อนุ กมธ.ศาล แถลงด่วน นายกฯ-เอกชนเบี้ยวแจง เป็นเส้นเงินให้ รบ.ทหารพม่าซื้ออาวุธหรือไม่
https://www.matichon.co.th/politics/news_4700311
‘อนุ กมธ.กิจการศาล’ แถลงด่วน หลังเชิญนายกฯ-เอกชน แจงปมเอี่ยว รบ.ทหารเมียนมา แต่ไม่มีใครมา จี้ถามจุดยืนรัฐบาล หนุนเงินซื้ออาวุธหรือไม่
เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 25 กรกฎาคม ที่รัฐสภา นางสาว
พนิดา มงคลสวัสดิ์ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคก้าวไกล ในฐานะ อนุกรรมาธิการ (กมธ.) กิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน แถลงข่าวด่วนถึงการตรวจสอบการใช้อำนาจของฝ่ายบริหาร รวมถึงความเชื่อมโยงระหว่างการดำเนินงานของ บริษัทพลังงานของไทย กับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเมียนมา
น.ส.
พนิดากล่าวว่า ประเด็นนี้ ได้รับเรื่องร้องเรียนจากเครือข่ายภาคประชาสังคม ทั้งคณะทำงานติดตามความรับผิดชอบการลงทุนข้ามพรมแดน (ETOs Watch) และกลุ่มรณรงค์หยุดเงินเปื้อนเลือดเมียนมา (Blood Money Campaign Myanmar) ซึ่งได้ตั้งข้อสังเกตถึงความเชื่อมโยงระหว่างบริษัทพลังงาน กับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเมียนมา อ้างว่ารัฐบาลไทยกับบริษัทพลังงาน อาจมีส่วนสนับสนุนทางการเงินรายใหญ่ให้กับรัฐบาลทหารเมียนมา เพื่อนำเงินไปซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ในการปราบปรามประชาชน
น.ส.
พนิดากล่าวว่า ทั้งนี้ ในหนังสือร้องเรียนฉบับดังกล่าว ระบุไว้ว่าอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ เป็นแหล่งรายได้เงินตราต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของกองทัพเมียนมา ส่วนใหญ่มาจากก๊าซที่บริษัทพลังงานซื้อโครงการก๊าซนอกชายฝั่งยาดานา ซึ่งบริษัทต่างชาติต่างถอนตัวออกจากโครงการแท่นขุดเจาะยาดานาแล้ว
อย่างไรก็ตาม การประชุมของคณะกรรมาธิการกิจการศาลแบ่งเป็น 3 ครั้ง ครั้งแรกเชิญได้เชิญกระทรวงกลาโหม กระทรวงพลังงาน สภาความมั่นคงแห่งชาติ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) บริษัทพลังงาน เข้ามาร่วมด้วย แต่กระทรวงพลังงานในฐานะผู้กำกับนโยบายเข้ามาชี้แจง เพียงแค่การประชุมคณะกรรมาธิการครั้งแรกเท่านั้น และไม่เข้ามาชี้แจงต่อในห้องอนุกรรมาธิการที่จัดขึ้นในวันเดียวกัน ด้วยเวลาการประชุมที่จำกัด จึงทำให้คณะกรรมาธิการไม่สามารถหาคำตอบที่แน่ชัดเกี่ยวกับเส้นทางการเงิน และมาตรการในการป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือการนำรายได้จากการซื้อพลังงานของไทย ที่อาจถูกนำไปใช้เป็นเงินสนับสนุนการซื้อยุทโธปกรณ์ของรัฐบาลเมียนมา และได้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการลงทุนด้านพลังงานในเมียนมาเท่านั้น
น.ส.
พนิดากล่าวว่า ส่วนการประชุมครั้งที่ 2 และกระทรวงพลังงาน ก็ไม่ได้มาเข้าร่วมเพื่อให้ข้อมูล จึงนัดประชุมครั้งที่ 3 เพื่อหาทางออกร่วมกัน เข้าใจดีว่าแต่ละหน่วยงานมีหน้าที่และความรับผิดชอบมากมาย จึงพยายามหาข้อสรุปจากฝ่ายนิติบัญญัติไปถึงฝ่ายรัฐบาล และรัฐวิสาหกิจที่มีบทบาทในการจัดหาแหล่งพลังงานก๊าซธรรมชาติ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง และกระทรวงการต่างประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย บริษัทพลังงาน แต่ผู้ชี้แจงมีเพียงธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงการต่างประเทศเท่านั้น
น.ส.
พนิดากล่าวต่อว่า สถานการณ์รัฐประหาร 3 ปีในเมียนมา มีคนเสียชีวิตจำนวนมาก กระทบกับเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในไทยด้วย จึงจำเป็นต้องสื่อสารกับประชาชนว่า ฝ่ายนิติบัญญัติให้ความสำคัญ อยากให้มีข้อสรุปและแนวทางในการแก้ไขปัญหา พร้อมตั้งคำถามกลับไปยังรัฐบาลว่ามีแนวทางในการแก้ไขปัญหานี้อย่างไร
น.ส.
พนิดากล่าวว่า ส่วนขั้นตอนหลังจากนี้ คณะอนุกรรมาธิการจะส่งหนังสือไปถามกับ บริษัทพลังงาน ว่าจะสะดวกเข้ามาชี้แจงเมื่อไร หรือหากยังไม่สามารถประสานได้ ก็ต้องถามไปยัง ครม.ว่าจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร สำหรับสัปดาห์ที่ผ่านมา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้มีการตั้งกระทู้สดถามจุดยืนของประเทศไทยต่อสถานการณ์เมียนมา แต่นายกฯมอบหมายให้ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มาตอบแทน ซึ่งถือเป็นข้อมูลที่ไม่เพียงพอ และไม่ได้มากไปกว่าผู้ที่มาชี้แจงในคณะกรรมาธิการความมั่นคง รัฐบาลยังไม่สามารถตอบคำถามและพิสูจน์ได้ว่าค่าไฟของคนไทย เกี่ยวพันกับประชาชนชาวเมียนมาหรืออยู่หรือไม่ และเราเป็นเส้นทางการเงินให้กับรัฐบาลทหารเมียนมาในการทำร้ายประชาชนหรือไม่.
ชัยธวัช เผย กมธ.นิรโทษเสียงแตก ปม ม.112 หวังสภาเปิดใจ รับฟังอย่างมีวุฒิภาวะ.
https://www.matichon.co.th/politics/news_4700631
‘ชัยธวัช’ เผย กมธ.นิรโทษกรรมเสียงแตกปม ม.112 บางส่วนเสนอต้องมีเงื่อนไข หวังสภารับฟังอย่างมีวุฒิภาวะ ไร้ความขัดแย้ง
เมื่อเวลา 15.55 น. วันที่ 25 กรกฎาคม ที่รัฐสภา นาย
ชัยธวัช ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร แถลงภายหลังการประชุมว่า เนื่องจากวันนี้เป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของคณะกรรมาธิการ และในวันพรุ่งนี้จะมีการสรุปรายงานอย่างเป็นทางการเพื่อบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมเพื่อพิจารณารายงานของสภาอย่างเร็วที่สุด มีสาระสำคัญที่อยากจะสื่อสาร ดังนี้
นาย
ชัยธวัชกล่าวว่า ประเด็นแรกคือคณะกรรมาธิการเห็นว่าในการนิรโทษกรรมครั้งนี้คงไม่สามารถออกเป็นกฎหมายในลักษณะที่คล้ายกับหลายฉบับก่อนหน้านี้ที่มีการกำหนดความผิดใดความผิดหนึ่งโดยเฉพาะ หรือนิรโทษกรรมคดีใดคดีหนึ่งโดยเฉพาะ หรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งโดยเฉพาะ เนื่องจากคดีที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาที่มีความขัดแย้งทางการเมืองตลอด 20 ปีมีหลากหลายรูปแบบ หลากหลายฐานความผิด หลากหลายเหตุการณ์
ดังนั้น วิธีการทางกฎหมายที่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่สุดคือ คณะกรรมาธิการจะเสนอให้มีการตั้งคณะกรรมการนิรโทษกรรมขึ้นมาพิจารณาว่าคดีใดบ้างที่ควรได้รับการนิรโทษกรรม
คณะกรรมาธิการได้ให้นิยามว่า คดีที่เป็นการกระทำที่เกิดจากแรงจูงใจทางการเมืองนั้น คงหมายถึงการกระทำที่มีพื้นฐานมาจากความคิดที่เกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง หรือต้องการบรรลุเป้าหมายทางการเมืองอย่างใดอย่างหนึ่งในช่วงเวลาที่มีความขัดแย้ง หรือเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง โดยช่วงระยะเวลาที่คณะกรรมาธิการเห็นตรงกันว่าคดีที่ควรจะมีการพิจารณาให้นิรโทษกรรมคือคดีความที่เกิดจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองนับตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน
สำหรับประเด็นที่ยังมีความเห็นแตกต่างกันในคณะกรรมาธิการ ให้นิรโทษกรรมส่วนของความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือไม่นั้น ส่วนนี้กรรมาธิการสัดส่วนพรรคก้าวไกล ทั้ง ส.ส.และบุคคลภายนอก เราเห็นด้วยกับการพิจารณาให้นิรโทษกรรมคดี 112 ด้วย อย่างไรก็ตาม ในสังคมเองยังมีความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องนี้พอสมควร รวมถึงในคณะกรรมาธิการเองด้วย
ดังนั้น คณะกรรมาธิการจึงรวบรวมความคิดทุกแบบเข้ามาอยู่ในรายงานของคณะกรรมาธิการ เพื่อเสนอให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาอย่างรอบด้าน ซึ่งจะแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
1. มีข้อเสนอที่ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมมาตรา 112
2. เห็นด้วยที่จะนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 เหมือนกับความผิดอื่นๆ
3. เห็นด้วยที่จะนิรโทษกรรมมาตรา 112 แต่เป็นไปในรูปแบบที่มีเงื่อนไข
เนื่องจากกรรมาธิการหลายท่านเห็นว่าเรายังมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันอยู่ในเรื่องนี้ และแม้ว่าหลายท่านจะเห็นด้วย และอยากจะเห็นการลดความขัดแย้ง อยากเห็นการนิรโทษกรรมคดีทางการเมืองเพื่อสร้างความปรองดอง แต่ยังมีความกังวลหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะกังวลว่าหากมีการนิรโทษกรรมคดี 112 ไปแล้วจะเกิดปัญหาการแสดงออกเหมือนที่เคยเกิดขึ้น และนำไปสู่การดำเนินคดีอีกหรือไม่ ซึ่งก็เคยมีข้อเสนอว่าถ้าอย่างนั้นควรมีการนิรโทษกรรมแบบมีเงื่อนไขขึ้นมา แตกต่างจากฐานความผิดอื่น
นาย
ชัยธวัชยังกล่าวถึงเงื่อนไขของการนิรโทษกรรม ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบที่ 1 คือจะเสนอให้คณะกรรมการนิรโทษกรรมมีอำนาจในการกำหนดเงื่อนไขเพื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาให้มีการนิรโทษกรรม แม้ผู้ต้องหา จำเลย หรือผู้ที่ศาลพิพากษาแล้ว ต้องการนิรโทษกรรมในคดี 112 ด้วย ก็ต้องยอมรับเงื่อนไขเบื้องต้นก่อน เพื่อเข้าสู่กระบวนการในการพิจารณา
องค์ประกอบที่ 2 คือมีข้อเสนอว่า นอกจากมีเงื่อนไขแล้ว ก่อนจะมีการพิจารณาก็ควรจะมีมาตรการในการป้องกันการกระทำผิดซ้ำ แม้ว่าผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด หรือผู้กระทำผิดตามคำพิพากษาในคดี 112 ซึ่งหลายคนก็อาจต่อสู้ว่า ตัวเองไม่ได้กระทำผิด
ส่วนในรายละเอียดที่เป็นรูปธรรมนั้น นาย
ชัยธวัชยกตัวอย่างว่า อาจให้ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดมาแถลงข้อเท็จจริงว่าอะไรเป็นต้นเหตุ สาเหตุ แรงจูงใจให้กระทำการเช่นนั้นตามที่ถูกกล่าวหา รวมทั้งให้เกิดการสานเสวนา เปิดพื้นที่ปลอดภัยให้เกิดการพูดคุยระหว่างผู้กระทำผิดและผู้ที่ถูกกล่าวหา กับคู่ขัดแย้ง หรือคู่กรณี รวมถึงเจ้าหน้าที่และฝ่ายความมั่นคง หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนข้อเท็จจริง หรือความเห็นที่ไม่ตรงกัน
นาย
ชัยธวัชชี้ว่า กระบวนการนี้จะนำไปสู่การกำหนดเงื่อนไขและมาตรการป้องกันการกระทำผิดซ้ำได้ในภายหลัง เมื่อได้รับการพิจารณานิรโทษกรรม พร้อมย้ำถึงความสำคัญในกระบวนการนี้ว่า คณะกรรมาธิการเห็นว่า หากมีเงื่อนไขแบบนี้และกระบวนการแบบนี้แล้วการกำหนดเงื่อนไขและมาตรการในการป้องกันกระทำผิดซ้ำในแต่ละคดีจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์ เนื่องจากหลายพฤติการณ์อาจถูกมองว่ามีความรุนแรงไม่เท่ากัน บางคดีอาจมีความชัดเจนว่ามีการตั้งข้อกล่าวหารุนแรงเกินจริง หรือถูกกลั่นแกล้งหรือไม่ ดังนั้น เงื่อนไขของการเข้าสู่กระบวนการก็จะไม่เหมือนกัน
นาย
ชัยธวัชกล่าวถึงข้อดีของการสานเสวนา เนื่องจากเห็นว่าอาจมีข้อดีที่ทำให้เกิดการยอมรับ ลดช่องว่าง ทำความเข้าใจซึ่งกันและกันของกลุ่มที่เห็นแตกต่างกัน และเป็นโอกาสสำคัญที่ภาครัฐ ฝ่ายความมั่นคง รัฐบาล แม้กระทั่ง ส.ส.ได้ข้อมูลข้อเท็จจริงจากผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด หรือผู้กระทำผิด ซึ่งจะนำไปสู่การหากุศโลบาย หรือนโยบายทางการเมือง ที่ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งเหมือนในอดีตอีก และอาจเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่สร้างความยอมรับของคนที่มีความกังวลว่าไม่ควรจะนิรโทษกรรมคดี 112 ด้วย
ส่วนเงื่อนไขก่อนการเข้าสู่กระบวนการนั้น คณะกรรมการก็เห็นว่าอาจต้องมีการยอมรับข้อตกลง หรือทำข้อตกลง ที่จะห้าม หรืองดการกระทำบางอย่างในระยะเวลาที่กำหนดแล้วแต่กรณี ประเด็นสำคัญคือระหว่างที่คดีนั้นๆ ยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาว่าจะนิรโทษกรรมหรือไม่ ก็ยังมีข้อเสนอว่าควรจะมีมาตรการในการอำนวยความยุติธรรมเบื้องต้น เช่น อาจมีการชะลอการฟ้อง การให้สิทธิในการประกันตัวออกมาก่อน หรือจำหน่ายคดีชั่วคราว เนื่องจากคดีที่จะได้ต้องเข้าสู่กระบวนการแบบมีเงื่อนไขเช่นนี้ อาจจะใช้ระยะเวลามากกว่าคดีอื่นๆ
ส่วนมาตรการการกระทำผิดซ้ำก็อาจมีมาตรการอื่นๆ เพิ่มเติมอีก เช่น หากมีการละเมิดเงื่อนไข ก็อาจจะเสียสิทธิในการนิรโทษกรรม หรืออาจต้องมีมาตรการให้มารายงานตัวเป็นระยะๆ หรือกระบวนการสร้างความปรองดองร่วมกันหลังจากได้รับการนิรโทษกรรมแล้ว
นอกจากนั้น ยังมีข้อเสนอบางส่วนของกรรมาธิการบางท่านว่า อาจจะยังไม่นิรโทษกรรมในทันทีในส่วนคดี 112 แต่ให้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาการได้รับการนิรโทษกรรมก่อน มีการสานเสวนาแถลงก่อน จนถึงช่วงระยะเวลาหนึ่ง แล้วค่อยมาพิจารณาว่าจะมีการนิรโทษกรรมคดีนั้นหรือไม่ แต่ระหว่างนั้นก็จะใช้มาตรการอื่นๆ จนกว่าคณะกรรมการนิรโทษกรรมจะเห็นข้อยุติว่าจะนิรโทษกรรมคดีนั้นหรือไม่
JJNY : 5in1 นายกฯ-เอกชนเบี้ยวแจง│กมธ.นิรโทษเสียงแตก│‘ก้าวไกล’ซัด‘คางเหลืองแน่’│สภาอุตฯ หั่นเป้า│ยูเอ็นเผยทำ 9% อดอยาก
https://www.matichon.co.th/politics/news_4700311
‘อนุ กมธ.กิจการศาล’ แถลงด่วน หลังเชิญนายกฯ-เอกชน แจงปมเอี่ยว รบ.ทหารเมียนมา แต่ไม่มีใครมา จี้ถามจุดยืนรัฐบาล หนุนเงินซื้ออาวุธหรือไม่
เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 25 กรกฎาคม ที่รัฐสภา นางสาวพนิดา มงคลสวัสดิ์ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคก้าวไกล ในฐานะ อนุกรรมาธิการ (กมธ.) กิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน แถลงข่าวด่วนถึงการตรวจสอบการใช้อำนาจของฝ่ายบริหาร รวมถึงความเชื่อมโยงระหว่างการดำเนินงานของ บริษัทพลังงานของไทย กับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเมียนมา
น.ส.พนิดากล่าวว่า ประเด็นนี้ ได้รับเรื่องร้องเรียนจากเครือข่ายภาคประชาสังคม ทั้งคณะทำงานติดตามความรับผิดชอบการลงทุนข้ามพรมแดน (ETOs Watch) และกลุ่มรณรงค์หยุดเงินเปื้อนเลือดเมียนมา (Blood Money Campaign Myanmar) ซึ่งได้ตั้งข้อสังเกตถึงความเชื่อมโยงระหว่างบริษัทพลังงาน กับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเมียนมา อ้างว่ารัฐบาลไทยกับบริษัทพลังงาน อาจมีส่วนสนับสนุนทางการเงินรายใหญ่ให้กับรัฐบาลทหารเมียนมา เพื่อนำเงินไปซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ในการปราบปรามประชาชน
น.ส.พนิดากล่าวว่า ทั้งนี้ ในหนังสือร้องเรียนฉบับดังกล่าว ระบุไว้ว่าอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ เป็นแหล่งรายได้เงินตราต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของกองทัพเมียนมา ส่วนใหญ่มาจากก๊าซที่บริษัทพลังงานซื้อโครงการก๊าซนอกชายฝั่งยาดานา ซึ่งบริษัทต่างชาติต่างถอนตัวออกจากโครงการแท่นขุดเจาะยาดานาแล้ว
อย่างไรก็ตาม การประชุมของคณะกรรมาธิการกิจการศาลแบ่งเป็น 3 ครั้ง ครั้งแรกเชิญได้เชิญกระทรวงกลาโหม กระทรวงพลังงาน สภาความมั่นคงแห่งชาติ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) บริษัทพลังงาน เข้ามาร่วมด้วย แต่กระทรวงพลังงานในฐานะผู้กำกับนโยบายเข้ามาชี้แจง เพียงแค่การประชุมคณะกรรมาธิการครั้งแรกเท่านั้น และไม่เข้ามาชี้แจงต่อในห้องอนุกรรมาธิการที่จัดขึ้นในวันเดียวกัน ด้วยเวลาการประชุมที่จำกัด จึงทำให้คณะกรรมาธิการไม่สามารถหาคำตอบที่แน่ชัดเกี่ยวกับเส้นทางการเงิน และมาตรการในการป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือการนำรายได้จากการซื้อพลังงานของไทย ที่อาจถูกนำไปใช้เป็นเงินสนับสนุนการซื้อยุทโธปกรณ์ของรัฐบาลเมียนมา และได้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการลงทุนด้านพลังงานในเมียนมาเท่านั้น
น.ส.พนิดากล่าวว่า ส่วนการประชุมครั้งที่ 2 และกระทรวงพลังงาน ก็ไม่ได้มาเข้าร่วมเพื่อให้ข้อมูล จึงนัดประชุมครั้งที่ 3 เพื่อหาทางออกร่วมกัน เข้าใจดีว่าแต่ละหน่วยงานมีหน้าที่และความรับผิดชอบมากมาย จึงพยายามหาข้อสรุปจากฝ่ายนิติบัญญัติไปถึงฝ่ายรัฐบาล และรัฐวิสาหกิจที่มีบทบาทในการจัดหาแหล่งพลังงานก๊าซธรรมชาติ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง และกระทรวงการต่างประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย บริษัทพลังงาน แต่ผู้ชี้แจงมีเพียงธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงการต่างประเทศเท่านั้น
น.ส.พนิดากล่าวต่อว่า สถานการณ์รัฐประหาร 3 ปีในเมียนมา มีคนเสียชีวิตจำนวนมาก กระทบกับเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในไทยด้วย จึงจำเป็นต้องสื่อสารกับประชาชนว่า ฝ่ายนิติบัญญัติให้ความสำคัญ อยากให้มีข้อสรุปและแนวทางในการแก้ไขปัญหา พร้อมตั้งคำถามกลับไปยังรัฐบาลว่ามีแนวทางในการแก้ไขปัญหานี้อย่างไร
น.ส.พนิดากล่าวว่า ส่วนขั้นตอนหลังจากนี้ คณะอนุกรรมาธิการจะส่งหนังสือไปถามกับ บริษัทพลังงาน ว่าจะสะดวกเข้ามาชี้แจงเมื่อไร หรือหากยังไม่สามารถประสานได้ ก็ต้องถามไปยัง ครม.ว่าจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร สำหรับสัปดาห์ที่ผ่านมา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้มีการตั้งกระทู้สดถามจุดยืนของประเทศไทยต่อสถานการณ์เมียนมา แต่นายกฯมอบหมายให้ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มาตอบแทน ซึ่งถือเป็นข้อมูลที่ไม่เพียงพอ และไม่ได้มากไปกว่าผู้ที่มาชี้แจงในคณะกรรมาธิการความมั่นคง รัฐบาลยังไม่สามารถตอบคำถามและพิสูจน์ได้ว่าค่าไฟของคนไทย เกี่ยวพันกับประชาชนชาวเมียนมาหรืออยู่หรือไม่ และเราเป็นเส้นทางการเงินให้กับรัฐบาลทหารเมียนมาในการทำร้ายประชาชนหรือไม่.
ชัยธวัช เผย กมธ.นิรโทษเสียงแตก ปม ม.112 หวังสภาเปิดใจ รับฟังอย่างมีวุฒิภาวะ.
https://www.matichon.co.th/politics/news_4700631
‘ชัยธวัช’ เผย กมธ.นิรโทษกรรมเสียงแตกปม ม.112 บางส่วนเสนอต้องมีเงื่อนไข หวังสภารับฟังอย่างมีวุฒิภาวะ ไร้ความขัดแย้ง
เมื่อเวลา 15.55 น. วันที่ 25 กรกฎาคม ที่รัฐสภา นายชัยธวัช ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร แถลงภายหลังการประชุมว่า เนื่องจากวันนี้เป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของคณะกรรมาธิการ และในวันพรุ่งนี้จะมีการสรุปรายงานอย่างเป็นทางการเพื่อบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมเพื่อพิจารณารายงานของสภาอย่างเร็วที่สุด มีสาระสำคัญที่อยากจะสื่อสาร ดังนี้
นายชัยธวัชกล่าวว่า ประเด็นแรกคือคณะกรรมาธิการเห็นว่าในการนิรโทษกรรมครั้งนี้คงไม่สามารถออกเป็นกฎหมายในลักษณะที่คล้ายกับหลายฉบับก่อนหน้านี้ที่มีการกำหนดความผิดใดความผิดหนึ่งโดยเฉพาะ หรือนิรโทษกรรมคดีใดคดีหนึ่งโดยเฉพาะ หรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งโดยเฉพาะ เนื่องจากคดีที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาที่มีความขัดแย้งทางการเมืองตลอด 20 ปีมีหลากหลายรูปแบบ หลากหลายฐานความผิด หลากหลายเหตุการณ์
ดังนั้น วิธีการทางกฎหมายที่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่สุดคือ คณะกรรมาธิการจะเสนอให้มีการตั้งคณะกรรมการนิรโทษกรรมขึ้นมาพิจารณาว่าคดีใดบ้างที่ควรได้รับการนิรโทษกรรม
คณะกรรมาธิการได้ให้นิยามว่า คดีที่เป็นการกระทำที่เกิดจากแรงจูงใจทางการเมืองนั้น คงหมายถึงการกระทำที่มีพื้นฐานมาจากความคิดที่เกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง หรือต้องการบรรลุเป้าหมายทางการเมืองอย่างใดอย่างหนึ่งในช่วงเวลาที่มีความขัดแย้ง หรือเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง โดยช่วงระยะเวลาที่คณะกรรมาธิการเห็นตรงกันว่าคดีที่ควรจะมีการพิจารณาให้นิรโทษกรรมคือคดีความที่เกิดจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองนับตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน
สำหรับประเด็นที่ยังมีความเห็นแตกต่างกันในคณะกรรมาธิการ ให้นิรโทษกรรมส่วนของความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือไม่นั้น ส่วนนี้กรรมาธิการสัดส่วนพรรคก้าวไกล ทั้ง ส.ส.และบุคคลภายนอก เราเห็นด้วยกับการพิจารณาให้นิรโทษกรรมคดี 112 ด้วย อย่างไรก็ตาม ในสังคมเองยังมีความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องนี้พอสมควร รวมถึงในคณะกรรมาธิการเองด้วย
ดังนั้น คณะกรรมาธิการจึงรวบรวมความคิดทุกแบบเข้ามาอยู่ในรายงานของคณะกรรมาธิการ เพื่อเสนอให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาอย่างรอบด้าน ซึ่งจะแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
1. มีข้อเสนอที่ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมมาตรา 112
2. เห็นด้วยที่จะนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 เหมือนกับความผิดอื่นๆ
3. เห็นด้วยที่จะนิรโทษกรรมมาตรา 112 แต่เป็นไปในรูปแบบที่มีเงื่อนไข
เนื่องจากกรรมาธิการหลายท่านเห็นว่าเรายังมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันอยู่ในเรื่องนี้ และแม้ว่าหลายท่านจะเห็นด้วย และอยากจะเห็นการลดความขัดแย้ง อยากเห็นการนิรโทษกรรมคดีทางการเมืองเพื่อสร้างความปรองดอง แต่ยังมีความกังวลหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะกังวลว่าหากมีการนิรโทษกรรมคดี 112 ไปแล้วจะเกิดปัญหาการแสดงออกเหมือนที่เคยเกิดขึ้น และนำไปสู่การดำเนินคดีอีกหรือไม่ ซึ่งก็เคยมีข้อเสนอว่าถ้าอย่างนั้นควรมีการนิรโทษกรรมแบบมีเงื่อนไขขึ้นมา แตกต่างจากฐานความผิดอื่น
นายชัยธวัชยังกล่าวถึงเงื่อนไขของการนิรโทษกรรม ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบที่ 1 คือจะเสนอให้คณะกรรมการนิรโทษกรรมมีอำนาจในการกำหนดเงื่อนไขเพื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาให้มีการนิรโทษกรรม แม้ผู้ต้องหา จำเลย หรือผู้ที่ศาลพิพากษาแล้ว ต้องการนิรโทษกรรมในคดี 112 ด้วย ก็ต้องยอมรับเงื่อนไขเบื้องต้นก่อน เพื่อเข้าสู่กระบวนการในการพิจารณา
องค์ประกอบที่ 2 คือมีข้อเสนอว่า นอกจากมีเงื่อนไขแล้ว ก่อนจะมีการพิจารณาก็ควรจะมีมาตรการในการป้องกันการกระทำผิดซ้ำ แม้ว่าผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด หรือผู้กระทำผิดตามคำพิพากษาในคดี 112 ซึ่งหลายคนก็อาจต่อสู้ว่า ตัวเองไม่ได้กระทำผิด
ส่วนในรายละเอียดที่เป็นรูปธรรมนั้น นายชัยธวัชยกตัวอย่างว่า อาจให้ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดมาแถลงข้อเท็จจริงว่าอะไรเป็นต้นเหตุ สาเหตุ แรงจูงใจให้กระทำการเช่นนั้นตามที่ถูกกล่าวหา รวมทั้งให้เกิดการสานเสวนา เปิดพื้นที่ปลอดภัยให้เกิดการพูดคุยระหว่างผู้กระทำผิดและผู้ที่ถูกกล่าวหา กับคู่ขัดแย้ง หรือคู่กรณี รวมถึงเจ้าหน้าที่และฝ่ายความมั่นคง หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนข้อเท็จจริง หรือความเห็นที่ไม่ตรงกัน
นายชัยธวัชชี้ว่า กระบวนการนี้จะนำไปสู่การกำหนดเงื่อนไขและมาตรการป้องกันการกระทำผิดซ้ำได้ในภายหลัง เมื่อได้รับการพิจารณานิรโทษกรรม พร้อมย้ำถึงความสำคัญในกระบวนการนี้ว่า คณะกรรมาธิการเห็นว่า หากมีเงื่อนไขแบบนี้และกระบวนการแบบนี้แล้วการกำหนดเงื่อนไขและมาตรการในการป้องกันกระทำผิดซ้ำในแต่ละคดีจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์ เนื่องจากหลายพฤติการณ์อาจถูกมองว่ามีความรุนแรงไม่เท่ากัน บางคดีอาจมีความชัดเจนว่ามีการตั้งข้อกล่าวหารุนแรงเกินจริง หรือถูกกลั่นแกล้งหรือไม่ ดังนั้น เงื่อนไขของการเข้าสู่กระบวนการก็จะไม่เหมือนกัน
นายชัยธวัชกล่าวถึงข้อดีของการสานเสวนา เนื่องจากเห็นว่าอาจมีข้อดีที่ทำให้เกิดการยอมรับ ลดช่องว่าง ทำความเข้าใจซึ่งกันและกันของกลุ่มที่เห็นแตกต่างกัน และเป็นโอกาสสำคัญที่ภาครัฐ ฝ่ายความมั่นคง รัฐบาล แม้กระทั่ง ส.ส.ได้ข้อมูลข้อเท็จจริงจากผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด หรือผู้กระทำผิด ซึ่งจะนำไปสู่การหากุศโลบาย หรือนโยบายทางการเมือง ที่ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งเหมือนในอดีตอีก และอาจเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่สร้างความยอมรับของคนที่มีความกังวลว่าไม่ควรจะนิรโทษกรรมคดี 112 ด้วย
ส่วนเงื่อนไขก่อนการเข้าสู่กระบวนการนั้น คณะกรรมการก็เห็นว่าอาจต้องมีการยอมรับข้อตกลง หรือทำข้อตกลง ที่จะห้าม หรืองดการกระทำบางอย่างในระยะเวลาที่กำหนดแล้วแต่กรณี ประเด็นสำคัญคือระหว่างที่คดีนั้นๆ ยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาว่าจะนิรโทษกรรมหรือไม่ ก็ยังมีข้อเสนอว่าควรจะมีมาตรการในการอำนวยความยุติธรรมเบื้องต้น เช่น อาจมีการชะลอการฟ้อง การให้สิทธิในการประกันตัวออกมาก่อน หรือจำหน่ายคดีชั่วคราว เนื่องจากคดีที่จะได้ต้องเข้าสู่กระบวนการแบบมีเงื่อนไขเช่นนี้ อาจจะใช้ระยะเวลามากกว่าคดีอื่นๆ
ส่วนมาตรการการกระทำผิดซ้ำก็อาจมีมาตรการอื่นๆ เพิ่มเติมอีก เช่น หากมีการละเมิดเงื่อนไข ก็อาจจะเสียสิทธิในการนิรโทษกรรม หรืออาจต้องมีมาตรการให้มารายงานตัวเป็นระยะๆ หรือกระบวนการสร้างความปรองดองร่วมกันหลังจากได้รับการนิรโทษกรรมแล้ว
นอกจากนั้น ยังมีข้อเสนอบางส่วนของกรรมาธิการบางท่านว่า อาจจะยังไม่นิรโทษกรรมในทันทีในส่วนคดี 112 แต่ให้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาการได้รับการนิรโทษกรรมก่อน มีการสานเสวนาแถลงก่อน จนถึงช่วงระยะเวลาหนึ่ง แล้วค่อยมาพิจารณาว่าจะมีการนิรโทษกรรมคดีนั้นหรือไม่ แต่ระหว่างนั้นก็จะใช้มาตรการอื่นๆ จนกว่าคณะกรรมการนิรโทษกรรมจะเห็นข้อยุติว่าจะนิรโทษกรรมคดีนั้นหรือไม่