อนุสสติ 3 ตอนที่ 2.1

ท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย และบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลานี้ท่านทั้งหลายได้พากันสมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อนี้ไปก็โปรดฟังคำแนะนำในการเจริญพระกรรมฐาน วันนี้จะว่าเฉพาะ กายคตานุสสติ และก็อาจจะบวกสักกายทิฏฐิ ตามแบบปฏิบัติในการเจริญพระกรรมฐาน แต่ทว่าขอท่านทั้งหลาย จงอย่าลืมวิธีปฏิบัติ เวลาที่จะปฏิบัติเนื่องในสมาธิจริง ๆ หรือว่าในการพิจารณา อันดับแรกจะต้องเริ่มตั้งแต่ต้นที่ท่านได้จุดใดจุดหนึ่งมาก่อน แล้วก็เรียงมาตามลำคับ เริ่มต้นให้จิตเข้าถึงความสุขที่สุดจะพึงทำใด้ แล้วต่อมาเรียงมาตามลำดับที่ท่านเคยปฏิบัติให้มีอารมณ์จิตสม่ำเสมอกัน อย่าไปกลัวช้า เมื่อจิตตั้งอารมณ์ได้เสมอกัน เรียงตามลำดับมาแล้วทุกกอง จนกระทั่งถึงจุดสุดท้าย จิตจะทรงอยู่ในอารมณ์ของฌานนั้น การจะพิจารณาก็ดี จะทรงอารมณ์เป็นสมาธิก็ดี ผลจะทรงตัว
อาการปฏิบัติแบบนี้เป็นวิธีที่มีความสำคัญที่สุด และเมื่อจิตทรงตัวแล้วการพิจารณาด้วยปัญญาจะเห็นได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้ก็จะขอทวนสักกายทิฏฐิ สักกายทิฏฐิก็ได้แก่การพิจารณาพระกรรมฐานในเรื่องของกาย คือว่าพิจารณากายของเรานี่ว่ามันมีสภาพสกปรกและไม่เป็นชิ้น เป็นท่อน เป็นอัน วันนี้จะขอพูดละเอียดสักนิดหนึ่ง เพราะนั่นก็คือกายนี้ท่านแยกเป็นอาการ 32 ค่อย ๆ พิจารณาไป คือว่าอย่าทำแบบรวบรัด และรีบร้อนจนเกินไป ให้ใจมันทรงตัว พิจารณาอย่างนี้ หาตามความเป็นจริง ดูว่าในกายนี้มีตามตวามเป็นจริงอย่างนี้บ้างหรือเปล่า คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ ผังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า สำหรับที่ว่ามานี้ทั้งหมดเป็นธาตุดิน
ร่างกายนี่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า สร้างขึ้นมาจากธาตุ 4 คือ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ
ต่อไปเป็นเรื่องของธาตุน้ำ คือมี ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร
จากนั้นต่อไปก็เป็นธาตุไฟ ธาตุไฟนั้นท่านแบ่งออกเป็น 4 คือไฟที่ทำให้ร่างกายอบอุ่น ไฟที่ทำให้ร่างกายทรุดโทรม ไฟที่ทำร่างกายให้กระวนกระวนกระวาย ไฟที่ทำอาหารให้ย่อยก็คือไฟ สภาพของความร้อน
ทีนี้ขั้นต่อไปท่านก็กล่าวถึงลม ได้แก่ลมพัดขึ้นเบื้องบน ลมพัดลงเบื้องต่ำ ลมในท้อง สมในไส้ ลมพัดไปตามตัว ลมหายใจ
วิธีกำหนดพิจารณากายนี้ ท่านให้พิจารณาว่าเป็นธาตุ 4 คือ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ ประชุมกันแล้วมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ในเมื่อเราไม่มีในกาย กายไม่มีในเรา เมื่อฟังตามนี้แล้ว ขอบรรดาท่านทั้งหลายจงพิจารณา ค่อย ๆ คิดตาม ว่าลักษณะของกายที่ประกอบไปด้วยธาตุ 4 แบ่งเป็นอาการ 32 พยายามค่อย ๆ คิด คิดน้อย ๆ พยายามค่อย ๆ คิด คิดแล้วก็พิจารณาไปด้วย
คิดถึง
ผม ว่าสภาพของผมนี่ มันอยู่ในอำนาจของเราหรือเปล่า ถ้าผมเป็นเราจริง เป็นของเราจริง เราต้องการให้ผมยาวอยู่แค่ไหน มันก็ต้องยาวอยู่แค่นั้น เราไม่ต้องการให้เปลี่ยนแปลงสี มันก็ต้องไม่เปลี่ยน เราไม่ให้มันยุ่งเหยิง มันก็ไม่ยุ่ง เป็นอันว่า แล้วผมตามใจเราหรือเปล่า เมื่อพิจารณาไปแล้วก็เป็นของไม่ยากนะครับ ถ้าเราไม่พยายามโง่ เราก็จะทราบว่าผมนี่ไม่ได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจคำสั่งของใจ เราคือจิตที่เข้ามาอาศัยกายนี้ เป็นอันว่าผมนี้มันยาวเรื่อย เกินความต้องการของเรา แต่บางรายก็ผมน้อยเกินไป ที่เราไม่ต้องการให้มันร่วงมันหล่น ให้มันอยู่พอดี มันก็ไม่แล้ว มันไม่ใช่สั้นเกินไป มันเกิดน้อยเกินไป แล้วก็สภาพของผม เราต้องการของสะอาด ผมถ้าเราไม่สระไม่สาง ไม่ล้าง ไม่ชำระ มันจะสะอาดหรือสกปรก อันนี้ผมขอให้ท่านทั้งหลายใช้ปัญญาของท่านพิจารณาเอง ซึ่งมันเป็นของไม่ยาก
มาสำหรับขนก็เหมือนกัน เล็บก็เหมือนกัน ฟันก็เหมือนกัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ลองนึกซิครับ ลองนึกไปตามลำดับ ถ้าเรามองให้เลยหนังกำพร้าเข้าไป นึกถึงอาการ 32 หนังกำพร้าด้วย ผมก็ดี ขนก็ดี เล็บก็ดี ฟันก็ดี หนังก็ดี เนื้อก็ดี เอ็นก็ดี กระดูกก็ดี ลองนึกลงไป เยื่อในกระดูกก็ดี ม้าม นึกถึงสภาพของม้าม นึกถึงสภาพของกระดูกปัจจุบัน แม้แต่โครงกระดูกที่เขาเผาแล้ว แล้วก็ม้าม หัวใจ หัวใจนี่ไม่ใช่จิตนะขอรับ หัวใจนี่มันเป็นอุปกรณ์อันหนึ่งที่ทำงานอยู่ในกาย เป็นตัวเครื่องจักรตัวหนึ่ง แล้วก็ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ลองนั่งนึกถึงสภาพที่มันอยู่ภายในของร่างกาย ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันสะอาดหรือมันสกปรก มันมีสภาพเป็นอย่างไงบ้างขอรับ ที่มันอยู่ในร่างกายนี่เราก็คุมมันได้ เราไม่ได้รังเกียจมัน เพราะเรามองไม่เห็น แต่ว่าถ้าบังเอิญจะมีใครสักคนหนึ่งเขาตาย แล้วก็มีสัปเหร่อหรือเจ้าหน้าที่เขาผ่าร่างกายออกมาดู เราจะมองดูตรงไหนบ้างว่ามันน่ารัก สะอาด มันน่าจับ น่าแตะน่าต้อง น่าประคอง น่าประเล้าประโลม อันนี้จะมีไหมขอรับ นั่งนึกดูให้ดี ช่วยผมนึกด้วย ว่ามีตรงไหนบ้างที่มันน่ารัก
ผมที่ปราศจากจิตน่ารักไหมขอรับ พูดอย่างนี้จำยาก ก็ผมสำหรับคนตายน่ะที่ไม่ได้สระสาง ไม่ได้ชำระล้างมัน มันน่ารักไหม หรือว่าผมของบุคคลทั้งหลายที่ไม่ได้สนใจกับผม อย่างคนบ้าเป็นต้น ปล่อยยุ่งเหยิงรกรุงรัง มีเหงื่อไคลจับ มันน่ารักไหมขอรับ มาผม ขนเล็บ ฟันก็เหมือนกัน เล็บ เล็บปล่อยไม่กี่วันมันก็สกปรก ยิ่งฟันไม่แปรงฟันสักหน่อย ก็ไอ้โห เลอะเทอะแล้วขอรับ ฟันอยู่ในปากเป็นที่ปรารถนาของเรา แต่ดึงฟันออกจากปาก เราบอกว่าฟันสกปรก ใช่ไหม
หนัง ถ้าเราไม่ชำระล้างมันก็ดีวันเดียว ไม่อาบน้ำวันเดียว ทำท่าจะทนไม่ไหว สภาพของเนื้อที่แล่ถลกหนังออก ถ้ายิ่งเนื้อออก เหลือแต่เอ็น สวยไหมครับ นึกดูกระดูกทุกส่วนที่ลอกเนื้อออกแล้ว มีสภาพเป็นยังไง ท่านมีความรู้สึกเป็นยังไงก็ไม่ทราบ พอผมพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาผมอยากจะอาเจียนทันที เพราะมีความรู้สึกว่าเห็นคนเหมือนเห็นศพ เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ลองนึกดู ไส้ใหญ่ ไส้น้อย ปล่อยไส้ออกมาเลอะ มันน่ารักไหม อาหารใหม่ อาหารเก่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันอยู่ที่ไหนครับ มันอยู่ภายในกายของเราใช่ไหม
แล้วลองนึกถึงสภาพมันว่า ไอ้สิ่งที่มันอยู่ในกายว่ามันสะอาดหรือว่ามันสกปรก นั่งนึกดูซิว่า ร่างกายของเรานี่มันมีอุปมาคล้าย ๆ กับถุง ถุงเศษเนื้อเครื่องในของสัตว์ มันเต็มไปด้วยสภาพสกปรก และสภาวะของมัน ถ้าผ่าท้องออกไปดูแล้วมันจะเหม็น เหม็นคาว เหม็นกลิ่นชอบกล รู้สึกว่าเรารังเกียจกันทุกคน นี่เป็นเรื่องของธาตุดิน
ส่วนที่เป็นธาตุน้ำยิ่งไปกันใหญ่ ดี เสลด เสมหะ เสลดนี่อยู่ในคอ เราอมได้ กลืนได้ พอบ้วนมาแล้วรังเกียจ น้ำหนองไหลจากกายสะอาดหรือสกปรกครับ เลือด เลือดนี่เราต้องการ คนเลือดฝาดดีนี่สวยเปล่งปลั่ง แต่ว่าเลือดมันหลั่งไหลออกมาจากร่างกาย บอกว่าเลือดสกปรก น้ำเหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตรก็คือปัสสาวะ
(มีต่อ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง อนุสสติ 3 ตอนที่ 2.2 https://pantip.com/topic/43711977)
คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง อนุสสติ 3 ตอนที่ 2.1
ท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย และบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลานี้ท่านทั้งหลายได้พากันสมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อนี้ไปก็โปรดฟังคำแนะนำในการเจริญพระกรรมฐาน วันนี้จะว่าเฉพาะ กายคตานุสสติ และก็อาจจะบวกสักกายทิฏฐิ ตามแบบปฏิบัติในการเจริญพระกรรมฐาน แต่ทว่าขอท่านทั้งหลาย จงอย่าลืมวิธีปฏิบัติ เวลาที่จะปฏิบัติเนื่องในสมาธิจริง ๆ หรือว่าในการพิจารณา อันดับแรกจะต้องเริ่มตั้งแต่ต้นที่ท่านได้จุดใดจุดหนึ่งมาก่อน แล้วก็เรียงมาตามลำคับ เริ่มต้นให้จิตเข้าถึงความสุขที่สุดจะพึงทำใด้ แล้วต่อมาเรียงมาตามลำดับที่ท่านเคยปฏิบัติให้มีอารมณ์จิตสม่ำเสมอกัน อย่าไปกลัวช้า เมื่อจิตตั้งอารมณ์ได้เสมอกัน เรียงตามลำดับมาแล้วทุกกอง จนกระทั่งถึงจุดสุดท้าย จิตจะทรงอยู่ในอารมณ์ของฌานนั้น การจะพิจารณาก็ดี จะทรงอารมณ์เป็นสมาธิก็ดี ผลจะทรงตัว
อาการปฏิบัติแบบนี้เป็นวิธีที่มีความสำคัญที่สุด และเมื่อจิตทรงตัวแล้วการพิจารณาด้วยปัญญาจะเห็นได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้ก็จะขอทวนสักกายทิฏฐิ สักกายทิฏฐิก็ได้แก่การพิจารณาพระกรรมฐานในเรื่องของกาย คือว่าพิจารณากายของเรานี่ว่ามันมีสภาพสกปรกและไม่เป็นชิ้น เป็นท่อน เป็นอัน วันนี้จะขอพูดละเอียดสักนิดหนึ่ง เพราะนั่นก็คือกายนี้ท่านแยกเป็นอาการ 32 ค่อย ๆ พิจารณาไป คือว่าอย่าทำแบบรวบรัด และรีบร้อนจนเกินไป ให้ใจมันทรงตัว พิจารณาอย่างนี้ หาตามความเป็นจริง ดูว่าในกายนี้มีตามตวามเป็นจริงอย่างนี้บ้างหรือเปล่า คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ ผังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า สำหรับที่ว่ามานี้ทั้งหมดเป็นธาตุดิน
ร่างกายนี่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า สร้างขึ้นมาจากธาตุ 4 คือ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ
ต่อไปเป็นเรื่องของธาตุน้ำ คือมี ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร
จากนั้นต่อไปก็เป็นธาตุไฟ ธาตุไฟนั้นท่านแบ่งออกเป็น 4 คือไฟที่ทำให้ร่างกายอบอุ่น ไฟที่ทำให้ร่างกายทรุดโทรม ไฟที่ทำร่างกายให้กระวนกระวนกระวาย ไฟที่ทำอาหารให้ย่อยก็คือไฟ สภาพของความร้อน
ทีนี้ขั้นต่อไปท่านก็กล่าวถึงลม ได้แก่ลมพัดขึ้นเบื้องบน ลมพัดลงเบื้องต่ำ ลมในท้อง สมในไส้ ลมพัดไปตามตัว ลมหายใจ
วิธีกำหนดพิจารณากายนี้ ท่านให้พิจารณาว่าเป็นธาตุ 4 คือ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ ประชุมกันแล้วมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ในเมื่อเราไม่มีในกาย กายไม่มีในเรา เมื่อฟังตามนี้แล้ว ขอบรรดาท่านทั้งหลายจงพิจารณา ค่อย ๆ คิดตาม ว่าลักษณะของกายที่ประกอบไปด้วยธาตุ 4 แบ่งเป็นอาการ 32 พยายามค่อย ๆ คิด คิดน้อย ๆ พยายามค่อย ๆ คิด คิดแล้วก็พิจารณาไปด้วย
คิดถึง ผม ว่าสภาพของผมนี่ มันอยู่ในอำนาจของเราหรือเปล่า ถ้าผมเป็นเราจริง เป็นของเราจริง เราต้องการให้ผมยาวอยู่แค่ไหน มันก็ต้องยาวอยู่แค่นั้น เราไม่ต้องการให้เปลี่ยนแปลงสี มันก็ต้องไม่เปลี่ยน เราไม่ให้มันยุ่งเหยิง มันก็ไม่ยุ่ง เป็นอันว่า แล้วผมตามใจเราหรือเปล่า เมื่อพิจารณาไปแล้วก็เป็นของไม่ยากนะครับ ถ้าเราไม่พยายามโง่ เราก็จะทราบว่าผมนี่ไม่ได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจคำสั่งของใจ เราคือจิตที่เข้ามาอาศัยกายนี้ เป็นอันว่าผมนี้มันยาวเรื่อย เกินความต้องการของเรา แต่บางรายก็ผมน้อยเกินไป ที่เราไม่ต้องการให้มันร่วงมันหล่น ให้มันอยู่พอดี มันก็ไม่แล้ว มันไม่ใช่สั้นเกินไป มันเกิดน้อยเกินไป แล้วก็สภาพของผม เราต้องการของสะอาด ผมถ้าเราไม่สระไม่สาง ไม่ล้าง ไม่ชำระ มันจะสะอาดหรือสกปรก อันนี้ผมขอให้ท่านทั้งหลายใช้ปัญญาของท่านพิจารณาเอง ซึ่งมันเป็นของไม่ยาก
มาสำหรับขนก็เหมือนกัน เล็บก็เหมือนกัน ฟันก็เหมือนกัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ลองนึกซิครับ ลองนึกไปตามลำดับ ถ้าเรามองให้เลยหนังกำพร้าเข้าไป นึกถึงอาการ 32 หนังกำพร้าด้วย ผมก็ดี ขนก็ดี เล็บก็ดี ฟันก็ดี หนังก็ดี เนื้อก็ดี เอ็นก็ดี กระดูกก็ดี ลองนึกลงไป เยื่อในกระดูกก็ดี ม้าม นึกถึงสภาพของม้าม นึกถึงสภาพของกระดูกปัจจุบัน แม้แต่โครงกระดูกที่เขาเผาแล้ว แล้วก็ม้าม หัวใจ หัวใจนี่ไม่ใช่จิตนะขอรับ หัวใจนี่มันเป็นอุปกรณ์อันหนึ่งที่ทำงานอยู่ในกาย เป็นตัวเครื่องจักรตัวหนึ่ง แล้วก็ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ลองนั่งนึกถึงสภาพที่มันอยู่ภายในของร่างกาย ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันสะอาดหรือมันสกปรก มันมีสภาพเป็นอย่างไงบ้างขอรับ ที่มันอยู่ในร่างกายนี่เราก็คุมมันได้ เราไม่ได้รังเกียจมัน เพราะเรามองไม่เห็น แต่ว่าถ้าบังเอิญจะมีใครสักคนหนึ่งเขาตาย แล้วก็มีสัปเหร่อหรือเจ้าหน้าที่เขาผ่าร่างกายออกมาดู เราจะมองดูตรงไหนบ้างว่ามันน่ารัก สะอาด มันน่าจับ น่าแตะน่าต้อง น่าประคอง น่าประเล้าประโลม อันนี้จะมีไหมขอรับ นั่งนึกดูให้ดี ช่วยผมนึกด้วย ว่ามีตรงไหนบ้างที่มันน่ารัก
ผมที่ปราศจากจิตน่ารักไหมขอรับ พูดอย่างนี้จำยาก ก็ผมสำหรับคนตายน่ะที่ไม่ได้สระสาง ไม่ได้ชำระล้างมัน มันน่ารักไหม หรือว่าผมของบุคคลทั้งหลายที่ไม่ได้สนใจกับผม อย่างคนบ้าเป็นต้น ปล่อยยุ่งเหยิงรกรุงรัง มีเหงื่อไคลจับ มันน่ารักไหมขอรับ มาผม ขนเล็บ ฟันก็เหมือนกัน เล็บ เล็บปล่อยไม่กี่วันมันก็สกปรก ยิ่งฟันไม่แปรงฟันสักหน่อย ก็ไอ้โห เลอะเทอะแล้วขอรับ ฟันอยู่ในปากเป็นที่ปรารถนาของเรา แต่ดึงฟันออกจากปาก เราบอกว่าฟันสกปรก ใช่ไหม
หนัง ถ้าเราไม่ชำระล้างมันก็ดีวันเดียว ไม่อาบน้ำวันเดียว ทำท่าจะทนไม่ไหว สภาพของเนื้อที่แล่ถลกหนังออก ถ้ายิ่งเนื้อออก เหลือแต่เอ็น สวยไหมครับ นึกดูกระดูกทุกส่วนที่ลอกเนื้อออกแล้ว มีสภาพเป็นยังไง ท่านมีความรู้สึกเป็นยังไงก็ไม่ทราบ พอผมพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาผมอยากจะอาเจียนทันที เพราะมีความรู้สึกว่าเห็นคนเหมือนเห็นศพ เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ลองนึกดู ไส้ใหญ่ ไส้น้อย ปล่อยไส้ออกมาเลอะ มันน่ารักไหม อาหารใหม่ อาหารเก่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันอยู่ที่ไหนครับ มันอยู่ภายในกายของเราใช่ไหม
แล้วลองนึกถึงสภาพมันว่า ไอ้สิ่งที่มันอยู่ในกายว่ามันสะอาดหรือว่ามันสกปรก นั่งนึกดูซิว่า ร่างกายของเรานี่มันมีอุปมาคล้าย ๆ กับถุง ถุงเศษเนื้อเครื่องในของสัตว์ มันเต็มไปด้วยสภาพสกปรก และสภาวะของมัน ถ้าผ่าท้องออกไปดูแล้วมันจะเหม็น เหม็นคาว เหม็นกลิ่นชอบกล รู้สึกว่าเรารังเกียจกันทุกคน นี่เป็นเรื่องของธาตุดิน
ส่วนที่เป็นธาตุน้ำยิ่งไปกันใหญ่ ดี เสลด เสมหะ เสลดนี่อยู่ในคอ เราอมได้ กลืนได้ พอบ้วนมาแล้วรังเกียจ น้ำหนองไหลจากกายสะอาดหรือสกปรกครับ เลือด เลือดนี่เราต้องการ คนเลือดฝาดดีนี่สวยเปล่งปลั่ง แต่ว่าเลือดมันหลั่งไหลออกมาจากร่างกาย บอกว่าเลือดสกปรก น้ำเหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตรก็คือปัสสาวะ
(มีต่อ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง อนุสสติ 3 ตอนที่ 2.2 https://pantip.com/topic/43711977)