(ต่อจาก หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 11.1 https://pantip.com/topic/43135967 )
อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 11.2

เป็นอันว่าสำหรับเรื่องสกิทาคามิมรรคในเรื่องทานนี้ ผมจะไม่พูดอะไรมาก เพราะว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าท่านตัดราคะมาเสียได้แล้ว หรือบรรเทาเสียจนกระทั่งมันสยบ เรื่องโลภะ ความโลภ มันจะมาจากทางไหน ก็จะทรงไว้แต่เพียงอาชีพที่มีความสุจริต แต่ก็ไม่ใช่ขี้เกียจ ยังหาเพิ่มเติมตามความจำเป็น แต่ว่าจิตใจของท่านไม่ผูกพันในทรัพย์สิน
จะยกตัวอย่างจริยาของบุคคลในปัจจุบัน ที่การบริจาคทานของท่านพวกนี้มีจริยาคล้ายพระอริยเจ้า นี่ฟังกันให้ดีนะ ผมไม่บอกว่าคนพวกนั้นเป็นพระอริยเจ้า เขาจะเป็นกันหรือไม่เป็นผมไม่รู้ เพราะว่าผมไม่ใช่พระพุทธเจ้า แต่ผมจะบอกว่าเขาพวกนั้นบริจาคทานในการสงเคราะห์คล้ายพระอริยเจ้า นั่นก็คือคนในคณะกรรมการเจ้าหน้าที่ศูนย์ฯของเรา เจ้าหน้าที่ในศูนย์ฯของเรานี่ ผมก็นับตัวไม่ถ้วนเหมือนกันว่าใครบ้าง และว่าบุคคลที่เขาสงเคราะห์มาในศูนย์ฯของเรา คือคำว่าศูนย์ฯของเรานี่ เป็นศูนย์ฯของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณขอร้องให้ผมตั้งขึ้น ศูนย์ฯนี้ต้องชื่อว่าเป็นศูนย์ฯของพระองค์ ไม่ใช่ศูนย์ฯของผม ถ้าศูนย์ฯของผมละก็ ผมทำมานานแล้ว แต่มันเตาะแตะๆ คล้ายกับเด็กสอนเดิน
ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงขอร้องให้ตั้งขึ้น แล้วพระองค์ก็พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์มาหนึ่งแสนบาท มาเป็นการเริ่มต้นของศูนย์ฯ ต่อมาก็พระราชทานอีก 2 ครั้ง เฉพาะเงินรวมแล้ว 2 แสนเศษ เกือบ 3 แสน แล้วยังมีสิ่งของที่คนอื่นเขาโดยเสด็จพระราชประสงค์อีกมากมาย เมื่อใครเขามอบของพระองค์ก็จะทรงพระราชทานมาให้ ฉะนั้นศูนย์ฯนี้จึงชื่อว่าเป็นศูนย์ฯของพระองค์
นี่การพระราชทานทรัพย์สงเคราะห์กับคนยากจนในถิ่นทุรกันดารหรือไม่กันดารก็ตาม อย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี และเช่นกับบุคคลทั้งหลายที่เขาสงเคราะห์ร่วมมากับศูนย์ฯก็ดี เจ้าหน้าที่ทั้งสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษที่ช่วยเราทำงานทุกอย่าง เธอทำงานกันไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย ไม่มีสินจ้างรางวัลใดๆ แล้วก็สละทรัพย์ส่วนตนเสียค่ารถ ค่าพาหนะ ค่าอาหาร ในการมาทำการช่วย จัดการงานของศูนย์ฯก็ดี หรือว่าไปช่วยแจกของแก่คนที่ยากจนในถิ่นทุรกันดารก็ดี เธอทั้งหลายเหล่านั้นไม่เคยเอาเปรียบศูนย์ฯ คำว่าเอาเปรียบศูนย์ฯก็หมายความว่า ไม่ทำงานแต่ว่ารับเงินค่าจ้าง เงินค่าจ้างพวกเธอเองทั้งหมดไม่เคยรับ ผมก็ไม่เคยให้ และนอกจากพวกเธอจะทำงานกันอย่างแข็งแรงอย่างคาดไม่ถึง ก็ยังเสียสละทรัพย์ส่วนตัว ร่วมกิจการของศูนย์ฯในการแจก นอกจากนั้น ค่ารถค่าพาหนะต่างๆ ค่าโดยสารที่ต้องเช่ารถเขาไป เธอก็ออกกันเอง ค่าอาหารการบริโภคเธอก็ออกกันเอง
แล้วเราไปดูน้ำใจของบุคคลทั้งหลายเหล่านี้ที่เขาทำ เขาทำน่ะ เขาหวังผลตอบแทนหรือเปล่า ที่เป็นวัตถุ ว่าการให้แล้วคนพวกนี้จะต้องมายกมือไหว้ มาขอบคุณยอคุณหรือต้องชำระหนี้ หรือต้องเอาของมาให้เป็นการตอบแทน และการให้กับคนทั้งหลายเหล่านั้น เราไม่รู้จักมาก่อน การที่จะไปทวงบุญทวงคุณนั้นมันเป็นไปไม่ได้ ก็ต้องดูตัวอย่างน้ำพระทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี สมาชิกคือจากบุคคลผู้มีศรัทธาสงเคราะห์ศูนย์ฯก็ดี เจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯของเราก็ดี ที่ทำงานกันเป็นสาธารณะประโยชน์โดยไม่หวังผลตอบแทน จริยาการให้ทานแบบนี้เป็นจริยาของพระอริยเจ้า ถ้าจะกล่าวกันไปก็มีจริยาคล้ายกับจริยาของนางวิสาขามหาอุบาสิกา หรือท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ถ้าอารมณ์แห่งการให้มีอย่างนี้ละก็ ให้โดยไม่หวังผลตอบแทนอย่างหนึ่ง
ทีนี้อีกประการหนึ่ง เด็กของเราหลายคนมีน้ำจิตน้ำใจเป็นกุศล ถึงกับอยากจะลาออกจากราชการมาทำงานของศูนย์ฯที่ไม่มีผลตอบแทน ไม่มีเงินเดือน ไม่มีเบี้ยเลี้ยง นี่พวกเธอเสียสละกันขนาดนี้ น้ำใจอย่างนี้แหละเป็นน้ำใจที่ตัดโลภะ ความโลภ และเป็นน้ำใจที่ตัดความโลภเช่นเดียวกับพระอริยเจ้าทั้งหลาย ฉะนั้นผมจะไม่แนะนำอะไรมาก หากว่าท่านไม่เข้าใจละก็ จงดูตัวอย่างบรรดาเด็กหญิงและเด็กชาย แต่ของเราผู้ชายน้อยผู้หญิงมาก เด็กๆ ที่มาทำงานเพื่อศูนย์ฯ ทำงานสงเคราะห์คนผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร ถึงวันเวลาบางคนก็รับราชการ มีหน้าที่ตำแหน่งสูง จนกระทั่งถึงเป็นนายพล แต่เขาทุกคนพวกนั้นเวลาทำงานก็ทำงานอย่างกุลี เข้าไปคลุกคลีกับคนทุกคนอย่างไม่ถือเนื้อถือตัว ไม่แสดงความรังเกียจว่าคนทั้งหลายเหล่านั้นจะเป็นคนจน จะมีฐานะเช่นใด ใจของท่านทั้งหลายเหล่านั้นเต็มไปด้วยความโอบอ้อมอารี มีความเมตตาปรานี หวังในการสงเคราะห์ แล้วก็คนทุกคนที่ทำงานไม่มีเงินเดือน ไม่มีเบี้ยเลี้ยง ออกค่ากินเอง ออกค่าพาหนะเอง นี่ตัวอย่างของบรรดาท่านทั้งหลายที่ช่วยกันทำงานของศูนย์ฯ เป็นตัวอย่างที่ดี เป็นจริยาที่แสดงเห็นว่า จิตของท่านทั้งหลายเหล่านั้นมีโลภะอันขาดแล้ว หมายความว่ามีความโลภในด้านอกุศลอันขาดแล้ว
โลภะ แปลว่า ได้มา ต้องเพ่งเอา 2 ประการ คือได้มาด้วยความโลภ คือเป็นการทำลายความดี และได้มาด้วยความสุจริต ถ้าเขาได้มาด้วยความสุจริต คนเป็นพลทหาร พลตำรวจ เขาทำความดีจนกระทั่งเลื่อนขึ้นเป็นนายพล อย่างนี้ไม่ใช่ความโลภ เป็นสัมมาอาชีวะ คนที่ประกอบกิจการงานในการค้าการขาย ทำไร่ทำนา หรือว่ารับจ้าง เขาสร้างความดีจนมีฐานะร่ำรวย อย่างนี้ไม่ใช่ความโลภ เป็นสัมมาอาชีวะ พระอริยเจ้ายังต้องทำ อย่าว่าแต่พระสกิทาคามีหรือพระโสดาเลย ถึงแม้ว่าพระอนาคามีก็ทำ สำหรับพระที่เป็นพระอรหันต์ท่านก็ทำ
อย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสงเคราะห์บรรดาประชาชนทั้งหลาย จนกระทั่งเขามีความเลื่อมใสในพระองค์ ถวายของเข้ามาราคามากแสนมาก สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงรับ แต่รับแล้วองค์สมเด็จพระประทีปแก้วไม่ได้ไปสั่งสมเพื่อความอยู่เป็นสุข คือหมายความว่าเป็นผู้ร่ำรวยแต่ผู้เดียว กลับเอาของทั้งหลายเหล่านั้นปล่อยให้เป็นสาธารณะประโยชน์ เพื่อความสุขของบุคคลส่วนใหญ่
สำหรับเรื่องความโลภนี่ วิธีตัด เขาก็ตัดกันด้วยการให้ทาน ไม่ใช่ตัดกันด้วยความละโมบโลภมาก อันนี้ผมพูดวันเดียว ให้ดูตัวอย่างเด็กๆ ที่มาทำงานก็แล้วกัน อธิบายไปมันก็ยุ่ง พูดกันมาเยอะแยะแล้ว เป็นอันว่า สำหรับพระสกิทาคามี เริ่มต้นตั้งแต่พระโสดาบัน พระโสดาบันลดความโลภ คือการหามาด้วยการทุจริต จะหาแต่เฉพาะสุจริตธรรมเท่านั้น มีจิตเมตตาปรารถนาจะเกื้อกูลบุคคลทุกคนให้มีความสุข แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน อย่างนางวิสาขามหาอุบาสิกา หรือท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีท่านทั้งสองนี้ให้ทานไม่จำกัด สำหรับท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี จนลงไปถึงกับข้าวที่เป็นเมล็ดไม่มีกิน ต้องกินข้าวปลายเกวียน คือปลายข้าวผสมกับน้ำผักดอง เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเสด็จไป ท่านก็ไม่ลดทานของท่าน เคยถวายสงฆ์วันละ 500 องค์เพียงใดท่านก็ถวายเพียงนั้น แม้แต่กับข้าว ข้าวมันจะไม่ดีท่านก็เห็นว่าไม่สำคัญ ใจของท่านเต็มเปี่ยมไปด้วยการให้ทาน นี่เป็นตัวอย่างว่าความโลภที่เราจะตัดกันได้ เพราะอาศัยการให้ทาน จิตมีความสงสาร ปรารถนาในการสงเคราะห์ และการให้ทานนั้น เป็นการให้ที่ไม่หวังผลในการตอบแทน
สำหรับโลภะนี่ผมจะไม่สอนตามลำดับ เพราะไม่เห็นมีอะไร เพราะว่าถ้าเราบรรเทาความรักในระหว่างเพศเสียได้ ก็ชื่อว่าเราบรรเทาความโลภไปด้วย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะตัวรักกับตัวโลภนี่เป็นตัวเดียวกัน ฉะนั้นวิธีที่จะสอนก็ไม่สอนอะไรมาก ให้คิดแต่เพียงว่า จิตคิดอยู่ว่า เราจะสงเคราะห์คนและสัตว์ให้มีความสุข ไม่ใช่คิดจะเอาเปรียบจะเอากำไร การแสวงหารายได้จะหาได้โดยชอบธรรมเท่านั้น สิ่งใดที่ไม่เป็นไปโดยชอบธรรมเราจะไม่หา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับท่านที่ปฏิบัติพระกรรมฐาน เริ่มต้นตั้งแต่จะปฏิบัติพระกรรมฐานเป็นต้นมา พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า
พระโยคาวจร เป็นผู้ที่มีความประพฤติประกอบไปด้วยความดี จะต้องพยายามตัดทั้งราคะ พยายามตัดทั้งโลภะ พยายามตัดทั้งความโกรธ พยายามตัดทั้งความหลง
สำหรับเรื่องพระโสดาบันหรือพระสกิทาคามี ผมก็ของดพูดแต่เพียงเท่านี้ เพราะว่าตัวอย่างมีอยู่แล้ว ถ้าจะพูดไปก็ไร้ประโยชน์ ขอย้ำอีกนิดหนึ่งว่า ดูตัวอย่างพวกเด็กๆ ที่มาทำงานเพื่อศูนย์ฯ เธอทำงานกันเหน็ดเหนื่อย เธอจ่ายของเธอเอง ค่าเดินทางมาเดินทางไป กินระหว่างทาง บางทีมาถึงที่วัดเธอก็ซื้อกินของเธอเอง และการไปแจกของเป็นส่วนสาธารณะประโยชน์ เธอก็ต้องเสียค่าพาหนะเอง แล้วเธอก็ยังเสียสละสตางค์เอามาช่วยผมอีก เพราะเกรงว่าหลวงพ่อจะขาดทุน แต่ความจริงถ้าพวกเธอไม่เรียกค่าจ้าง มันก็เป็นบุญอยู่แล้ว เธอยังกลัวขาดทุน นี่แสดงว่าน้ำใจของเธอพวกนี้มีจริยาในการให้ทานคล้ายพระอริยเจ้า อย่าลืมนะว่าผมพูดว่า คล้ายพระอริยเจ้า ผมไม่ได้บอกว่า พวกเธอเป็นพระอริยเจ้า เพราะการจะบอกอย่างนั้นเป็นเรื่องขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ผู้เดียว
เอาละสำหรับวันนี้ ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอทุกท่านพยายามตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย ตามสมควรแก่เวลาที่ท่านเห็นว่าสมควรจะเลิก
สวัสดี
หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 11.2
อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 11.2
เป็นอันว่าสำหรับเรื่องสกิทาคามิมรรคในเรื่องทานนี้ ผมจะไม่พูดอะไรมาก เพราะว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าท่านตัดราคะมาเสียได้แล้ว หรือบรรเทาเสียจนกระทั่งมันสยบ เรื่องโลภะ ความโลภ มันจะมาจากทางไหน ก็จะทรงไว้แต่เพียงอาชีพที่มีความสุจริต แต่ก็ไม่ใช่ขี้เกียจ ยังหาเพิ่มเติมตามความจำเป็น แต่ว่าจิตใจของท่านไม่ผูกพันในทรัพย์สิน
จะยกตัวอย่างจริยาของบุคคลในปัจจุบัน ที่การบริจาคทานของท่านพวกนี้มีจริยาคล้ายพระอริยเจ้า นี่ฟังกันให้ดีนะ ผมไม่บอกว่าคนพวกนั้นเป็นพระอริยเจ้า เขาจะเป็นกันหรือไม่เป็นผมไม่รู้ เพราะว่าผมไม่ใช่พระพุทธเจ้า แต่ผมจะบอกว่าเขาพวกนั้นบริจาคทานในการสงเคราะห์คล้ายพระอริยเจ้า นั่นก็คือคนในคณะกรรมการเจ้าหน้าที่ศูนย์ฯของเรา เจ้าหน้าที่ในศูนย์ฯของเรานี่ ผมก็นับตัวไม่ถ้วนเหมือนกันว่าใครบ้าง และว่าบุคคลที่เขาสงเคราะห์มาในศูนย์ฯของเรา คือคำว่าศูนย์ฯของเรานี่ เป็นศูนย์ฯของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณขอร้องให้ผมตั้งขึ้น ศูนย์ฯนี้ต้องชื่อว่าเป็นศูนย์ฯของพระองค์ ไม่ใช่ศูนย์ฯของผม ถ้าศูนย์ฯของผมละก็ ผมทำมานานแล้ว แต่มันเตาะแตะๆ คล้ายกับเด็กสอนเดิน
ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงขอร้องให้ตั้งขึ้น แล้วพระองค์ก็พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์มาหนึ่งแสนบาท มาเป็นการเริ่มต้นของศูนย์ฯ ต่อมาก็พระราชทานอีก 2 ครั้ง เฉพาะเงินรวมแล้ว 2 แสนเศษ เกือบ 3 แสน แล้วยังมีสิ่งของที่คนอื่นเขาโดยเสด็จพระราชประสงค์อีกมากมาย เมื่อใครเขามอบของพระองค์ก็จะทรงพระราชทานมาให้ ฉะนั้นศูนย์ฯนี้จึงชื่อว่าเป็นศูนย์ฯของพระองค์
นี่การพระราชทานทรัพย์สงเคราะห์กับคนยากจนในถิ่นทุรกันดารหรือไม่กันดารก็ตาม อย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี และเช่นกับบุคคลทั้งหลายที่เขาสงเคราะห์ร่วมมากับศูนย์ฯก็ดี เจ้าหน้าที่ทั้งสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษที่ช่วยเราทำงานทุกอย่าง เธอทำงานกันไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย ไม่มีสินจ้างรางวัลใดๆ แล้วก็สละทรัพย์ส่วนตนเสียค่ารถ ค่าพาหนะ ค่าอาหาร ในการมาทำการช่วย จัดการงานของศูนย์ฯก็ดี หรือว่าไปช่วยแจกของแก่คนที่ยากจนในถิ่นทุรกันดารก็ดี เธอทั้งหลายเหล่านั้นไม่เคยเอาเปรียบศูนย์ฯ คำว่าเอาเปรียบศูนย์ฯก็หมายความว่า ไม่ทำงานแต่ว่ารับเงินค่าจ้าง เงินค่าจ้างพวกเธอเองทั้งหมดไม่เคยรับ ผมก็ไม่เคยให้ และนอกจากพวกเธอจะทำงานกันอย่างแข็งแรงอย่างคาดไม่ถึง ก็ยังเสียสละทรัพย์ส่วนตัว ร่วมกิจการของศูนย์ฯในการแจก นอกจากนั้น ค่ารถค่าพาหนะต่างๆ ค่าโดยสารที่ต้องเช่ารถเขาไป เธอก็ออกกันเอง ค่าอาหารการบริโภคเธอก็ออกกันเอง
แล้วเราไปดูน้ำใจของบุคคลทั้งหลายเหล่านี้ที่เขาทำ เขาทำน่ะ เขาหวังผลตอบแทนหรือเปล่า ที่เป็นวัตถุ ว่าการให้แล้วคนพวกนี้จะต้องมายกมือไหว้ มาขอบคุณยอคุณหรือต้องชำระหนี้ หรือต้องเอาของมาให้เป็นการตอบแทน และการให้กับคนทั้งหลายเหล่านั้น เราไม่รู้จักมาก่อน การที่จะไปทวงบุญทวงคุณนั้นมันเป็นไปไม่ได้ ก็ต้องดูตัวอย่างน้ำพระทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี สมาชิกคือจากบุคคลผู้มีศรัทธาสงเคราะห์ศูนย์ฯก็ดี เจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯของเราก็ดี ที่ทำงานกันเป็นสาธารณะประโยชน์โดยไม่หวังผลตอบแทน จริยาการให้ทานแบบนี้เป็นจริยาของพระอริยเจ้า ถ้าจะกล่าวกันไปก็มีจริยาคล้ายกับจริยาของนางวิสาขามหาอุบาสิกา หรือท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ถ้าอารมณ์แห่งการให้มีอย่างนี้ละก็ ให้โดยไม่หวังผลตอบแทนอย่างหนึ่ง
ทีนี้อีกประการหนึ่ง เด็กของเราหลายคนมีน้ำจิตน้ำใจเป็นกุศล ถึงกับอยากจะลาออกจากราชการมาทำงานของศูนย์ฯที่ไม่มีผลตอบแทน ไม่มีเงินเดือน ไม่มีเบี้ยเลี้ยง นี่พวกเธอเสียสละกันขนาดนี้ น้ำใจอย่างนี้แหละเป็นน้ำใจที่ตัดโลภะ ความโลภ และเป็นน้ำใจที่ตัดความโลภเช่นเดียวกับพระอริยเจ้าทั้งหลาย ฉะนั้นผมจะไม่แนะนำอะไรมาก หากว่าท่านไม่เข้าใจละก็ จงดูตัวอย่างบรรดาเด็กหญิงและเด็กชาย แต่ของเราผู้ชายน้อยผู้หญิงมาก เด็กๆ ที่มาทำงานเพื่อศูนย์ฯ ทำงานสงเคราะห์คนผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร ถึงวันเวลาบางคนก็รับราชการ มีหน้าที่ตำแหน่งสูง จนกระทั่งถึงเป็นนายพล แต่เขาทุกคนพวกนั้นเวลาทำงานก็ทำงานอย่างกุลี เข้าไปคลุกคลีกับคนทุกคนอย่างไม่ถือเนื้อถือตัว ไม่แสดงความรังเกียจว่าคนทั้งหลายเหล่านั้นจะเป็นคนจน จะมีฐานะเช่นใด ใจของท่านทั้งหลายเหล่านั้นเต็มไปด้วยความโอบอ้อมอารี มีความเมตตาปรานี หวังในการสงเคราะห์ แล้วก็คนทุกคนที่ทำงานไม่มีเงินเดือน ไม่มีเบี้ยเลี้ยง ออกค่ากินเอง ออกค่าพาหนะเอง นี่ตัวอย่างของบรรดาท่านทั้งหลายที่ช่วยกันทำงานของศูนย์ฯ เป็นตัวอย่างที่ดี เป็นจริยาที่แสดงเห็นว่า จิตของท่านทั้งหลายเหล่านั้นมีโลภะอันขาดแล้ว หมายความว่ามีความโลภในด้านอกุศลอันขาดแล้ว
โลภะ แปลว่า ได้มา ต้องเพ่งเอา 2 ประการ คือได้มาด้วยความโลภ คือเป็นการทำลายความดี และได้มาด้วยความสุจริต ถ้าเขาได้มาด้วยความสุจริต คนเป็นพลทหาร พลตำรวจ เขาทำความดีจนกระทั่งเลื่อนขึ้นเป็นนายพล อย่างนี้ไม่ใช่ความโลภ เป็นสัมมาอาชีวะ คนที่ประกอบกิจการงานในการค้าการขาย ทำไร่ทำนา หรือว่ารับจ้าง เขาสร้างความดีจนมีฐานะร่ำรวย อย่างนี้ไม่ใช่ความโลภ เป็นสัมมาอาชีวะ พระอริยเจ้ายังต้องทำ อย่าว่าแต่พระสกิทาคามีหรือพระโสดาเลย ถึงแม้ว่าพระอนาคามีก็ทำ สำหรับพระที่เป็นพระอรหันต์ท่านก็ทำ
อย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสงเคราะห์บรรดาประชาชนทั้งหลาย จนกระทั่งเขามีความเลื่อมใสในพระองค์ ถวายของเข้ามาราคามากแสนมาก สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงรับ แต่รับแล้วองค์สมเด็จพระประทีปแก้วไม่ได้ไปสั่งสมเพื่อความอยู่เป็นสุข คือหมายความว่าเป็นผู้ร่ำรวยแต่ผู้เดียว กลับเอาของทั้งหลายเหล่านั้นปล่อยให้เป็นสาธารณะประโยชน์ เพื่อความสุขของบุคคลส่วนใหญ่
สำหรับเรื่องความโลภนี่ วิธีตัด เขาก็ตัดกันด้วยการให้ทาน ไม่ใช่ตัดกันด้วยความละโมบโลภมาก อันนี้ผมพูดวันเดียว ให้ดูตัวอย่างเด็กๆ ที่มาทำงานก็แล้วกัน อธิบายไปมันก็ยุ่ง พูดกันมาเยอะแยะแล้ว เป็นอันว่า สำหรับพระสกิทาคามี เริ่มต้นตั้งแต่พระโสดาบัน พระโสดาบันลดความโลภ คือการหามาด้วยการทุจริต จะหาแต่เฉพาะสุจริตธรรมเท่านั้น มีจิตเมตตาปรารถนาจะเกื้อกูลบุคคลทุกคนให้มีความสุข แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน อย่างนางวิสาขามหาอุบาสิกา หรือท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีท่านทั้งสองนี้ให้ทานไม่จำกัด สำหรับท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี จนลงไปถึงกับข้าวที่เป็นเมล็ดไม่มีกิน ต้องกินข้าวปลายเกวียน คือปลายข้าวผสมกับน้ำผักดอง เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเสด็จไป ท่านก็ไม่ลดทานของท่าน เคยถวายสงฆ์วันละ 500 องค์เพียงใดท่านก็ถวายเพียงนั้น แม้แต่กับข้าว ข้าวมันจะไม่ดีท่านก็เห็นว่าไม่สำคัญ ใจของท่านเต็มเปี่ยมไปด้วยการให้ทาน นี่เป็นตัวอย่างว่าความโลภที่เราจะตัดกันได้ เพราะอาศัยการให้ทาน จิตมีความสงสาร ปรารถนาในการสงเคราะห์ และการให้ทานนั้น เป็นการให้ที่ไม่หวังผลในการตอบแทน
สำหรับโลภะนี่ผมจะไม่สอนตามลำดับ เพราะไม่เห็นมีอะไร เพราะว่าถ้าเราบรรเทาความรักในระหว่างเพศเสียได้ ก็ชื่อว่าเราบรรเทาความโลภไปด้วย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะตัวรักกับตัวโลภนี่เป็นตัวเดียวกัน ฉะนั้นวิธีที่จะสอนก็ไม่สอนอะไรมาก ให้คิดแต่เพียงว่า จิตคิดอยู่ว่า เราจะสงเคราะห์คนและสัตว์ให้มีความสุข ไม่ใช่คิดจะเอาเปรียบจะเอากำไร การแสวงหารายได้จะหาได้โดยชอบธรรมเท่านั้น สิ่งใดที่ไม่เป็นไปโดยชอบธรรมเราจะไม่หา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับท่านที่ปฏิบัติพระกรรมฐาน เริ่มต้นตั้งแต่จะปฏิบัติพระกรรมฐานเป็นต้นมา พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า พระโยคาวจร เป็นผู้ที่มีความประพฤติประกอบไปด้วยความดี จะต้องพยายามตัดทั้งราคะ พยายามตัดทั้งโลภะ พยายามตัดทั้งความโกรธ พยายามตัดทั้งความหลง
สำหรับเรื่องพระโสดาบันหรือพระสกิทาคามี ผมก็ของดพูดแต่เพียงเท่านี้ เพราะว่าตัวอย่างมีอยู่แล้ว ถ้าจะพูดไปก็ไร้ประโยชน์ ขอย้ำอีกนิดหนึ่งว่า ดูตัวอย่างพวกเด็กๆ ที่มาทำงานเพื่อศูนย์ฯ เธอทำงานกันเหน็ดเหนื่อย เธอจ่ายของเธอเอง ค่าเดินทางมาเดินทางไป กินระหว่างทาง บางทีมาถึงที่วัดเธอก็ซื้อกินของเธอเอง และการไปแจกของเป็นส่วนสาธารณะประโยชน์ เธอก็ต้องเสียค่าพาหนะเอง แล้วเธอก็ยังเสียสละสตางค์เอามาช่วยผมอีก เพราะเกรงว่าหลวงพ่อจะขาดทุน แต่ความจริงถ้าพวกเธอไม่เรียกค่าจ้าง มันก็เป็นบุญอยู่แล้ว เธอยังกลัวขาดทุน นี่แสดงว่าน้ำใจของเธอพวกนี้มีจริยาในการให้ทานคล้ายพระอริยเจ้า อย่าลืมนะว่าผมพูดว่า คล้ายพระอริยเจ้า ผมไม่ได้บอกว่า พวกเธอเป็นพระอริยเจ้า เพราะการจะบอกอย่างนั้นเป็นเรื่องขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ผู้เดียว
เอาละสำหรับวันนี้ ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอทุกท่านพยายามตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย ตามสมควรแก่เวลาที่ท่านเห็นว่าสมควรจะเลิก สวัสดี