(ต่อจาก คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง อนุสสติ 3 ตอนที่ 1.1 https://pantip.com/topic/43695613 )
อนุสสติ 3 ตอนที่ 1.2
ฉะนั้นก่อนที่ท่านจะพิจารณาอนุสสติทั้ง 3 ประการ อันดับเรกท่านก็ต้องเริ่มต้นตั้งอารมณ์มาตั้งแต่อานาปานุสสติกรรมฐาน แต่ความจริงในอนุสสติ 10 ท่านเรียงอานาปานุสสติเป็นขั้นสุดท้ายนั่น มันเป็นเรื่องที่ไม่มีความสำคัญ จะเรียงอย่างไรก็ช่าง แต่ทว่าวิธีเวลาปฏิบัติ อันดับแรกท่านก็ต้องจับอานาปานุสสติกรรมฐาน ถ้าจิตของท่านเคยควบกับพุทธานุสสติ หรืออนุสสติอันใดที่มีอารมณ์ทรงตัว ก็ต้องทำจุดนั้นเสียให้มีจิตทรงตัวถึงที่สุด คือมีอารมณ์สงัดที่สุดเท่าที่ท่านพึงจะทำได้ เช่นจับอานาปานุสสติกรรมฐานควบกับพุทธานุสสติกรรมฐาน ที่มีความเข้าใจว่าเวลาหายใจเข้านึกว่า
พุท เวลาหายใจออกนึกว่า
โธ แล้วก็กำหนดลม 3 ฐาน หรือว่ากำหนดลมหายใจเข้า หายใจออกว่ายาวหรือสั้น ตามใจท่านเถอะ แบบมหาสติปัฏฐานสูตรก็ได้ แบบกรรมฐาน 40 นี่ก็ได้ แบบกรรมฐาน 40 เวลาหายใจเข้า มีความรู้สึกว่าลมกระทบที่จมูก กระทบที่อก กระทบที่ศูนย์เหนือสะดือ เวลาหายใจออก กระทบหน้าอก กระทบจมูก หรือว่าลมกระทบศูนย์เหนือสะคือ ริมฝีปาก แบบมหาสติปัฏฐานสูตร เวลาหายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า เวลาหายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก กระทบหน้าอก กระทบจมูก หรือว่าลมกระทบศูนย์เหนือสะดือ ริมฝีปาก แบบมหาสติปัฏฐานสูตร เวลาหายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า เวลาหายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก หายใจเข้ายาวหรือสั้น ออกยาวหรือสั้นก็รู้ด้วย ถ้าควบกับคำภาวมาถ้าว่า
พุทโธ เวลาหายใจเข้านึกว่า
พุท เวลาหายใจออกนึกว่า
โธ นี่เป็นบทต้น บทต้นอย่างนี้
พอเริ่มจับอารมณ์ให้ทรงตัว แล้วต่อมาก็พิจารณาความดีในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้อารมณ์พิจารถาให้เห็นชัดว่า ถ้อยคำสอนของสมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ ดียังไง อย่าเชื่อชาวบ้านใช้ปัญญาของเราพิจารถนาด้วยเหตุผล ตอนนี้พอจิตสบาย เลื่อมใสในธรรมมีความปีติเกิดขึ้น เพราะมั่นใจในความดีตามคำสอนขององค์สมเด็จพระชินสีห์ตรัส
ต่อไปก็จับอารมณ์ที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ แนะนำถึงเรื่องความดีของพระสงฆ์ว่า
สุปฏิปันโน ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
อุชุปฏิปันโน ปฏิบัติตรง
ญายะปฏิปันโน ปฏิบัติสมควร
สามีจิปฏิปันโน ปฏิบัติ เอาล่ะปฏิบัติอย่างไรก็ช่าง เอากันดีก็แล้วกัน แล้วต่อไปก็จับสีลานุสสติกรรมฐานให้ทรงตัว พอได้แค่สีลานุสสติกรรมฐานท่านก็เป็นพระโสดาบันแล้ว ถ้าทรงจริงๆ อย่างนี้จับให้มั่นอย่าให้พลาด
ต่อไปก็จาคานุสสติกรรมฐาน ตัวจาคะตัวเดียวนี่ก็สามารถไปนิพพานได้ ใช้จิตตั้งไว้ในอารมณ์ว่า เราจะเป็นนักเสียสละ สละอะไร วัตถุภายนอก วัตถุภายใน ในปกครอง แม้แต่ชีวิตร่างกายเราก็สละได้ เพื่อความทรงธรรม คือเพื่อพระนิพพาน
แล้วต่อมาถึงเทวตานุสสตินี่เป็นกรรมฐานสำคัญ เพราะทรงหิริและโอตตัปปะ อายชั่ว กลัวชั่ว รวมความว่าไม่รวบรวมความชั่วไว้ในตัวเลย อันนี้เป็นปัจจัยของพระอรหันต์เหมือนกัน เป็นพระอรหันต์ก็ง่าย
แล้วต่อมาเราก็มาว่ากันถึง กายคตาฯ มรณาฯ อุปสมาฯ เป็นอันว่าเริ่มต้นมาตั้งแต่อานาปาฯ จับให้จิตทรงเป็นฌาน ฌานหรือไม่ฌาน แค่ไหนก็แค่นั้น เท่าที่ได้ใจเยือกเย็นสบาย ก็ไล่มาทีละอย่าง ๆ ๆ จนกระทั่งใจสบายเรื่อยมาตามลำดับ ให้มีอารมณ์สบายเหมือนกับอารมณ์แรก อย่างนี้เขาเรียกอนุโลม สำหรับปฏิโลมนั้นก็พิจารณาถอยหน้าถอยหลัง ถอยหลังถอยหน้าให้จิตทรงตัว นั่งหลับตาก็คิดเหมือนกัน ลืมตาก็คิดเหมือนกัน เวลาคุยกันอยู่ เดินบิณฑบาต ทำกิจการงานคิดเหมือนกันแบบนี้หมด
ก็เป็นอันว่าเพียงแค่อนุสสติหมวดใดหมวดหนึ่ง หรือว่าทุกหมวดตามใจชอบ ทำได้แล้วท่านก็เป็นพระอรหันต์ มันเป็นของไม่ยาก เราคิดชั่วทำไม เราจึงคิดได้ เราคิดดีทำไมเราจึงคิดไม่ได้
ต่อนี้ไปก็จะขอพูดถึงกายคตานุสสติก่อน กายคตานุสสตินี่เป็นกรมฐานตัดกามฉันทะ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กายคตานุสสติก็เข้าไปชิดติดกันกับสักกายทิฏฐิและมรณานุสสติก็เป็นตัวชิดติดกับสักกายทิฏฐิ อันนี้เป็นตัวตัดกิเลสตรง เพราะว่าการตัดกิเลสจริง ๆ นี่ตัดตัวเดียว ตัดที่สักกายทิฏฐิ อันนั้นเป็นวิปัสสนาชัด อันนี้เป็นสมถะ สำหรับอุปสมานุสสตินี่รักษาอารมณ์ให้เป็นสุข กายคตานุสสติ ท่านให้พิจารณาเห็นร่างกายของเรา ร่างกายชาวบ้านเขาจะเป็นยังไงก็ช่างเขา พิจารณากายที่ว่ามันเป็นของเรา มานั่งนึกดูดามที่พระอุปัชฌาย์สอนว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ แล้วก็ทวน ตโจ ทันตา นขา โลมา เกสา เอาแค่ 5 อย่าง มันเป็นกาย
ผม มันสะอาดหรือว่าสกปรก
โลมา ขน สะอาดหรือว่าสกปรก เล็บสะอาดหรือว่าสกปรก
เกสา โลมา นขา ทันตา ฟัน ฟันที่อยู่ในปากสะอาดหรือว่าสกปรก
ตโจ หนัง หนังสะอาดหรือสกปรก นี่เพียงแค่ส่วนย่อเท่านี้
ผมของเรานี่ ถ้าหากว่าเราจะไว้มยาว ผมยาวหรือผมสั้นไม่สำคัญ ไม่สระ ไม่สาง ไม่ล้าง ไม่เช็ด ไม่ถู ผมของเรานี่ความจริงมันมีสภาพไม่เน่า แต่ถ้าปล่อยเกรอะกรังไว้ไม่กี่วัน มันก็ดูไม่ได้ สภาพสวยงามไม่ปรากฏ องค์สมเด็จพระบรมสุคตให้มองว่ากายส่วนที่คิดว่ามันไม่เน่า มันไม่เหม็น มันก็มีสภาพสกปรก เหม็นสาบ เหม็นสางด้วย อาศัยสิ่งอื่นเข้ามาประกอบ เฉพาะผมจริง ๆ น่ะมันไม่เหม็น แต่สิ่งที่มันเหม็นมันไหลมาจากกายภายใน ที่เรียกกันว่าเหงื่อไคล เป็นต้น และในเมื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเข้ามาจับ ผมมันจะสวยมันจะสะอาดได้ไหม และในที่สุดผมมันก็ไม่มีการทรงตัว มันงอกขึ้นทุกวัน ส่วนที่งอกแล้วก็เลยไป เราต้องตัดทิ้ง ยาวเกินไปนั่นมันสลายไปแล้ว แต่มันก็ยาวต่อไปอีกเท่าที่เห็นว่าผมมีอยู่เสมอ นี่ความจริงผมที่เกิดมาเก่า มาก่อน มันหายไป แล้วถูกตัดถูกทำลาย แต่ที่เกิดมาใหม่เพราะอาศัย
สันตติ คือ การสืบเนื่อง มันเกิดไม่ขาดสาย จึงเห็นว่าผมยังมีอยู่ นี่เป็นอันว่ามันก็เป็นอนัตตาซิ เกิดขึ้นมาแล้ว ของเก่าหมดไป ของใหม่เกิดมา
ทีนี้ผมอย่างเดียว มันทรงสภาพตามเดิมไหม สีสันวรรณะของมัน พออายุกาลผ่านวัยมากไป ผมก็จะกลายสี จากดำเป็นแดง จากแดงเป็นขาว ผมหงอกเสียแล้ว หมด หมดสวย หมดดี สำหรับขนที่ติดในร่างกายก็เช่นเดียวกัน มันมีสภาวะสกปรก ฟันที่อยู่ในปาก เราอมฟันได้ แต่ถ้าหากว่าเขาถอนฟันออกมาจากปาก เราเอาฟันยัดเข้าไปในปากไม่ได้ นั่นเป็นเพราะอะไร เพราะว่าเรารังเกียจว่าฟันมันสกปรก แต่ว่าเวลาที่ฟันอยู่ในปาก ทำไมเราจึงไม่คิดว่าฟันมันสกปรก หนังก็เหมือนกัน ความนิยมของเราที่เห็นว่าสวยสดงดงาม เรามองกันที่หนัง คนนั้นผิวขาว คนนั้นผิวดำ คนนี้ผิวเหลือง คนนี้ผิวเขียว ก็ตามเรื่อง ความจริงร่างกายของคนทุกส่วนนี่ ที่จะนิยมกันว่าสวยสดงามจริง ๆ มันก็แค่นั้น
แล้วหนังกำพร้าที่หุ้มกายนี่มันบางนิดเดียว พอหนังถลอถปอกเปิกเสียนิดหนึ่ง คนที่เรานิยมว่าสวย ผิวพรรณดี เราก็กลับประณามคนประเภทนี้ว่า แหมมันน่าเกลียด หาความน่ารักไม่ได้ นี่แค่ที่เราเห็นว่าสวย แล้วมามองไปในส่วนภายในของร่างกาย ถ้าผมว่าอาการ 32 นั้น สามเดือนไม่จบ สรุปเอาง่าย ๆ ว่าภายในกายของเรานี่มีอะไรบ้าง น้ำลายที่มีอยู่ในปากอมได้ ถ้าบ้วนออกมาแล้ว แม้แต่มือก็ไม่กล้าเข้าไปแตะน้ำลาย เพราะอะไร เพราะว่ามันสกปรก อุจจาระปัสสาวะเกิดขึ้นมา สำหรับปัสสาวะมันมีได้เพราะน้ำสะอาดที่เราดื่มเข้าไป อุจจาระมีขึ้นมาได้ก็เพราะอาหารที่เราคิดว่ามันดี มันเลิศมีรสอร่อย เราดื่มเข้าไป แต่พว่าพอเป็นกาก เป็นกากถ่ายออกมาแล้ว เราเองกลับเป็นผู้รังเกียจ ก็จงนึกดูว่า น้ำลายก็ดี น้ำปัสสาวะก็ดี อุจจาระก็ดี มันมาจากไหน ก่อนที่มันจะออกมา มันมาจากเมืองญี่ปุ่น เมืองฝรั่งหรือยังไง แต่ความจริงมันมาจากภายในกายของเรา อันนี้เรารังเกียจว่ามันสกปรก ไม่สะอาด แต่ของทั้งหลายเหล่านี้ที่อยู่ในกาย ในกายของเรามันสะอาดหรือสกปรก
สำหรับน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง เสมหะอะไรก็ตาม นั่งนึกเอาก็แล้วกัน อย่าให้ผมว่าไปถึง 32 เลย ถ้าหากว่าไปถึงขนาดนั้น ประเดี๋ยวชาวบ้านเขาจะเข้าใจว่า พวกท่านนี่มันโง่เกินไป ไม่ได้ใช้ปัญญาเสียเลย เพียงแค่ของอย่างเดียวก็สามารถจะเห็นได้ เป็นอันว่าพิจารณาไปว่า ตับ ไต ไส้ ปอด น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง ที่มีอยู่ในร่างกาย มันคลุกเคล้ากันไปหมด ถ้าเราจะกำหนดจริง ๆ จะเห็นว่าร่างกายนี้เหมือนกับป่าช้าเคลื่อนที่ หรือว่าส้วมเคลื่อนที่ แล้วมันสะอาดหรือสกปรก ในเมื่อถ้าร่างกายของเรา เราเห็นว่าร่างกายของเราสกปรก ร่างกายคนอื่นที่เรารัก ปรารถนาอยากจะอยู่เป็นคู่ครอง ที่เราเลือกสรรมาแล้วว่าสะอาดสวยดี อย่างนั้นอย่างนี้ แล้วเขามีไอ้สิ่งที่เราเห็นว่าสกปรกไหม ถ้าเขามีอย่างนั้นแล้วเราจะผูกพันมันเพื่ออะไร เราต้องการของดี แต่ว่าสิ่งที่เราจะได้มานี้มันเป็นของเลว สมควรแล้วหรือยัง ที่ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าร่างกายเราก็ดี ร่างกายของบุคลอื่นก็ดี เป็นของสวยสดงดงามเป็นของน่ารัก ของน่าประคับประคอง ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ควรจะสลัดทิ้งมันไป เพราะร่างกายมันเต็มไปด้วยความสกปรก ร่างกายเป็นปัจจัยของความทุกข์ ถ้ามาพูดถึงทุกข์มันก็เป็น วิปัสสนาญาณ
เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน และพระโยคาวจรทั้งหลาย วันนี้ก็คงจะให้ไว้แต่เพียงแค่นี้ สำหรับกายคตานุสสติกรรมฐาน นี่จะหยุดไว้แค่นี้เพราะหมดเวลา ต่อแต่นี้ไปขอทุกท่านตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าท่านจะเห็นว่าเวลานั้นเป็นการสมควรที่ท่านจะพัก
สวัสดี
ลิงค์ทั้งหมด https://pantip.com/profile/8483559#topics
คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง อนุสสติ 3 ตอนที่ 1.2
อนุสสติ 3 ตอนที่ 1.2
ฉะนั้นก่อนที่ท่านจะพิจารณาอนุสสติทั้ง 3 ประการ อันดับเรกท่านก็ต้องเริ่มต้นตั้งอารมณ์มาตั้งแต่อานาปานุสสติกรรมฐาน แต่ความจริงในอนุสสติ 10 ท่านเรียงอานาปานุสสติเป็นขั้นสุดท้ายนั่น มันเป็นเรื่องที่ไม่มีความสำคัญ จะเรียงอย่างไรก็ช่าง แต่ทว่าวิธีเวลาปฏิบัติ อันดับแรกท่านก็ต้องจับอานาปานุสสติกรรมฐาน ถ้าจิตของท่านเคยควบกับพุทธานุสสติ หรืออนุสสติอันใดที่มีอารมณ์ทรงตัว ก็ต้องทำจุดนั้นเสียให้มีจิตทรงตัวถึงที่สุด คือมีอารมณ์สงัดที่สุดเท่าที่ท่านพึงจะทำได้ เช่นจับอานาปานุสสติกรรมฐานควบกับพุทธานุสสติกรรมฐาน ที่มีความเข้าใจว่าเวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหายใจออกนึกว่า โธ แล้วก็กำหนดลม 3 ฐาน หรือว่ากำหนดลมหายใจเข้า หายใจออกว่ายาวหรือสั้น ตามใจท่านเถอะ แบบมหาสติปัฏฐานสูตรก็ได้ แบบกรรมฐาน 40 นี่ก็ได้ แบบกรรมฐาน 40 เวลาหายใจเข้า มีความรู้สึกว่าลมกระทบที่จมูก กระทบที่อก กระทบที่ศูนย์เหนือสะดือ เวลาหายใจออก กระทบหน้าอก กระทบจมูก หรือว่าลมกระทบศูนย์เหนือสะคือ ริมฝีปาก แบบมหาสติปัฏฐานสูตร เวลาหายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า เวลาหายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก กระทบหน้าอก กระทบจมูก หรือว่าลมกระทบศูนย์เหนือสะดือ ริมฝีปาก แบบมหาสติปัฏฐานสูตร เวลาหายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า เวลาหายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก หายใจเข้ายาวหรือสั้น ออกยาวหรือสั้นก็รู้ด้วย ถ้าควบกับคำภาวมาถ้าว่า พุทโธ เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหายใจออกนึกว่า โธ นี่เป็นบทต้น บทต้นอย่างนี้
พอเริ่มจับอารมณ์ให้ทรงตัว แล้วต่อมาก็พิจารณาความดีในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้อารมณ์พิจารถาให้เห็นชัดว่า ถ้อยคำสอนของสมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ ดียังไง อย่าเชื่อชาวบ้านใช้ปัญญาของเราพิจารถนาด้วยเหตุผล ตอนนี้พอจิตสบาย เลื่อมใสในธรรมมีความปีติเกิดขึ้น เพราะมั่นใจในความดีตามคำสอนขององค์สมเด็จพระชินสีห์ตรัส
ต่อไปก็จับอารมณ์ที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ แนะนำถึงเรื่องความดีของพระสงฆ์ว่า สุปฏิปันโน ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ อุชุปฏิปันโน ปฏิบัติตรง ญายะปฏิปันโน ปฏิบัติสมควร สามีจิปฏิปันโน ปฏิบัติ เอาล่ะปฏิบัติอย่างไรก็ช่าง เอากันดีก็แล้วกัน แล้วต่อไปก็จับสีลานุสสติกรรมฐานให้ทรงตัว พอได้แค่สีลานุสสติกรรมฐานท่านก็เป็นพระโสดาบันแล้ว ถ้าทรงจริงๆ อย่างนี้จับให้มั่นอย่าให้พลาด
ต่อไปก็จาคานุสสติกรรมฐาน ตัวจาคะตัวเดียวนี่ก็สามารถไปนิพพานได้ ใช้จิตตั้งไว้ในอารมณ์ว่า เราจะเป็นนักเสียสละ สละอะไร วัตถุภายนอก วัตถุภายใน ในปกครอง แม้แต่ชีวิตร่างกายเราก็สละได้ เพื่อความทรงธรรม คือเพื่อพระนิพพาน
แล้วต่อมาถึงเทวตานุสสตินี่เป็นกรรมฐานสำคัญ เพราะทรงหิริและโอตตัปปะ อายชั่ว กลัวชั่ว รวมความว่าไม่รวบรวมความชั่วไว้ในตัวเลย อันนี้เป็นปัจจัยของพระอรหันต์เหมือนกัน เป็นพระอรหันต์ก็ง่าย
แล้วต่อมาเราก็มาว่ากันถึง กายคตาฯ มรณาฯ อุปสมาฯ เป็นอันว่าเริ่มต้นมาตั้งแต่อานาปาฯ จับให้จิตทรงเป็นฌาน ฌานหรือไม่ฌาน แค่ไหนก็แค่นั้น เท่าที่ได้ใจเยือกเย็นสบาย ก็ไล่มาทีละอย่าง ๆ ๆ จนกระทั่งใจสบายเรื่อยมาตามลำดับ ให้มีอารมณ์สบายเหมือนกับอารมณ์แรก อย่างนี้เขาเรียกอนุโลม สำหรับปฏิโลมนั้นก็พิจารณาถอยหน้าถอยหลัง ถอยหลังถอยหน้าให้จิตทรงตัว นั่งหลับตาก็คิดเหมือนกัน ลืมตาก็คิดเหมือนกัน เวลาคุยกันอยู่ เดินบิณฑบาต ทำกิจการงานคิดเหมือนกันแบบนี้หมด
ก็เป็นอันว่าเพียงแค่อนุสสติหมวดใดหมวดหนึ่ง หรือว่าทุกหมวดตามใจชอบ ทำได้แล้วท่านก็เป็นพระอรหันต์ มันเป็นของไม่ยาก เราคิดชั่วทำไม เราจึงคิดได้ เราคิดดีทำไมเราจึงคิดไม่ได้
ต่อนี้ไปก็จะขอพูดถึงกายคตานุสสติก่อน กายคตานุสสตินี่เป็นกรมฐานตัดกามฉันทะ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กายคตานุสสติก็เข้าไปชิดติดกันกับสักกายทิฏฐิและมรณานุสสติก็เป็นตัวชิดติดกับสักกายทิฏฐิ อันนี้เป็นตัวตัดกิเลสตรง เพราะว่าการตัดกิเลสจริง ๆ นี่ตัดตัวเดียว ตัดที่สักกายทิฏฐิ อันนั้นเป็นวิปัสสนาชัด อันนี้เป็นสมถะ สำหรับอุปสมานุสสตินี่รักษาอารมณ์ให้เป็นสุข กายคตานุสสติ ท่านให้พิจารณาเห็นร่างกายของเรา ร่างกายชาวบ้านเขาจะเป็นยังไงก็ช่างเขา พิจารณากายที่ว่ามันเป็นของเรา มานั่งนึกดูดามที่พระอุปัชฌาย์สอนว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ แล้วก็ทวน ตโจ ทันตา นขา โลมา เกสา เอาแค่ 5 อย่าง มันเป็นกาย ผม มันสะอาดหรือว่าสกปรก โลมา ขน สะอาดหรือว่าสกปรก เล็บสะอาดหรือว่าสกปรก เกสา โลมา นขา ทันตา ฟัน ฟันที่อยู่ในปากสะอาดหรือว่าสกปรก ตโจ หนัง หนังสะอาดหรือสกปรก นี่เพียงแค่ส่วนย่อเท่านี้
ผมของเรานี่ ถ้าหากว่าเราจะไว้มยาว ผมยาวหรือผมสั้นไม่สำคัญ ไม่สระ ไม่สาง ไม่ล้าง ไม่เช็ด ไม่ถู ผมของเรานี่ความจริงมันมีสภาพไม่เน่า แต่ถ้าปล่อยเกรอะกรังไว้ไม่กี่วัน มันก็ดูไม่ได้ สภาพสวยงามไม่ปรากฏ องค์สมเด็จพระบรมสุคตให้มองว่ากายส่วนที่คิดว่ามันไม่เน่า มันไม่เหม็น มันก็มีสภาพสกปรก เหม็นสาบ เหม็นสางด้วย อาศัยสิ่งอื่นเข้ามาประกอบ เฉพาะผมจริง ๆ น่ะมันไม่เหม็น แต่สิ่งที่มันเหม็นมันไหลมาจากกายภายใน ที่เรียกกันว่าเหงื่อไคล เป็นต้น และในเมื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเข้ามาจับ ผมมันจะสวยมันจะสะอาดได้ไหม และในที่สุดผมมันก็ไม่มีการทรงตัว มันงอกขึ้นทุกวัน ส่วนที่งอกแล้วก็เลยไป เราต้องตัดทิ้ง ยาวเกินไปนั่นมันสลายไปแล้ว แต่มันก็ยาวต่อไปอีกเท่าที่เห็นว่าผมมีอยู่เสมอ นี่ความจริงผมที่เกิดมาเก่า มาก่อน มันหายไป แล้วถูกตัดถูกทำลาย แต่ที่เกิดมาใหม่เพราะอาศัย สันตติ คือ การสืบเนื่อง มันเกิดไม่ขาดสาย จึงเห็นว่าผมยังมีอยู่ นี่เป็นอันว่ามันก็เป็นอนัตตาซิ เกิดขึ้นมาแล้ว ของเก่าหมดไป ของใหม่เกิดมา
ทีนี้ผมอย่างเดียว มันทรงสภาพตามเดิมไหม สีสันวรรณะของมัน พออายุกาลผ่านวัยมากไป ผมก็จะกลายสี จากดำเป็นแดง จากแดงเป็นขาว ผมหงอกเสียแล้ว หมด หมดสวย หมดดี สำหรับขนที่ติดในร่างกายก็เช่นเดียวกัน มันมีสภาวะสกปรก ฟันที่อยู่ในปาก เราอมฟันได้ แต่ถ้าหากว่าเขาถอนฟันออกมาจากปาก เราเอาฟันยัดเข้าไปในปากไม่ได้ นั่นเป็นเพราะอะไร เพราะว่าเรารังเกียจว่าฟันมันสกปรก แต่ว่าเวลาที่ฟันอยู่ในปาก ทำไมเราจึงไม่คิดว่าฟันมันสกปรก หนังก็เหมือนกัน ความนิยมของเราที่เห็นว่าสวยสดงดงาม เรามองกันที่หนัง คนนั้นผิวขาว คนนั้นผิวดำ คนนี้ผิวเหลือง คนนี้ผิวเขียว ก็ตามเรื่อง ความจริงร่างกายของคนทุกส่วนนี่ ที่จะนิยมกันว่าสวยสดงามจริง ๆ มันก็แค่นั้น
แล้วหนังกำพร้าที่หุ้มกายนี่มันบางนิดเดียว พอหนังถลอถปอกเปิกเสียนิดหนึ่ง คนที่เรานิยมว่าสวย ผิวพรรณดี เราก็กลับประณามคนประเภทนี้ว่า แหมมันน่าเกลียด หาความน่ารักไม่ได้ นี่แค่ที่เราเห็นว่าสวย แล้วมามองไปในส่วนภายในของร่างกาย ถ้าผมว่าอาการ 32 นั้น สามเดือนไม่จบ สรุปเอาง่าย ๆ ว่าภายในกายของเรานี่มีอะไรบ้าง น้ำลายที่มีอยู่ในปากอมได้ ถ้าบ้วนออกมาแล้ว แม้แต่มือก็ไม่กล้าเข้าไปแตะน้ำลาย เพราะอะไร เพราะว่ามันสกปรก อุจจาระปัสสาวะเกิดขึ้นมา สำหรับปัสสาวะมันมีได้เพราะน้ำสะอาดที่เราดื่มเข้าไป อุจจาระมีขึ้นมาได้ก็เพราะอาหารที่เราคิดว่ามันดี มันเลิศมีรสอร่อย เราดื่มเข้าไป แต่พว่าพอเป็นกาก เป็นกากถ่ายออกมาแล้ว เราเองกลับเป็นผู้รังเกียจ ก็จงนึกดูว่า น้ำลายก็ดี น้ำปัสสาวะก็ดี อุจจาระก็ดี มันมาจากไหน ก่อนที่มันจะออกมา มันมาจากเมืองญี่ปุ่น เมืองฝรั่งหรือยังไง แต่ความจริงมันมาจากภายในกายของเรา อันนี้เรารังเกียจว่ามันสกปรก ไม่สะอาด แต่ของทั้งหลายเหล่านี้ที่อยู่ในกาย ในกายของเรามันสะอาดหรือสกปรก
สำหรับน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง เสมหะอะไรก็ตาม นั่งนึกเอาก็แล้วกัน อย่าให้ผมว่าไปถึง 32 เลย ถ้าหากว่าไปถึงขนาดนั้น ประเดี๋ยวชาวบ้านเขาจะเข้าใจว่า พวกท่านนี่มันโง่เกินไป ไม่ได้ใช้ปัญญาเสียเลย เพียงแค่ของอย่างเดียวก็สามารถจะเห็นได้ เป็นอันว่าพิจารณาไปว่า ตับ ไต ไส้ ปอด น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง ที่มีอยู่ในร่างกาย มันคลุกเคล้ากันไปหมด ถ้าเราจะกำหนดจริง ๆ จะเห็นว่าร่างกายนี้เหมือนกับป่าช้าเคลื่อนที่ หรือว่าส้วมเคลื่อนที่ แล้วมันสะอาดหรือสกปรก ในเมื่อถ้าร่างกายของเรา เราเห็นว่าร่างกายของเราสกปรก ร่างกายคนอื่นที่เรารัก ปรารถนาอยากจะอยู่เป็นคู่ครอง ที่เราเลือกสรรมาแล้วว่าสะอาดสวยดี อย่างนั้นอย่างนี้ แล้วเขามีไอ้สิ่งที่เราเห็นว่าสกปรกไหม ถ้าเขามีอย่างนั้นแล้วเราจะผูกพันมันเพื่ออะไร เราต้องการของดี แต่ว่าสิ่งที่เราจะได้มานี้มันเป็นของเลว สมควรแล้วหรือยัง ที่ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าร่างกายเราก็ดี ร่างกายของบุคลอื่นก็ดี เป็นของสวยสดงดงามเป็นของน่ารัก ของน่าประคับประคอง ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ควรจะสลัดทิ้งมันไป เพราะร่างกายมันเต็มไปด้วยความสกปรก ร่างกายเป็นปัจจัยของความทุกข์ ถ้ามาพูดถึงทุกข์มันก็เป็น วิปัสสนาญาณ
เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน และพระโยคาวจรทั้งหลาย วันนี้ก็คงจะให้ไว้แต่เพียงแค่นี้ สำหรับกายคตานุสสติกรรมฐาน นี่จะหยุดไว้แค่นี้เพราะหมดเวลา ต่อแต่นี้ไปขอทุกท่านตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าท่านจะเห็นว่าเวลานั้นเป็นการสมควรที่ท่านจะพัก สวัสดี
ลิงค์ทั้งหมด https://pantip.com/profile/8483559#topics