คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง อนุสสติ 3 ตอนที่ 1.1

อนุสสติ 3 ตอนที่ 1.1


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลายและพระโยคาวจรทั้งหลาย บัดนี้ท่านทั้งหลายได้สมาทานศีลและสมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อนี้ไปขอได้โปรดตั้งใจสดับ คำแนะนำในการเจริญพระกรรมฐาน สำหรับวันนี้ก็จะขอพูดถึงอนุสสติสุดท้าย คำว่า อนุสสติสุดท้าย ก็หมายความว่าจะรวมอนุสสติที่เหลือ 3 อย่าง คือ
1. กายคตานุสสติ
2. มรณานุสสติ
3. อุปสมานุสสติ

จะอธิบายรวมกัน เพราะว่าอนุสสติทั้ง 3 ประการนี้ ถือว่าเป็นอนุสสติที่มีความสำคัญที่สุด ในบรรดาอนุสสติทั้งหลายที่ผ่านมา ที่พูดว่าสำคัญก็เพราะว่า ถ้าท่านองค์ใดหรือท่านผู้ใดปฏิบัติในอนุสสติทั้ง 3 ประการนี้ควบกันเป็นปกติ ท่านถือว่าการปฏิบัตินั้นเป็นการปฏิบัติเพื่ออรหัตตผลโดยตรง ฉะนั้นผมจึงถือว่าอนุสสติทั้ง 3 ประการนี้ มีความสำคัญมาก ด้วยว่าท่านผู้ที่จะเป็นพระอริยเจ้าคือเป็นพระอรหันต์ ถ้าขาดการเจริญกายคตานุสสติกรรมฐาน ท่านผู้นั้นจะเป็นพระอรหันต์ไม่ได้

ประการที่ 2 สำหรับมรณานุสสติกรรมฐานนี้ มีความสำคัญมากเหมือนกัน เพราะอะไร เพราะว่าแม้แต่องค์พระสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อพระองค์เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว วันหนึ่งได้เรียกพระอานนท์มา เวลานั้นพระอานนท์เป็นพระโสดาบัน สมเด็จพระพิชิตมารได้ตรัสถามพระอานนท์ว่า อานันทะ ดูก่อน อานนท์ เธอคิดถึงความตายวันละกี่ครั้ง พระอานนท์ได้ทูลองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าพระพุทธเจ้านึกถึงความตายวันละประมาณ 7 ครั้ง พระพุทธเจ้าข้า สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า อานันทะ ดูกรอานนท์ เธอยังนึกถึงความตายห่างมากนัก ควรจะคิดให้มันกระชั้นไปยิ่งกว่านี้

แล้วองค์สมเด็จพระมหามุนีก็ตรัสว่า ตถาคตเองนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก ความจริงเมื่อคนเรานึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก ก็ได้แก่ควบกับสักกายทิฏฐิ มรณานุสสตินี่ ความจริงก็เป็นกรรมฐานนับเนื่องกับสักกายทิฏฐิ ถ้าคิดถึงความตายท่านเรียกว่า สมถะ ถ้าเห็นว่าความตายมันเข้ามาถึงชีวิตเราเพราะ อาศัยร่างกายของเรามันไม่ทรงตัว คือมีสภาพไม่เที่ยง ถ้ามันเที่ยงแล้วเกิดมันก็ไม่ตาย ก็เพราะความตายมันมีมันจึงไม่เที่ยง อันนี้เป็นวิปัสสนาญาณ เป็นสักกายทิฎฐิ

แล้วอนุสสติข้อที่ 3 ก็คือ อุปสมานุสสติ อุปสมานุสสตินี่ก็เป็นการระลึกนึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ จะเห็นว่ามรณานุสสติก็ดี อุปสมานุสสติก็ดี พระพุทธเจ้าทรงยกเข้าไว้ในจริตสุดท้ายที่เรียกว่า พุทธจริต คือเป็นอารมณ์ของคนฉลาดที่จะนึกคิด ถ้าคนโง่มองไม่เห็น

สำหรับกายคตานุสสติ เป็นการทำลายกามฉันทะ หมายความว่าเป็นการทำลายกิเลสตัวสำคัญ เป็นกิเลสสร้างความเย็นให้เกิดขึ้นกับจิต ความจริงมันร้อนกามราคะ ราคัคคิ ไฟราคะ มันร้อน แต่ทว่าความร้อนของราคะนี้ คนส่วนใหญ่ที่มีกิเลสมีความเข้าใจว่ามันเป็นของเย็น ความจริงมันเป็นโทษ แต่คนทุกคนส่วนใหญ่เข้าใจว่าเป็นคุณ อันนี้เพราะอะไร เพราะว่าจะเห็นได้ว่าคนที่มีกิเลสทุกคน ยังมีความปรารถนาในการครองคู่ มักจะยกตัวอย่างขึ้นว่า ต้องการให้บุตรสาวบุตรชายเป็นฝั่งเป็นฝ่าจะให้มีความสุข แต่ความจริงเรื่องนี้ บรรดาผู้ใหญ่ทั้งหลายท่านพบความทุกข์มาแล้ว แต่ท่านไม่จำ ท่านกลับ ยัดเยียดความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ให้กับลูกหลานของท่านต่อไป ทั้งนี้ก็เพราะอะไร เพราะว่ากิเลสตัวนี้มันมีความหนานมากยากที่จะแก้ไข

ประการที่ 2 เรื่องของความตายก็เหมือนกัน ความตายนี่สัตว์อื่นก็ดี มนุษย์ด้วยกันเองก็ดี เขาตายให้เราดูทุกวัน ปีหนึ่งรับบัตรเชิญในการเผาศพนับไม่ถ้วน ฟังข่าวการตายนับไม่ถ้วน แต่เราไม่เคยคิดว่าเราจะตาย นี่สำหรับคนที่ไร้ปัญญามักจะไม่ยอมคิดถึงความตาย ชาวบ้านอยากจะตายก็ตายไปเถอะ ตายเท่าไรก็ตายไปแต่ฉันไม่ตาย

อุปสมานุสสติ สำหรับการนึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ เรื่องพระนิพพานนี่ก็เหมือนกัน มักจะคิดกันว่าเราไม่มีปัญญาที่จะเข้าพระนิพพานได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บางท่านก็กลับจะโง่เกินไป ว่าเรื่องนิพพานนี้เป็นเรื่องเหลวไหล ที่กล่าวกันว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างนี้จะหาจริงไม่ได้ ไปจำศัพท์ว่า นิพพานัง ปรมัง สุญญัง แต่แปลไม่ออก แปลหนังสือไม่เป็นเลยว่านิพพานสูญ ความจริงคำว่า "สุญญะ" เขาแปลว่า ว่าง นิพพานัง ปรมัง สุญญัง แปลว่านิพพานเป็นความว่างอย่างยิ่ง คือว่างจากความเลวทุกอย่าง

เป็นอันว่าอนุสสติทั้ง 3 ประการนี้ ถ้าหากว่าท่านองค์ใด หรือว่าท่านผู้ใด อนุสสติ แปลว่า ตามนึกถึง จำไว้ให้ดีนะครับ สำหรับอนุสสติ 3 นี่น่ากลัวจะต้องใช้เวลากันนิดหนึ่ง เพราะว่าเป็นอนุสสติที่มีความสำคัญที่สุด ความจริงทุกอนุสสติที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดก็สำคัญทั้งหมด แต่ที่ผมมาขมวดตอนท้าย ว่าอันนี้สำคัญที่สุดก็เพราะว่า เป็นอารมณ์ของท่านพุทธจริต คือว่าคนฉลาดเท่านั้นจึงจะมองเห็น ถ้าคนโง่หน่อยเดียวไม่มีทาง ถ้าลงมองเห็นด้วยอำนาจของปัญญาเมื่อไร ใจของท่านก็เข้าถึงกระแสพระนิพพานเมื่อนั้น แล้วกระแสพระนิพพานที่จะก้าวเข้าถึงความเป็นอรหัตตผลก็เป็นของไม่ไกล ถ้ามีความคล่องอยู่ในอนุสสติทั้ง 3 ประการนี้แล้ว ขึ้นชื่อว่ามีความหวังในความเป็นอรหัตตผลของท่าน

นี่ผมขอพูดสำหรับท่านที่ทรงวิริยบารมี และก็ปัญญาบารมี กำลังจิตของท่านทรงอยู่ในกรรมฐานทั้ง 3 ประการ คืออนุสสติทั้ง 3 ประการนี้ ผมขอขีดเส้นให้ท่านไว้เพียงแค่ 3 เดือน ถ้าหากท่านมีความมั่นคงจริง ๆ ไม่เกิน 3 เดือน บรรลุอรหัตตผล

เอาละอารัมภบทกันมานานยาว แต่นี่ผมบอกแล้วนี่ ผมขอพูดยาวนิดหนึ่ง เพราะว่าเป็นอนุสสติที่มีความสำคัญมาก เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์ สำหรับกายคตานุสสตินี่เป็นด่านสำคัญมาก ได้บอกไว้แล้วว่า ท่านผู้ใดที่จะเป็นพระอรหันต์ ถ้าไม่สามารถจะทำลายอารมณ์ที่เกาะในกายได้ คือไม่ผ่านกายคตานุสสติกรรมฐาน ท่านผู้นั้นถ้าบอกว่าเป็นอรหันต์ จงอย่าเชื่อ ไม่มีทาง และเมื่อท่านพิจารณากายคตานุสสติก็ยังมีความเมาในชีวิต คิดว่าเรายังไม่ตาย หรือว่ามีความสงสัยในเรื่องพระนิพพานก็หมดด้วยประการทั้งปวง เชื่อกันไม่ได้เลย

ถ้ายิ่งมีคนมาพูดกันว่า ผมเคยได้ยินพระพูด แต่พระท่านผู้นั้นท่านเข้าใจว่า ท่านเป็นพระอรหันต์ แต่ท่านกลับบอกว่า เวลานี้พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว เราจะพบกันได้ยังไง การที่พูดกันว่าพระพุทธเจ้าสอนนั้น พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ ในเวลานี้เป็นไปไม่ได้ เพราะท่านนิพพานไปแล้ว สลายไปแล้วมาไม่ได้ เป็นอันว่าพระองค์นั้นเป็น พระกังหัน คือมีอารมณ์หมุนไม่รู้จักจบ เอาล่ะเรื่องอารัมภบทงดเอาไว้ซะที

ต่อแต่นี้ไปก็จะขอพูดกันถึงอนุสสติที่เราจะพึงเข้าถึง แต่ทั้งนี้ท่านทั้งหลาย อย่าลืมว่าวิธีการเจริญพระกรรมฐานที่จะให้ได้ผลดี มีผลดีด้วย แล้วผลทรงตัวด้วย จิตจะสะอาดรวดเร็วด้วย เข้าถึงจุดหมายปลายทางเร็วด้วย นั่นก็คือต้องใช้การ อนุโลม และ ปฏิโลม คำว่า อนุโลม คือพิจารณามาตามลำดับ ใช้อารมณ์ไปมาตามลำดับ นับตั้งแต่กรรมฐานกองแรกที่เราเจริญ อันนี้เราจะทิ้งไม่ได้ พิจารณาเรื่อยมาจนกระทั่งถึงองค์สุดท้าย จากสุดท้ายแล้วก็ถอยหลังกลับไปหาองค์ต้น คำว่า อนุสสติ แปลว่า ตามระลึกนึกถึง

(มีต่อ  คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง อนุสสติ 3 ตอนที่ 1.2 https://pantip.com/topic/43695622 )
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่