอมว่าตอบ เราจะไม่ยอมชั่วตอบ เรียกว่าเราจะไม่ยอมร่วมความชั่วกับเขา
มีต่อ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 2 เทวตานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 2.2 https://pantip.com/topic/43688190)