(ต่อจาก คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง อนุสสติ 3 ตอนที่ 2.1 https://pantip.com/topic/43711941)
อนุสสติ 3 ตอนที่ 2.2
ลองนั่งนึกดูทีครับว่ากายของเรานี่ที่เรียกว่า กายคตานุสสติ ตามนึกถึงสภาวะความเป็นจริงในกาย ถ้านั่งไล่เบี้ยอยู่อย่างนี้แล้ว จะมีความรู้สึกยังไง เห็นคนปั๊ป จิตจะต้องนึกถึงสภาพอย่างนี้ทันที เห็นคนหรือสัตว์ก็ตามที จงอย่าเห็นแต่เปลือก จิตของปุถุชนคนที่หนาแน่นไปด้วยกิเลส บางทีไม่ได้มองเปลือก ไปมองสิ่งที่หุ้มเปลือกก็คือเครื่องแต่งกาย ผ้าผ่อนท่อนสไบที่เขาแต่ง มองแล้วมันสวย แต่งสีนี้ก็สวย สีนั้นก็สวย ทรงนั้นก็ดี สีนี้ก็สะอาด มันฉูดฉาดน่ารัก นี่เรื่องของคนที่ไม่มีปัญญาเลย ไม่ใช่เรื่องของคนมีปัญญาน้อย มองเข้าไปถึงหนัง มองเข้าไปติดแค่เสื้อผ้าอาภรณ์ก็สวยเสียแล้ว เรียกว่าเป็นคนไร้ปัญญา แล้วก็คนไร้สัญญา คนประเกทนี้แหละที่ท่านเรียกว่า
เป็นผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลส คือปุถุชน ไม่ได้หาของจริง
ก็สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถ้าเราต้องการ เราก็ทำตุ๊กตา ทำหุ่นขึ้น ไปหาเครื่องประดับเอามาประดับ ตุ๊กตาหรือหุ่นนี่มันดีกว่าคนตั้งเยอะ เพราะสิ่งที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดภายในของมันไม่มี มันจะมีโครง ก็เป็นโครงวัตถุที่แห้ง ๆ จะมีผิวที่เขาฉาบ แล้วก็เป็นผิวที่แห้ง ๆ อาการทรุดโทรมมันก็น้อย กลิ่นคาวมันก็ไม่มี อันนี้ดีกว่าไหมขอรับ แต่ก็อย่าลืม ถึงแม้เป็นกายหลอก แต่ก็เต็มไปด้วยกายทรุดโทรม กายประเภทนั้นมันก็มีธาตุ 4 เหมือนกัน คือมีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ แต่ทว่าธาตุทั้งหลายต่าง ๆ มันมีกำลังอ่อน ไม่เหมือนกับร่างกายเรา ร่างกายคนและสัตว์ นี่นั่งนึกกันตรงนี้นะ วันนี้ผมต้องการให้ท่านทั้งหลายพิจารณาตามนี้ด้วยปัญญา แล้วก็พิจารณาบ่อย ๆ นั่งไล่เบี้ยกันตามสบาย
สำหรับธาตุไฟ ไม่มีอะไรหรอกครับ ไฟนี่เราจะรังเกียจ ปัญญามันต้องดีแล้ว ถึงจะรังเกียจไฟ เพราะอะไร ธาตุไฟมีสภาพของความร้อน มีความรู้สึกยาก คนที่เป็นไข้จับแล้วก็สั่น นั่นธาตุไฟมันหย่อนกำลังตัวลง เป็นอันว่าธาตุ 4 นี้ถ้ามีกำลังเสมอกัน เราพิจารณายาก เพราะว่ามันมีความแข็งแรง มันมีอาการทรงตัว นี่ถ้าหากว่าอย่างใดอย่างหนึ่งมันหย่อน ถ้าธาตุน้ำหย่อนลงไป ธาตุไฟกำเริบก็ร้อน ธาตุไฟหย่อน ธาตุน้ำกำเริบ ธาตุลมกำเริบ ก็หนาว หากว่าธาตุดินหย่อน ธาตุดินน่ะมันหย่อนทุกวัน เพราะมันยานอยู่เรื่อย มันซุบมันซีด กายมันเศร้าอยู่เสมอ ที่มีสภาพไม่เปล่งปลั่งเต่งตึงเต็มที่เพราะธาตุดินมันหย่อนลงไป พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ธาตุดินมันสลายตัวทุกวัน ธาตุน้ำมันก็เสื่อมทุกวัน ธาตุไฟมันก็เสื่อมทุกวัน ธาตุลมก็มีสภาพแปรปรวนทุกวัน สำหรับธาตุดินธาตุน้ำที่มันทรงตัวอยู่ได้ก็เพราะอาศัยเรากินอาหาร เรากินอาหารเข้าไปเติมธาตุที่มันสลายตัวไปแล้ว หรือว่าเสื่อมกำลังจะสลายตัว
ที่แพทย์แผนปัจจุบันเขากล่าวว่า เซลต่าง ๆ ในร่างกายมันมีอายุ 4 ปีและเมื่อกำหนดอายุ 4 ปี เซลต่าง ๆ บางตัวมันตายไป แล้วตัวอื่นก็เกิดใหม่ ถ้าเป็นเด็กมันก็ยังเกิดมีความสมบูรณ์ถึงความเป็นหนุ่มเป็นสาว ถึงความเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว ทีนี้ไอ้ตัวที่ตายไปมันมากกว่าตัวที่เกิดมาแทน อาการเปล่งปลั่งเต่งตึงของร่างกายมันก็หมดไป มันก็มีแต่ความเหี่ยวแห้งลงมา เหมือนกับถุงใหญ่ที่เคยใส่ของเต็มก็ดูเปล่งปลั่ง แต่ของภายในมันย่อหย่อนลงไป มันก็ชักจะร่อยหรอลง เป็นอันว่าสภาวะของร่างกายหรือถุงอันนั้นก็ทรุดโทรม เหี่ยวแห้งลง ร่างกายก็เหมือนกัน ของมันน้อยถุงก็ยุบ ดูผิวของถุงมันก็ย่น สภาพของคนก็มีสภาพอย่างเดียวกัน
ก็เป็นอันว่า เราก็ต้องมองดูตามความเป็นจริงที่ท่านบอกว่า ของเก่าหมดไป ของใหม่เกิดแทน มันเป็น
สันตติ ตอนนี้เป็นวิปัสสนาญาณ แต่มองสภาพจริง ๆ ของร่างกายว่าส่วนไหนบ้างที่มันสะอาด ท่านกล่าวไว้ใน
มหาสติปัฏฐานสูตร บอกว่า
มันหมือนกับไถ้หรือถุงที่เขาใส่ของสกปรกทุกอย่าง ผูกหัวผูกท้าย ถุงนั้นมันมีสีดี เราก็เลยคิดว่าเจ้าถุงนี้สวย คิดว่าในถุงมันดี แต่ว่าพอปล่อยหหว ปล่อยท้าย ไอ้ขี้ ไอ้เยี่ยว ไอ้สิ่งที่เหม็นอยู่ในนั้น มันหลั่งไหลออกมา เราก็รังเกียจ
นี่สำหรับกายนี่ก็เหมือนกัน จงอย่าดูเฉพาะกายคนอื่น ให้ดูกายของเราเป็นสำคัญ เห็นกายของเราแล้วก็เห็นกายของคนอื่นเปรียบเทียบกัน อย่าไปนั่งหลอกตัวเอง สัญญาคือความจำ เท่าที่ผมพูดไปนี้ ถ้าหากว่าท่านจำได้นั่นคือสัญญา ถ้ายังทรงอยู่ด้วยอำนาจของสัญญา จำได้ว่าผมพูดมานี้ แต่ตามความจริงแล้วผมนี่น่ะไม่ได้มีความรู้เอง ความรู้อันนี้เป็นของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ท่านจงอย่าเกาะผม อย่าเกาะร่างกายของผม แล้วก็จงอย่าเกาะเสียงของผม
อารมณ์ที่จะเกาะต้องเกาะพระพุทธเจ้า เพราะว่าเสียงนี้พูดตามเสียงที่พระพุทธเจ้าท่านพูด ถ้าถามว่า เสียงพระพุทธเจ้ามาจากไหน ก็ไม่ยากหรอก ก็เรื่องของตำรา ท่านสอนมาแล้ว ตำราหรือวิชาความรู้ทรงอยู่ เอาจิตน้อมลงไปตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระบรมครู ดูว่าส่วนไหนหนอที่น่ารัก มองผิวพรรณของใครว่าเปล่งปลั่ง ก็จงมองให้ทะลุหนังเข้าไปถึงเนื้อ ทะลุเนื้อเข้าไปถึงตับ ไต ไส้ ปอด พยายามคิดหาความเป็นจริง ว่าส่วนไหนบ้างที่เราน่ารัก ถ้ามองไม่เห็นก็เอาอย่างงี้ก็แล้วกัน เวลาเขาบ้วนน้ำลายก็ขอให้รองเอาไว้ น้ำลายของเราหรือน้ำลายของใครก็ได้ เวลาเสมหะเขาติดคอ เขาขากออกมาก็เก็บไว้ ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะออกมาก็เก็บเอาไว้ เหงื่อไคลที่มันหลั่งไหลออกมาก็ขูดเก็บเอาไว้ ดูสิว่าส่วนไหนมันน่ารัก นี่เมื่อพิจารณากันจริง ๆ แล้วมันไม่มีอะไรจะน่ารัก ผมพูดนี่ก็รู้สึกว่ามันอยากจะอาเจียนเต็มที
แล้วต่อไป เมื่อพิจารณากายนี้ว่าเป็นสภาพอย่างนี้ ว่ามีอะไรบ้างที่เราบังคับมันได้ มันสกปรกก็จริงแหล่ แต่ทว่าเราจะบังคับให้มันทรงตัว ไม่ให้มันแก่ ไม่ให้มันป่วย ไม่ให้มันตาย ไม่ให้มันทรุดโทรม ไหวไหม ไหวไหมขอรับตอนนี้ บังคับได้ไหม ไม่ให้มันเมื่อย ไม่ให้มันปวด ไม่อะไรทั้งหมด ให้มันทรงตัวเหมือนกับตุ๊กตา ให้มันมีสภาพเฉย ๆ จิตเราจะได้มีความสุข เพราะว่ามันต้องการหวาน เราให้หวาน มันต้องการเปรี้ยว เราให้เปรี้ยว มันต้องการเค็ม เราให้เค็ม มันต้องการอะไรเราให้สิ่งนั้นทุกอย่าง เราตามใจมัน ถ้ามันหนาวเอาของอุ่น ๆ มาห่ม ถ้ามันร้อนเอาของเย็นมาลูบ ตามใจมันทุกอย่าง เพื่อให้มันทรงตัว แล้วมันทรงตัวไหมขอรับ
เป็นอันว่ามันไม่ยอมทรงตัว ก็มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แล้วเมื่อมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เต็มไปด้วยความสกปรก แล้วก็เป็น
1. อนิจจัง ไม่เที่ยง
2. เมื่อทรงอยู่เต็มไปด้วยความทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะความหิว ความหนาว ความร้อน การปวดอุจจาระ ปัสสาวะ ป่วยไข้ไม่สบาย ร่างกายไม่ทรงสภาพ แล้วแถมมี
วิญญาณธาตุ เข้ามาอาศัย รับสัมผัสอาการต่าง ๆ ภายนอกได้เช่นเสียงและรูปเป็นต้น มันทำให้สร้างความยุ่งอยู่ตลอดเวลา มันมีความสุขตรงไหน
แล้วเราก็เดินเข้าไปหาความตายทุกวัน ในที่สุดมันก็พัง แล้วมีอะไรบ้างขอรับที่เราคิดว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา
ที่ผมพูดว่าเป็นเรา เป็นของเรานี่ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรานี่ ตัวนี้เป็นวิปัสสนาญาณ เป็นสักกายทิฏฐิ ถ้าพิจารณาแล้วว่า มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แล้วร่างกายของใครเล่าขอรับที่เราต้องการให้มาเป็นของเรา ที่เราต้องการหาคู่ครองเข้ามาประคับประคอง เวลาเราประคับประคองกอดรัด ประคับประคองกอดรัดอะไรขอรับ ไปประคับประคองถุงขี้ ถุงเยี่ยวอยู่ เต็มไปด้วยความสกปรก ไอ้ถุงขี้ ถุงเยี่ยวจริง ๆ ถ้าเขาวางไว้ที่ไหนมันก็อยู่ที่นั่น แต่ไอ้ถุงขี้ ถุงเยี่ยวที่มันมีวิญญาณน่ะ มันสร้างความยุ่ง ประเดี๋ยวก็เรื่องนั้น ประเดี๋ยวก็เรื่องนี้ หาอารมณ์ดีไม่ได้ สร้างความวุ่นวายไปด้วยประการทั้งปวง
แล้วก็มันทรงตัวไหม ต่างคนต่างพัง ไอ้พังน่ะถุงมันพัง ไถ้มันพัง แต่เราไม่พัง เราทำยังไง ถ้าเรามีตัณหาคือ ความอยากได้ การทรงตัว หรือการอยากได้สภาวะที่สกปรกอย่างนี้ มันเป็นปัจจัยให้เกิดต่อไปข้างหน้า ถ้าเรามานั่งพิจารณากันจริง ๆ ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันสกปรก สกปรกแล้วเราไม่มีอำนาจบังคับ มันสร้างทุกข์มาให้ถ้าใจเราวางเสีย จะเป็นอย่างไร วางมันไปเสียเลย ว่าร่างกายนี้สกปรกน่าเกลียด มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไปง้อมันทำไม
สร้างความรังเกียจกายทั้งกายเสียให้หมด รังเกียจกายใคร กายเรานี่แหละ รังเกียจมัน ว่าเลว ๆ อย่างนี้เราไม่ต้องการในมัน ความผูกพันในการมีกายไม่มี ถ้าเราไม่ต้องการกายเราเสียอย่างเดียว มองดูกายคนอื่น มันก็เหมือนถุงขี้และถุงเยี่ยว แล้วเราก็รังเกียจ เป็นอันว่าความปรารถนาในกายของเราไม่มีต่อไปแล้ว ความปรารถนากายของใครก็ไม่มีในใจของเรา เราไม่ต้องการมันอีก ของที่เต็มไปด้วยความสกปรก ของที่เป็นปัจจัยแห่งความทุกข์ ไม่ได้ช่วยให้เรามีความสุขสัก 1 วินาที นี่ใช้ปัญญาให้ดีนะขอรับ เพียงท่านทรงอารมณ์อยู่อย่างนี้เป็นปกติ ค่อย ๆ คิด ๆ ค่อยๆ พิจารณาให้วันทั้งวันที่เรามีความรู้สึกอยู่นี่ มันทรงตัวด้วยอารมณ์อย่างนี้ อย่าลืมว่าการคิดการพิจารณาใหม่ ๆ เราเคยแพ้มันมา อำนาจของกิเลส เมื่อเราแพ้มันมาแล้ว เวลานี้เราก็ยอมแพ้มันบ้าง มันแพ้เราบ้าง ใหม่ ๆ เราก็แพ้มันมากกว่าชนะ แต่ค่อย ๆ พิจารณาไปหนักเข้า ๆ มันชักจะเริ่มเสมอกัน มันบ้างเราบ้าง รักบ้าง เกลียดบ้าง แต่ชินหนักเข้า ๆ อาการที่เราชนะมันมากว่าเราแพ้ แต่ในที่สุดเรามีจิตเป็นเป็นเอกัคคตารมณ์
คำว่า
เอกัคคตารมณ์ นี่อารมณ์เป็นฌาน อารมณ์เป็นฌานนี่ต้องฝึกอานาปานุสสติกรรมฐานให้มีอารมณ์ทรงตัวไว้ แล้วเมื่อคลายสมาธิออกมาก็พิจารณากายตามนี้ ถ้าพิจารณาไป ๆ ใจมันหยุด ก็แสดงว่าการพิจารณาจิตเริ่มเป็นสมาธิทีละน้อย จนกระทั่งเข้าถึงอารมณ์ฌาน ถือว่าบางทีเข้าฌานจนจิตทรงตัว เมื่อจิตทรงตัวดีแล้ว ก็มาพิจารณา พิจารณาพอจิตเฟื่อง เห็นจะซ่านกลับเข้าจับอารมณ์สมาธิใหม่ คือ จับอาการทรงตัว กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก จะภาวนาว่ายังไงก็ได้ สลับกับมาสสับกันไปอย่างนี้ ไม่ช้าก็เป็นเอกัคคตารมณ์ พอเป็นเอกัคคตารมณ์จิตตั้งตรงดีแล้ว ความเป็นพระอริยเจ้าก็มาถึง
วันนี้เป็นไม่ได้นะขอรับ เพราะเวลาหมด เมื่อเวลาหมดแล้วก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน ขอบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระชินวร จงทรงอารมณ์อยู่ในอิริยาบถ 4 ตามที่แนะนำมานี้ หรือตามที่ท่านพอใจในการปฏิบัติ จนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านเห็นว่าสมควรจะเลิก
สวัสดี
ลิงค์ทั้งหมด https://pantip.com/profile/8483559#topics
คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง อนุสสติ 3 ตอนที่ 2.2
อนุสสติ 3 ตอนที่ 2.2
ลองนั่งนึกดูทีครับว่ากายของเรานี่ที่เรียกว่า กายคตานุสสติ ตามนึกถึงสภาวะความเป็นจริงในกาย ถ้านั่งไล่เบี้ยอยู่อย่างนี้แล้ว จะมีความรู้สึกยังไง เห็นคนปั๊ป จิตจะต้องนึกถึงสภาพอย่างนี้ทันที เห็นคนหรือสัตว์ก็ตามที จงอย่าเห็นแต่เปลือก จิตของปุถุชนคนที่หนาแน่นไปด้วยกิเลส บางทีไม่ได้มองเปลือก ไปมองสิ่งที่หุ้มเปลือกก็คือเครื่องแต่งกาย ผ้าผ่อนท่อนสไบที่เขาแต่ง มองแล้วมันสวย แต่งสีนี้ก็สวย สีนั้นก็สวย ทรงนั้นก็ดี สีนี้ก็สะอาด มันฉูดฉาดน่ารัก นี่เรื่องของคนที่ไม่มีปัญญาเลย ไม่ใช่เรื่องของคนมีปัญญาน้อย มองเข้าไปถึงหนัง มองเข้าไปติดแค่เสื้อผ้าอาภรณ์ก็สวยเสียแล้ว เรียกว่าเป็นคนไร้ปัญญา แล้วก็คนไร้สัญญา คนประเกทนี้แหละที่ท่านเรียกว่า เป็นผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลส คือปุถุชน ไม่ได้หาของจริง
ก็สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถ้าเราต้องการ เราก็ทำตุ๊กตา ทำหุ่นขึ้น ไปหาเครื่องประดับเอามาประดับ ตุ๊กตาหรือหุ่นนี่มันดีกว่าคนตั้งเยอะ เพราะสิ่งที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดภายในของมันไม่มี มันจะมีโครง ก็เป็นโครงวัตถุที่แห้ง ๆ จะมีผิวที่เขาฉาบ แล้วก็เป็นผิวที่แห้ง ๆ อาการทรุดโทรมมันก็น้อย กลิ่นคาวมันก็ไม่มี อันนี้ดีกว่าไหมขอรับ แต่ก็อย่าลืม ถึงแม้เป็นกายหลอก แต่ก็เต็มไปด้วยกายทรุดโทรม กายประเภทนั้นมันก็มีธาตุ 4 เหมือนกัน คือมีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ แต่ทว่าธาตุทั้งหลายต่าง ๆ มันมีกำลังอ่อน ไม่เหมือนกับร่างกายเรา ร่างกายคนและสัตว์ นี่นั่งนึกกันตรงนี้นะ วันนี้ผมต้องการให้ท่านทั้งหลายพิจารณาตามนี้ด้วยปัญญา แล้วก็พิจารณาบ่อย ๆ นั่งไล่เบี้ยกันตามสบาย
สำหรับธาตุไฟ ไม่มีอะไรหรอกครับ ไฟนี่เราจะรังเกียจ ปัญญามันต้องดีแล้ว ถึงจะรังเกียจไฟ เพราะอะไร ธาตุไฟมีสภาพของความร้อน มีความรู้สึกยาก คนที่เป็นไข้จับแล้วก็สั่น นั่นธาตุไฟมันหย่อนกำลังตัวลง เป็นอันว่าธาตุ 4 นี้ถ้ามีกำลังเสมอกัน เราพิจารณายาก เพราะว่ามันมีความแข็งแรง มันมีอาการทรงตัว นี่ถ้าหากว่าอย่างใดอย่างหนึ่งมันหย่อน ถ้าธาตุน้ำหย่อนลงไป ธาตุไฟกำเริบก็ร้อน ธาตุไฟหย่อน ธาตุน้ำกำเริบ ธาตุลมกำเริบ ก็หนาว หากว่าธาตุดินหย่อน ธาตุดินน่ะมันหย่อนทุกวัน เพราะมันยานอยู่เรื่อย มันซุบมันซีด กายมันเศร้าอยู่เสมอ ที่มีสภาพไม่เปล่งปลั่งเต่งตึงเต็มที่เพราะธาตุดินมันหย่อนลงไป พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ธาตุดินมันสลายตัวทุกวัน ธาตุน้ำมันก็เสื่อมทุกวัน ธาตุไฟมันก็เสื่อมทุกวัน ธาตุลมก็มีสภาพแปรปรวนทุกวัน สำหรับธาตุดินธาตุน้ำที่มันทรงตัวอยู่ได้ก็เพราะอาศัยเรากินอาหาร เรากินอาหารเข้าไปเติมธาตุที่มันสลายตัวไปแล้ว หรือว่าเสื่อมกำลังจะสลายตัว
ที่แพทย์แผนปัจจุบันเขากล่าวว่า เซลต่าง ๆ ในร่างกายมันมีอายุ 4 ปีและเมื่อกำหนดอายุ 4 ปี เซลต่าง ๆ บางตัวมันตายไป แล้วตัวอื่นก็เกิดใหม่ ถ้าเป็นเด็กมันก็ยังเกิดมีความสมบูรณ์ถึงความเป็นหนุ่มเป็นสาว ถึงความเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว ทีนี้ไอ้ตัวที่ตายไปมันมากกว่าตัวที่เกิดมาแทน อาการเปล่งปลั่งเต่งตึงของร่างกายมันก็หมดไป มันก็มีแต่ความเหี่ยวแห้งลงมา เหมือนกับถุงใหญ่ที่เคยใส่ของเต็มก็ดูเปล่งปลั่ง แต่ของภายในมันย่อหย่อนลงไป มันก็ชักจะร่อยหรอลง เป็นอันว่าสภาวะของร่างกายหรือถุงอันนั้นก็ทรุดโทรม เหี่ยวแห้งลง ร่างกายก็เหมือนกัน ของมันน้อยถุงก็ยุบ ดูผิวของถุงมันก็ย่น สภาพของคนก็มีสภาพอย่างเดียวกัน
ก็เป็นอันว่า เราก็ต้องมองดูตามความเป็นจริงที่ท่านบอกว่า ของเก่าหมดไป ของใหม่เกิดแทน มันเป็น สันตติ ตอนนี้เป็นวิปัสสนาญาณ แต่มองสภาพจริง ๆ ของร่างกายว่าส่วนไหนบ้างที่มันสะอาด ท่านกล่าวไว้ใน มหาสติปัฏฐานสูตร บอกว่า มันหมือนกับไถ้หรือถุงที่เขาใส่ของสกปรกทุกอย่าง ผูกหัวผูกท้าย ถุงนั้นมันมีสีดี เราก็เลยคิดว่าเจ้าถุงนี้สวย คิดว่าในถุงมันดี แต่ว่าพอปล่อยหหว ปล่อยท้าย ไอ้ขี้ ไอ้เยี่ยว ไอ้สิ่งที่เหม็นอยู่ในนั้น มันหลั่งไหลออกมา เราก็รังเกียจ
นี่สำหรับกายนี่ก็เหมือนกัน จงอย่าดูเฉพาะกายคนอื่น ให้ดูกายของเราเป็นสำคัญ เห็นกายของเราแล้วก็เห็นกายของคนอื่นเปรียบเทียบกัน อย่าไปนั่งหลอกตัวเอง สัญญาคือความจำ เท่าที่ผมพูดไปนี้ ถ้าหากว่าท่านจำได้นั่นคือสัญญา ถ้ายังทรงอยู่ด้วยอำนาจของสัญญา จำได้ว่าผมพูดมานี้ แต่ตามความจริงแล้วผมนี่น่ะไม่ได้มีความรู้เอง ความรู้อันนี้เป็นของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ท่านจงอย่าเกาะผม อย่าเกาะร่างกายของผม แล้วก็จงอย่าเกาะเสียงของผม
อารมณ์ที่จะเกาะต้องเกาะพระพุทธเจ้า เพราะว่าเสียงนี้พูดตามเสียงที่พระพุทธเจ้าท่านพูด ถ้าถามว่า เสียงพระพุทธเจ้ามาจากไหน ก็ไม่ยากหรอก ก็เรื่องของตำรา ท่านสอนมาแล้ว ตำราหรือวิชาความรู้ทรงอยู่ เอาจิตน้อมลงไปตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระบรมครู ดูว่าส่วนไหนหนอที่น่ารัก มองผิวพรรณของใครว่าเปล่งปลั่ง ก็จงมองให้ทะลุหนังเข้าไปถึงเนื้อ ทะลุเนื้อเข้าไปถึงตับ ไต ไส้ ปอด พยายามคิดหาความเป็นจริง ว่าส่วนไหนบ้างที่เราน่ารัก ถ้ามองไม่เห็นก็เอาอย่างงี้ก็แล้วกัน เวลาเขาบ้วนน้ำลายก็ขอให้รองเอาไว้ น้ำลายของเราหรือน้ำลายของใครก็ได้ เวลาเสมหะเขาติดคอ เขาขากออกมาก็เก็บไว้ ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะออกมาก็เก็บเอาไว้ เหงื่อไคลที่มันหลั่งไหลออกมาก็ขูดเก็บเอาไว้ ดูสิว่าส่วนไหนมันน่ารัก นี่เมื่อพิจารณากันจริง ๆ แล้วมันไม่มีอะไรจะน่ารัก ผมพูดนี่ก็รู้สึกว่ามันอยากจะอาเจียนเต็มที
แล้วต่อไป เมื่อพิจารณากายนี้ว่าเป็นสภาพอย่างนี้ ว่ามีอะไรบ้างที่เราบังคับมันได้ มันสกปรกก็จริงแหล่ แต่ทว่าเราจะบังคับให้มันทรงตัว ไม่ให้มันแก่ ไม่ให้มันป่วย ไม่ให้มันตาย ไม่ให้มันทรุดโทรม ไหวไหม ไหวไหมขอรับตอนนี้ บังคับได้ไหม ไม่ให้มันเมื่อย ไม่ให้มันปวด ไม่อะไรทั้งหมด ให้มันทรงตัวเหมือนกับตุ๊กตา ให้มันมีสภาพเฉย ๆ จิตเราจะได้มีความสุข เพราะว่ามันต้องการหวาน เราให้หวาน มันต้องการเปรี้ยว เราให้เปรี้ยว มันต้องการเค็ม เราให้เค็ม มันต้องการอะไรเราให้สิ่งนั้นทุกอย่าง เราตามใจมัน ถ้ามันหนาวเอาของอุ่น ๆ มาห่ม ถ้ามันร้อนเอาของเย็นมาลูบ ตามใจมันทุกอย่าง เพื่อให้มันทรงตัว แล้วมันทรงตัวไหมขอรับ
เป็นอันว่ามันไม่ยอมทรงตัว ก็มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แล้วเมื่อมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เต็มไปด้วยความสกปรก แล้วก็เป็น
1. อนิจจัง ไม่เที่ยง
2. เมื่อทรงอยู่เต็มไปด้วยความทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะความหิว ความหนาว ความร้อน การปวดอุจจาระ ปัสสาวะ ป่วยไข้ไม่สบาย ร่างกายไม่ทรงสภาพ แล้วแถมมี วิญญาณธาตุ เข้ามาอาศัย รับสัมผัสอาการต่าง ๆ ภายนอกได้เช่นเสียงและรูปเป็นต้น มันทำให้สร้างความยุ่งอยู่ตลอดเวลา มันมีความสุขตรงไหน
แล้วเราก็เดินเข้าไปหาความตายทุกวัน ในที่สุดมันก็พัง แล้วมีอะไรบ้างขอรับที่เราคิดว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา
ที่ผมพูดว่าเป็นเรา เป็นของเรานี่ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรานี่ ตัวนี้เป็นวิปัสสนาญาณ เป็นสักกายทิฏฐิ ถ้าพิจารณาแล้วว่า มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แล้วร่างกายของใครเล่าขอรับที่เราต้องการให้มาเป็นของเรา ที่เราต้องการหาคู่ครองเข้ามาประคับประคอง เวลาเราประคับประคองกอดรัด ประคับประคองกอดรัดอะไรขอรับ ไปประคับประคองถุงขี้ ถุงเยี่ยวอยู่ เต็มไปด้วยความสกปรก ไอ้ถุงขี้ ถุงเยี่ยวจริง ๆ ถ้าเขาวางไว้ที่ไหนมันก็อยู่ที่นั่น แต่ไอ้ถุงขี้ ถุงเยี่ยวที่มันมีวิญญาณน่ะ มันสร้างความยุ่ง ประเดี๋ยวก็เรื่องนั้น ประเดี๋ยวก็เรื่องนี้ หาอารมณ์ดีไม่ได้ สร้างความวุ่นวายไปด้วยประการทั้งปวง
แล้วก็มันทรงตัวไหม ต่างคนต่างพัง ไอ้พังน่ะถุงมันพัง ไถ้มันพัง แต่เราไม่พัง เราทำยังไง ถ้าเรามีตัณหาคือ ความอยากได้ การทรงตัว หรือการอยากได้สภาวะที่สกปรกอย่างนี้ มันเป็นปัจจัยให้เกิดต่อไปข้างหน้า ถ้าเรามานั่งพิจารณากันจริง ๆ ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันสกปรก สกปรกแล้วเราไม่มีอำนาจบังคับ มันสร้างทุกข์มาให้ถ้าใจเราวางเสีย จะเป็นอย่างไร วางมันไปเสียเลย ว่าร่างกายนี้สกปรกน่าเกลียด มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไปง้อมันทำไม
สร้างความรังเกียจกายทั้งกายเสียให้หมด รังเกียจกายใคร กายเรานี่แหละ รังเกียจมัน ว่าเลว ๆ อย่างนี้เราไม่ต้องการในมัน ความผูกพันในการมีกายไม่มี ถ้าเราไม่ต้องการกายเราเสียอย่างเดียว มองดูกายคนอื่น มันก็เหมือนถุงขี้และถุงเยี่ยว แล้วเราก็รังเกียจ เป็นอันว่าความปรารถนาในกายของเราไม่มีต่อไปแล้ว ความปรารถนากายของใครก็ไม่มีในใจของเรา เราไม่ต้องการมันอีก ของที่เต็มไปด้วยความสกปรก ของที่เป็นปัจจัยแห่งความทุกข์ ไม่ได้ช่วยให้เรามีความสุขสัก 1 วินาที นี่ใช้ปัญญาให้ดีนะขอรับ เพียงท่านทรงอารมณ์อยู่อย่างนี้เป็นปกติ ค่อย ๆ คิด ๆ ค่อยๆ พิจารณาให้วันทั้งวันที่เรามีความรู้สึกอยู่นี่ มันทรงตัวด้วยอารมณ์อย่างนี้ อย่าลืมว่าการคิดการพิจารณาใหม่ ๆ เราเคยแพ้มันมา อำนาจของกิเลส เมื่อเราแพ้มันมาแล้ว เวลานี้เราก็ยอมแพ้มันบ้าง มันแพ้เราบ้าง ใหม่ ๆ เราก็แพ้มันมากกว่าชนะ แต่ค่อย ๆ พิจารณาไปหนักเข้า ๆ มันชักจะเริ่มเสมอกัน มันบ้างเราบ้าง รักบ้าง เกลียดบ้าง แต่ชินหนักเข้า ๆ อาการที่เราชนะมันมากว่าเราแพ้ แต่ในที่สุดเรามีจิตเป็นเป็นเอกัคคตารมณ์
คำว่า เอกัคคตารมณ์ นี่อารมณ์เป็นฌาน อารมณ์เป็นฌานนี่ต้องฝึกอานาปานุสสติกรรมฐานให้มีอารมณ์ทรงตัวไว้ แล้วเมื่อคลายสมาธิออกมาก็พิจารณากายตามนี้ ถ้าพิจารณาไป ๆ ใจมันหยุด ก็แสดงว่าการพิจารณาจิตเริ่มเป็นสมาธิทีละน้อย จนกระทั่งเข้าถึงอารมณ์ฌาน ถือว่าบางทีเข้าฌานจนจิตทรงตัว เมื่อจิตทรงตัวดีแล้ว ก็มาพิจารณา พิจารณาพอจิตเฟื่อง เห็นจะซ่านกลับเข้าจับอารมณ์สมาธิใหม่ คือ จับอาการทรงตัว กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก จะภาวนาว่ายังไงก็ได้ สลับกับมาสสับกันไปอย่างนี้ ไม่ช้าก็เป็นเอกัคคตารมณ์ พอเป็นเอกัคคตารมณ์จิตตั้งตรงดีแล้ว ความเป็นพระอริยเจ้าก็มาถึง
วันนี้เป็นไม่ได้นะขอรับ เพราะเวลาหมด เมื่อเวลาหมดแล้วก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน ขอบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระชินวร จงทรงอารมณ์อยู่ในอิริยาบถ 4 ตามที่แนะนำมานี้ หรือตามที่ท่านพอใจในการปฏิบัติ จนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านเห็นว่าสมควรจะเลิก สวัสดี
ลิงค์ทั้งหมด https://pantip.com/profile/8483559#topics