‘ชัยธวัช’ เผย โยน กก.กลั่นกรอง เคาะปมนิรโทษกรรม ม.112-คดีละเอียดอ่อน หลังมีข้อเสนอ 2 แนวทาง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4613236
‘ชัยธวัช’ เผย โยน กก.กลั่นกรอง เคาะปมนิรโทษกรรม ม.112-คดีละเอียดอ่อน หลังมีข้อเสนอ 2 แนวทาง
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 6 มิถุนายน ที่รัฐสภา นาย
ชัยธวัช ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุม กมธ. ในช่วงบ่ายวันนี้ (6 มิ.ย.) ว่า กมธ.จะพิจารณารายงานของคณะอนุกรรมาธิการ ที่ศึกษาในประเด็นต่างๆ รวมถึงประเด็นข้อเสนอของคณะกรรมการกลั่นกรองคดีนิรโทษกรรม ที่มีข้อถกเถียง และความละเอียดอ่อน ทั้งนี้ ในข้อเสนอขององค์ประกอบของกรรมการกลั่นกรองนั้น ขณะนี้มี 2 แนวทาง คือ แนวแรก เห็นว่ากรรมการกลั่นกรองควรมาจากสภา ให้ประธานสภาเป็นประธานกรรมการ และมีตัวแทนของฝ่ายค้าน ฝ่ายรรัฐบาล ผู้เชี่ยวชาญ กรรมการสิทธิมนุษยชน บุคคลที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรม และแนวทางสอง กรรมการที่มาจากฝ่ายบริหาร ให้นายกฯ หรือ รมว.ยุติธรรมเป็นประธาน และมีตัวแทนจากผู้เชี่ยวชาญ ตัวแทนจากสภาร่วมด้วย ทั้งนี้ ในข้อเสนอให้มาจากฝั่งบริหารเพื่อสะดากต่อการใช้งบประมาณและการติดต่อประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งที่ประชุมจะพิจารณาหาข้อสรุปในเรื่องดังกล่าวเป็นหลัก
เมื่อถามถึงประเด็นที่มีการโต้แย้งในกรณีการนิรโทษกรรมมาตรา 112 ที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 นาย
ชัยธวัชกล่าวว่า กมธ.ไม่ได้พูดคุยเรื่องมาตรา 6 ทั้งนี้ การนิรโทษกรรมมาตรา 112 นั้นเคยเกิดขึ้นมาแล้วในระบบกฎหมายไทย ทั้งนี้ มีสิ่งที่เป็นประเด็นมากกว่า คือ เมื่อเกิดข้อถกเถียง จะมีข้อเสนออย่างไร เพื่อทำให้เกิดกระบวนการยอมรับได้เรื่องนิรโทษกรรม
“
มีการเสนอแอมเนสตี้โปรแกรม โครงการนิรโทษกรรมให้กับคดีบางประเภท ไม่เฉพาะมาตรา 112 เท่านั้น เพราะมีคดีอื่นๆ เช่น คดีทำผิดต่อชีวิตและร่างกาย ซึ่งปกติไม่ควรได้นิรโทษกรรม เพราะถือว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง เช่น กรณีปาระเบิดใส่กลุ่ม กปปส. ที่เคยถามตัวแทนแกนนำ กปปส.ว่ากรณีดังกล่าวยอมให้อภัยหรือไม่ ซึ่งเขาระบุว่ายอมให้อภัย ดังนั้นการจะได้นิรโทษกรรมอัตโนมัตินั้นไม่เหมาะสม ดังนั้นควรมีกระบวนการ อย่าคิดแต่เฉพาะ มาตรา 112 ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ามีข้อถกเถียงเยอะ แต่การนิรโทษกรรมมาตรา 112 เคยเกิดขึ้นในสังคมอย่ามองไกลว่าขัดมาตรา 6 เพราะเป็นคนละเรื่อง” นาย
ชัยธวัชกล่าว
เมื่อถามย้ำว่า กรรมการกลั่นกรองจะทำหน้าที่พิจารณานิรโทษกรรม คดีมาตรา 112 และคดีละเอียดอ่อนแทน กมธ.ใช่หรือไม่ นาย
ชัยธวัชกล่าวว่า กรรมการจะเป็นองค์กรหลักพิจารณา เพราะสภาพข้อเท็จจริงที่กำหนดช่วงการนิรโทษกรรม ซึ่งกินเวลา 20 ปี มีความหลากหลายของคดีจำนวนมาก อีกทั้งความผิดบางฐาน เช่น ผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ในรายละเอียดไม่มีเฉพาะเรื่องการเมืองเท่านั้น จึงต้องมีกรรมการกลั่นกรองเรื่องว่าเรื่องใดเกี่ยวกับการเมืองหรือไม่ ทั้งนี้ กลไกของกรรมการต้องทำงานให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ตรวจสอบได้
เมื่อถามว่าการศึกษาของ กมธ.ในตอนท้ายสังคมจะยอมรับได้ใช่หรือไม่ นาย
ชัยธวัชกล่าวว่า ต้องรอดูข้อสรุปว่าเป็นอย่างไร ทั้งนี้ เป็นความพยายามแสวงหาความเห็นร่วมในสภา ที่มาจากหลายพรรคการเมือง ทั้งนี้ ในกระบวนการแอมเนสตี้โปรแกรม ที่อนุกรรมการเสนอ มีรายละเอียด เช่น กระบวนการยอมรับผิด เปิดเผยข้อเท็จจริง รวมถึงการฝ่าฝืนจะถูกยกเลิกสิทธินิรโทษกรรม เป็นต้น ซึ่ง กมธ.ชุดใหญ่จะพิจารณาสรุปในรายละเอียดอีกครั้ง
ชัยธวัช หวั่นเลือกส.ว. ถูกล้มกระดาน ข้องใจชุดเก่า ทำไมเพิ่งโวย ตอนจะหมดอำนาจ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4613292
“ชัยธวัช” กังวลศาลรธน.รับคำร้อง พ.ร.ป.เลือกสว.ขัดรธน. หวั่นได้สว.ชุดใหม่ช้า ซัดชุดเก่าเคลื่อนไหวล้มกระดานหวังอยู่ยาว ข้องใจทำไมไม่โวยวายตั้งแต่แรกว่าสว.ไม่ได้มาจากปชช.
เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 6 มิถุนายน 2567 ที่รัฐสภา นาย
ชัยธวัช ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการเลือกส.ว. ที่ศาลรัฐธรรมนูญรับวินิจฉัยคำร้องเกี่ยวกับ พ.ร.ป.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว.มองว่า การเลือกส.ว.จะผ่านพ้นไปด้วยดีหรือไม่ว่า ต้องยอมรับว่า มีข้อกังวล เพราะดูเหมือน จะมีปัญหา ตลอดรายทาง และอาจจะเป็นช่องโหว่ ที่ทำให้เกิดการฟ้องร้อง ร้องเรียน จนกระทั่ง ทำให้การประกาศผลส.ว.ชุดใหม่เกิดขึ้นได้อย่างล่าช้า หรืออาจจะถูกล้มไปเลยหรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมกังวลอยู่ แม้พรรคก้าวไกลจะไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง แต่ก็จับตาดูอยู่ เพราะจะมีผลทำให้ไม่ได้ส.ว.ชุดใหม่เสียที เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดชัดเจนว่า เมื่อมีกระบวนการเลือกส.ว.แล้ว คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะต้องรับรอง และประกาศรายชื่อส.ว.ชุดใหม่ภายในกี่วันเหมือนกับส.ส. เมื่อไม่มีการกำหนดที่ชัดเจนก็หมายความว่า ถ้ากระบวนการ มีการร้องเรียนเข้ามาแทรก จนทำให้กกต. ไม่สามารถประกาศรายชื่อได้ก็เท่ากับว่า ส.ว.ชุดเดิมก็จะเป็นส.ว.ไปเรื่อยๆ ซึ่งไม่น่าจะดีมากนัก
เมื่อถามว่า การที่ศาลรับเรื่องร้องเรียนดังกล่าวแล้วกฎหมายลูกต้องแก้ไขกระบวนการเลือกส.ว. อาจต้องยาวนาน 1-2 ปี ซึ่งอาจทำให้ผลกระทบทางการเมืองตามมา นาย
ชัยธวัช กล่าวว่า ถ้ามีผลกระทบก็จะทำให้ส.ว.ชุดเก่าทำหน้าที่ไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมไม่น่าอยากเห็น ซึ่งตนหวังว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่วินิจฉัยว่าพ.ร.ป.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าการได้มาซึ่งส.ว.ขัดรัฐธรรมนูญ เพราะพ.ร.ป.ก็บังคับใช้มาตั้งนานแล้ว
ต่อข้อถามว่า จะมีการเรียกร้องไปยังกลุ่มส.ว.ชุดเดิม ที่มีการเคลื่อนไหวที่อาจจะนำไปสู่การล้มกระดานเลือกส.ว.หรือไม่ นาย
ชัยธวัช กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่า มีใครบ้างที่เคลื่อนไหว แต่อาจจะต้องระมัดระวังเพราะอาจถูกมองว่า เป็นการที่จะเตะถ่วงที่จะให้ตัวเองอยู่ในอำนาจไปเรื่อยๆ จริงๆ แล้วถ้าจะถามว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาที่ใครก็ต้องโยนความผิดให้คสช. และคนที่ร่างรัฐธรรมนูญ เพราะไม่ว่า จะเป็นพ.ร.ป.ประกอบรัฐธรรมนูญ และระเบียบต่างๆ เป็นผลมาจากการออกแบบรัฐธรรมนูญ จนทำให้กลไกในการได้มาซึ่งส.ว. ไม่สมเหตุสมผลตั้งแต่ต้น ซึ่งถือเป็นต้นทาง
“
ผมคิดว่า ถ้าคนที่เห็นดีเห็นงามกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ กับการออกแบบส.ว.ตั้งแต่ต้น และปกป้องรัฐธรรมนูญปี 60 ตั้งแต่ต้น พอมาถึงจังหวะที่ตนเองจะต้องหมดอำนาจ ไปตามกลไกรัฐธรรมนูญ ผมคิดว่า ไม่น่าจะเหมาะสม เพราะไม่เคยเห็นส.ว.ชุดเดิมโวยวายตั้งแต่แรกว่าที่มาของส.ว.ไม่ควรเป็นแบบนี้ มีแต่ประชาชน และนักการเมืองบางส่วนไม่เห็นด้วยที่ส.ว.เป็นแบบนี้ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งประชาชนโดยตรง” นาย
ชัยธวัช กล่าว
ตลาดหุ้นกู้แผ่ว ติดบ่วง ดอกเบี้ยแพง สภาพคล่องฝืด ลุ้นครึ่งปีหลังดีดกลับ
https://www.matichon.co.th/economy/news_4613114
ตลาดหุ้นกู้แผ่ว ติดบ่วง ดอกเบี้ยแพง สภาพคล่องฝืด ลุ้นครึ่งปีหลังดีดกลับ
เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน นาย
พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) เปิดเผยว่า แนวโน้มภาพรวมตลาดตราสารหนี้ไทยของภาคเอกชนระยะยาวหรือหุ้นกู้ระยะยาวในปี 2567 คาดการณ์มีการออกหุ้นกู้อยู่ที่ระดับ 900,000 ล้านบาท ถึง 1 ล้านล้านบาท ซึ่งชะลอตัวเล็กน้อยเมื่อเทียบจากปีที่ผ่านๆมา ที่มีการออกหุ้นกู้มูลค่าเกิน 800,000 ล้านบาท และสูงถึง 1.2 ล้านล้านบาท ซึ่งไตรมาสแรกปี 2567 มีการออกหุ้นกู้มูลค่า 207,000 ล้านบาท ถ้าเทียบกับช่วงเดียวกันกับปี 2563 ที่เกิดโควิด-19 ระบาดที่มีมูลค่า 149,000 ล้านบาท และทั้งปี 2563 มีมูลค่ารวม 674,000 ล้านบาท
ดังนั้นถือว่าปีนี้ดีกว่า แต่น่าจะแย่กว่าปีทั่วไป เนื่องจากมีความกังวลอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงมีความกังวลในตลาดด้วย ทำให้ตลาดตึงตัว ออกยากและมีการกลับไปใช้เงินกู้จากสถาบันการเงินมากขึ้น ขณะเดียวกันเริ่มเห็นสถาบันการเงินเริ่มปล่อยสินเชื่อขนาดใหญ่มากขึ้นเช่นกัน
“
ไตรมาสแรกปีนี้ ตลาดเงียบเหงาลงมาก จากความกังวลดอดเบี้ย ภาวะเศรษฐกิจ สภาพคล่องบริษัท ส่วนใหญ่ที่ออกจะเป็นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม อย่างไรก็ตามตลาดโดยรวมยังไม่น่าห่วง ยังมีความแข็งแกร่ง แม้จะมีบางกรณีมีข่าวไม่ค่อยดี ยังเห็นคนเริ่มออกกันมากขึ้น ถ้าดอกเบี้ยปรับตัวลดลง คงจะทำให้ตลาดกลับมาคึกคักมากขึ้น ตั้งแต่ครึ่งปีหลังปีนี้” นาย
พิพัฒน์กล่าว
หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) เผยอีกว่า แนวโน้มของตลาดหุ้นกู้ ยังเป็นตลาดที่ดี ทั้งสำหรับผู้ออกและผู้ที่จะเลือกลงทุน เนื่องจากได้ระดับอัตราดอกเบี้ยที่ดีกว่าการไปกู้สถาบันการเงินที่ส่วนใหญ่จะให้อัตราดอกเบี้ยในอัตราลอยตัว อย่างไรก็ตามขอให้มองว่าหุ้นกู้เป็นทางเลือกหนึ่งของการลงทุนและระดมทุน
“
สำหรับหุ้นกู้ที่จะครบโรลโอเวอร์มีทุกเดือน โดยเฉลี่ยมีมูลค่าอยู่ที่ 65,000-120,000 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งหุ้นกู้ไฮยีลด์มีไม่มากประมาณ 10-20% ส่วนใหญ่80-90% เป็นหุ้นกู้ในกลุ่ม Investment grade ซึ่งกลุ่มที่ครบดีลมากที่สุด เช่น กลุ่มพลังงาน กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ เป็นต้น” นาย
พิพัฒน์กล่าว
JJNY : ‘ชัยธวัช’เคาะปมนิรโทษกรรม ม.112│ชัยธวัชหวั่นเลือกส.ว.ถูกล้มกระดาน│ตลาดหุ้นกู้แผ่ว│ชาวเมียนมาร่วมงานศพถิ่น อู
https://www.matichon.co.th/politics/news_4613236
‘ชัยธวัช’ เผย โยน กก.กลั่นกรอง เคาะปมนิรโทษกรรม ม.112-คดีละเอียดอ่อน หลังมีข้อเสนอ 2 แนวทาง
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 6 มิถุนายน ที่รัฐสภา นายชัยธวัช ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุม กมธ. ในช่วงบ่ายวันนี้ (6 มิ.ย.) ว่า กมธ.จะพิจารณารายงานของคณะอนุกรรมาธิการ ที่ศึกษาในประเด็นต่างๆ รวมถึงประเด็นข้อเสนอของคณะกรรมการกลั่นกรองคดีนิรโทษกรรม ที่มีข้อถกเถียง และความละเอียดอ่อน ทั้งนี้ ในข้อเสนอขององค์ประกอบของกรรมการกลั่นกรองนั้น ขณะนี้มี 2 แนวทาง คือ แนวแรก เห็นว่ากรรมการกลั่นกรองควรมาจากสภา ให้ประธานสภาเป็นประธานกรรมการ และมีตัวแทนของฝ่ายค้าน ฝ่ายรรัฐบาล ผู้เชี่ยวชาญ กรรมการสิทธิมนุษยชน บุคคลที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรม และแนวทางสอง กรรมการที่มาจากฝ่ายบริหาร ให้นายกฯ หรือ รมว.ยุติธรรมเป็นประธาน และมีตัวแทนจากผู้เชี่ยวชาญ ตัวแทนจากสภาร่วมด้วย ทั้งนี้ ในข้อเสนอให้มาจากฝั่งบริหารเพื่อสะดากต่อการใช้งบประมาณและการติดต่อประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งที่ประชุมจะพิจารณาหาข้อสรุปในเรื่องดังกล่าวเป็นหลัก
เมื่อถามถึงประเด็นที่มีการโต้แย้งในกรณีการนิรโทษกรรมมาตรา 112 ที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 นายชัยธวัชกล่าวว่า กมธ.ไม่ได้พูดคุยเรื่องมาตรา 6 ทั้งนี้ การนิรโทษกรรมมาตรา 112 นั้นเคยเกิดขึ้นมาแล้วในระบบกฎหมายไทย ทั้งนี้ มีสิ่งที่เป็นประเด็นมากกว่า คือ เมื่อเกิดข้อถกเถียง จะมีข้อเสนออย่างไร เพื่อทำให้เกิดกระบวนการยอมรับได้เรื่องนิรโทษกรรม
“มีการเสนอแอมเนสตี้โปรแกรม โครงการนิรโทษกรรมให้กับคดีบางประเภท ไม่เฉพาะมาตรา 112 เท่านั้น เพราะมีคดีอื่นๆ เช่น คดีทำผิดต่อชีวิตและร่างกาย ซึ่งปกติไม่ควรได้นิรโทษกรรม เพราะถือว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง เช่น กรณีปาระเบิดใส่กลุ่ม กปปส. ที่เคยถามตัวแทนแกนนำ กปปส.ว่ากรณีดังกล่าวยอมให้อภัยหรือไม่ ซึ่งเขาระบุว่ายอมให้อภัย ดังนั้นการจะได้นิรโทษกรรมอัตโนมัตินั้นไม่เหมาะสม ดังนั้นควรมีกระบวนการ อย่าคิดแต่เฉพาะ มาตรา 112 ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ามีข้อถกเถียงเยอะ แต่การนิรโทษกรรมมาตรา 112 เคยเกิดขึ้นในสังคมอย่ามองไกลว่าขัดมาตรา 6 เพราะเป็นคนละเรื่อง” นายชัยธวัชกล่าว
เมื่อถามย้ำว่า กรรมการกลั่นกรองจะทำหน้าที่พิจารณานิรโทษกรรม คดีมาตรา 112 และคดีละเอียดอ่อนแทน กมธ.ใช่หรือไม่ นายชัยธวัชกล่าวว่า กรรมการจะเป็นองค์กรหลักพิจารณา เพราะสภาพข้อเท็จจริงที่กำหนดช่วงการนิรโทษกรรม ซึ่งกินเวลา 20 ปี มีความหลากหลายของคดีจำนวนมาก อีกทั้งความผิดบางฐาน เช่น ผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ในรายละเอียดไม่มีเฉพาะเรื่องการเมืองเท่านั้น จึงต้องมีกรรมการกลั่นกรองเรื่องว่าเรื่องใดเกี่ยวกับการเมืองหรือไม่ ทั้งนี้ กลไกของกรรมการต้องทำงานให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ตรวจสอบได้
เมื่อถามว่าการศึกษาของ กมธ.ในตอนท้ายสังคมจะยอมรับได้ใช่หรือไม่ นายชัยธวัชกล่าวว่า ต้องรอดูข้อสรุปว่าเป็นอย่างไร ทั้งนี้ เป็นความพยายามแสวงหาความเห็นร่วมในสภา ที่มาจากหลายพรรคการเมือง ทั้งนี้ ในกระบวนการแอมเนสตี้โปรแกรม ที่อนุกรรมการเสนอ มีรายละเอียด เช่น กระบวนการยอมรับผิด เปิดเผยข้อเท็จจริง รวมถึงการฝ่าฝืนจะถูกยกเลิกสิทธินิรโทษกรรม เป็นต้น ซึ่ง กมธ.ชุดใหญ่จะพิจารณาสรุปในรายละเอียดอีกครั้ง
ชัยธวัช หวั่นเลือกส.ว. ถูกล้มกระดาน ข้องใจชุดเก่า ทำไมเพิ่งโวย ตอนจะหมดอำนาจ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4613292
“ชัยธวัช” กังวลศาลรธน.รับคำร้อง พ.ร.ป.เลือกสว.ขัดรธน. หวั่นได้สว.ชุดใหม่ช้า ซัดชุดเก่าเคลื่อนไหวล้มกระดานหวังอยู่ยาว ข้องใจทำไมไม่โวยวายตั้งแต่แรกว่าสว.ไม่ได้มาจากปชช.
เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 6 มิถุนายน 2567 ที่รัฐสภา นายชัยธวัช ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการเลือกส.ว. ที่ศาลรัฐธรรมนูญรับวินิจฉัยคำร้องเกี่ยวกับ พ.ร.ป.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว.มองว่า การเลือกส.ว.จะผ่านพ้นไปด้วยดีหรือไม่ว่า ต้องยอมรับว่า มีข้อกังวล เพราะดูเหมือน จะมีปัญหา ตลอดรายทาง และอาจจะเป็นช่องโหว่ ที่ทำให้เกิดการฟ้องร้อง ร้องเรียน จนกระทั่ง ทำให้การประกาศผลส.ว.ชุดใหม่เกิดขึ้นได้อย่างล่าช้า หรืออาจจะถูกล้มไปเลยหรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมกังวลอยู่ แม้พรรคก้าวไกลจะไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง แต่ก็จับตาดูอยู่ เพราะจะมีผลทำให้ไม่ได้ส.ว.ชุดใหม่เสียที เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดชัดเจนว่า เมื่อมีกระบวนการเลือกส.ว.แล้ว คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะต้องรับรอง และประกาศรายชื่อส.ว.ชุดใหม่ภายในกี่วันเหมือนกับส.ส. เมื่อไม่มีการกำหนดที่ชัดเจนก็หมายความว่า ถ้ากระบวนการ มีการร้องเรียนเข้ามาแทรก จนทำให้กกต. ไม่สามารถประกาศรายชื่อได้ก็เท่ากับว่า ส.ว.ชุดเดิมก็จะเป็นส.ว.ไปเรื่อยๆ ซึ่งไม่น่าจะดีมากนัก
เมื่อถามว่า การที่ศาลรับเรื่องร้องเรียนดังกล่าวแล้วกฎหมายลูกต้องแก้ไขกระบวนการเลือกส.ว. อาจต้องยาวนาน 1-2 ปี ซึ่งอาจทำให้ผลกระทบทางการเมืองตามมา นายชัยธวัช กล่าวว่า ถ้ามีผลกระทบก็จะทำให้ส.ว.ชุดเก่าทำหน้าที่ไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมไม่น่าอยากเห็น ซึ่งตนหวังว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่วินิจฉัยว่าพ.ร.ป.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าการได้มาซึ่งส.ว.ขัดรัฐธรรมนูญ เพราะพ.ร.ป.ก็บังคับใช้มาตั้งนานแล้ว
ต่อข้อถามว่า จะมีการเรียกร้องไปยังกลุ่มส.ว.ชุดเดิม ที่มีการเคลื่อนไหวที่อาจจะนำไปสู่การล้มกระดานเลือกส.ว.หรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่า มีใครบ้างที่เคลื่อนไหว แต่อาจจะต้องระมัดระวังเพราะอาจถูกมองว่า เป็นการที่จะเตะถ่วงที่จะให้ตัวเองอยู่ในอำนาจไปเรื่อยๆ จริงๆ แล้วถ้าจะถามว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาที่ใครก็ต้องโยนความผิดให้คสช. และคนที่ร่างรัฐธรรมนูญ เพราะไม่ว่า จะเป็นพ.ร.ป.ประกอบรัฐธรรมนูญ และระเบียบต่างๆ เป็นผลมาจากการออกแบบรัฐธรรมนูญ จนทำให้กลไกในการได้มาซึ่งส.ว. ไม่สมเหตุสมผลตั้งแต่ต้น ซึ่งถือเป็นต้นทาง
“ผมคิดว่า ถ้าคนที่เห็นดีเห็นงามกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ กับการออกแบบส.ว.ตั้งแต่ต้น และปกป้องรัฐธรรมนูญปี 60 ตั้งแต่ต้น พอมาถึงจังหวะที่ตนเองจะต้องหมดอำนาจ ไปตามกลไกรัฐธรรมนูญ ผมคิดว่า ไม่น่าจะเหมาะสม เพราะไม่เคยเห็นส.ว.ชุดเดิมโวยวายตั้งแต่แรกว่าที่มาของส.ว.ไม่ควรเป็นแบบนี้ มีแต่ประชาชน และนักการเมืองบางส่วนไม่เห็นด้วยที่ส.ว.เป็นแบบนี้ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งประชาชนโดยตรง” นายชัยธวัช กล่าว
ตลาดหุ้นกู้แผ่ว ติดบ่วง ดอกเบี้ยแพง สภาพคล่องฝืด ลุ้นครึ่งปีหลังดีดกลับ
https://www.matichon.co.th/economy/news_4613114
ตลาดหุ้นกู้แผ่ว ติดบ่วง ดอกเบี้ยแพง สภาพคล่องฝืด ลุ้นครึ่งปีหลังดีดกลับ
เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) เปิดเผยว่า แนวโน้มภาพรวมตลาดตราสารหนี้ไทยของภาคเอกชนระยะยาวหรือหุ้นกู้ระยะยาวในปี 2567 คาดการณ์มีการออกหุ้นกู้อยู่ที่ระดับ 900,000 ล้านบาท ถึง 1 ล้านล้านบาท ซึ่งชะลอตัวเล็กน้อยเมื่อเทียบจากปีที่ผ่านๆมา ที่มีการออกหุ้นกู้มูลค่าเกิน 800,000 ล้านบาท และสูงถึง 1.2 ล้านล้านบาท ซึ่งไตรมาสแรกปี 2567 มีการออกหุ้นกู้มูลค่า 207,000 ล้านบาท ถ้าเทียบกับช่วงเดียวกันกับปี 2563 ที่เกิดโควิด-19 ระบาดที่มีมูลค่า 149,000 ล้านบาท และทั้งปี 2563 มีมูลค่ารวม 674,000 ล้านบาท
ดังนั้นถือว่าปีนี้ดีกว่า แต่น่าจะแย่กว่าปีทั่วไป เนื่องจากมีความกังวลอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงมีความกังวลในตลาดด้วย ทำให้ตลาดตึงตัว ออกยากและมีการกลับไปใช้เงินกู้จากสถาบันการเงินมากขึ้น ขณะเดียวกันเริ่มเห็นสถาบันการเงินเริ่มปล่อยสินเชื่อขนาดใหญ่มากขึ้นเช่นกัน
“ไตรมาสแรกปีนี้ ตลาดเงียบเหงาลงมาก จากความกังวลดอดเบี้ย ภาวะเศรษฐกิจ สภาพคล่องบริษัท ส่วนใหญ่ที่ออกจะเป็นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม อย่างไรก็ตามตลาดโดยรวมยังไม่น่าห่วง ยังมีความแข็งแกร่ง แม้จะมีบางกรณีมีข่าวไม่ค่อยดี ยังเห็นคนเริ่มออกกันมากขึ้น ถ้าดอกเบี้ยปรับตัวลดลง คงจะทำให้ตลาดกลับมาคึกคักมากขึ้น ตั้งแต่ครึ่งปีหลังปีนี้” นายพิพัฒน์กล่าว
หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) เผยอีกว่า แนวโน้มของตลาดหุ้นกู้ ยังเป็นตลาดที่ดี ทั้งสำหรับผู้ออกและผู้ที่จะเลือกลงทุน เนื่องจากได้ระดับอัตราดอกเบี้ยที่ดีกว่าการไปกู้สถาบันการเงินที่ส่วนใหญ่จะให้อัตราดอกเบี้ยในอัตราลอยตัว อย่างไรก็ตามขอให้มองว่าหุ้นกู้เป็นทางเลือกหนึ่งของการลงทุนและระดมทุน
“สำหรับหุ้นกู้ที่จะครบโรลโอเวอร์มีทุกเดือน โดยเฉลี่ยมีมูลค่าอยู่ที่ 65,000-120,000 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งหุ้นกู้ไฮยีลด์มีไม่มากประมาณ 10-20% ส่วนใหญ่80-90% เป็นหุ้นกู้ในกลุ่ม Investment grade ซึ่งกลุ่มที่ครบดีลมากที่สุด เช่น กลุ่มพลังงาน กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ เป็นต้น” นายพิพัฒน์กล่าว