#Timeline 2538-2567
2538 ปฏิรูปการศึกษาไทยในยุคปัญญาภิวัฒน์ : เพื่อเตรียมพร้อมพลเมืองสำหรับศตวรรษที่21 ในช่วงปลายแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่7(2535-2539)
15 สิงหาคม 2538 คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนใหม่ ลงพื้นที่พบปะ ครู บุคลากรทางการศึกษาและประชาชนทั่วประเทศได้รับทราบว่า ผลผลิตของการศึกษาไทยไม่ทันสมัย ไม่สามารถนำพาสังคมไทยสู่โลกยุคใหม่ได้ จึงร่วมกับ ครู บุคลากรทางการศึกษาและ ประชาชน700000คน
ปฏิรูปการศึกษาไทยในยุคปัญญาภิวัฒน์ : เพื่อเตรียมพร้อมพลเมืองสำหรับศตวรรษที่21
โดยคุณพ่อสุขวิช รังสิตพล ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้นำการอภิวัฒน์การศึกษาไทย 2538
การปฏิรูปการศึกษาประชุมหารือกันอย่างกว้างขวาง จัดสัมมนาในภาคต่างๆของประเทศ ระดมความคิดจัดทำโพลสำรวจความคิดเห็นทั่วประเทศ เป็นการปฏิรูปการศึกษา เปลี่ยนแปลงโดยเริ่มจากล่างขึ้นสู่บน
คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติที่คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล ตั้งขึ้นใหม่ สรุปออกมาได้ว่า สำหรับประเทศไทยมีปัญหาการศึกษา 42 เรื่อง จึงได้ตั้งคณะทำงานวิจัยขึ้นมาทั้ง 42 เรื่อง รวมหลายพันหน้า และ เปรียบเทียบกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา บางมลรัฐ ฯลฯ
คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล มีความเห็นว่า ถ้าจะปฏิรูปการศึกษาให้สำเร็จต้องออกกฎหมายเพื่อความต่อเนื่องของการปฏิรูป เพราะรัฐบาลในอนาคตคงจะมาจากหลายพรรคการเมือง
12 มกราคม 2539 คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตามมติที่ประชุมเมื่อ 20ธันวาคม2538 เนื่องจากพิจารณาเห็นว่า การดำเนินการสอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปการศึกษา2538ของกระทรวงศึกษาธิการตามหนังสือคำสั่งที่สล.28/2539
คณะปฏิรูปการศึกษา2538 สรุปประเด็นปัญหาหลักของการศึกษา
การศึกษาควรมีบทบาทสำคัญยิ่งในการพัฒนาชาติบ้านเมืองให้พ้นวิกฤติได้ และโลกในศตวรรษที่21 จะมีความเปลี่ยนแปลงในอัตราที่เร็วขึ้น เป็นโลกแห่งเทคโนโลยีไร้พรมแดน หากการศึกษาไม่ทั่วถึงความแตกต่างระหว่างความรู้และความไม่รู้ จะทำให้ความแตกต่างระหว่างความจนและความรวยมากขึ้น
ในปี2538 คนไทยมีค่าเฉลี่ยการศึกษาเพียง 5.3 ปี คนไทยอยู่ในชนบท48.7ล้านคน คิดเป็นร้อยละ81.8 ของประชาชน58.2ล้านคน ระหว่างปี 2504-2538 ป่าถูกถางไป88.84ล้านไร่ หายนะจะเกิดขึ้นหากธรรมชาติถูกทำลาย เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมเกษตรกรรมยากจนเป็นสังคมแห่งปัญญาและการเรียนรู้เราจึงต้องปฏิรูปการศึกษา2538
ปัญหาการศึกษาหลักของการศึกษาในปี 2538
1)การศึกษาไม่สอดคล้องกับสภาพปัจจุบันและอนาคต
2)มีความไม่เสมอภาคอย่างมากสิทธิ โอกาส และ การเข้าถึงการศึกษาระหว่างคนเมือง และในชนบท ระหว่างฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมของผู้เรียน
3)คุณภาพโดยทั่วไปยังอ่อนด้อยและมีความแตกต่างกันมากระหว่างสถานศึกษา
4)ในการบริหารจัดการ มีการรวมอำนาจสู่ส่วนกลางสูงมาก ประชาชน ชุมนุม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นมีส่วนร่วมน้อยมาก
และนักเรียนเพิ่มขึ้นในระยะปฏิรูปการศึกษาถึง 4.35 ล้านคน จากเดิม 12.33ล้านคนที่ไม่ได้เรียนฟรี ปี 2540 16.68 ล้านคนเรียนฟรี มีครู บุคลากรทางการศึกษาเพิ่มนับแสนคน มีสถานศึกษาศึกษาเพิ่มเติมหลายพันแห่งในช่วง ปี2538-2540 ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะบริหารจากส่วนกลางอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
5)ทั้งที่รวมอำนาจสู่ส่วนกลางแต่ขาดเอกภาพในนโยบายเพราะหลายกรมและกระทรวงโดยไม่มีการประสานงาน
6)เมื่อเปรียบเทียบกับนานาชาติ การศึกษาไทย แข่งขันไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการประเมินโดยวัดจากประสิทธิผลนักเรียนระดับประถมศึกษาหรือระดับมัธยมศึกษา ซึ่งประเมินโดยการวิจัยร่วมกันโดยองค์กรระหว่างประเทศ หรือโดยการแข่งขันวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์โอลิมปิค หรือโดยการแข่งขันวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์โอลิมปิคหรือโดยวัดจากสรรถนะในการแข่งขันของกำลังคนโดยองค์กรต่างๆ
7)พ่อ แม่ ผู้ปกครองต้องวิ่งหาโรงเรียนให้บุตรหลานเพื่อเข้าอบรมเลี้ยงดูระดับอนุบาล เข้าเรียนระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษา ต้องมีการกวดวิชา ต้องมีการสอบแข่งขันอย่างเข้มข้นในทุกระดับ โดยเฉพาะการเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษา ประเทศไทยคงเป็นประเทศเดียวที่ให้เด็กกวดวิชาเพื่อเข้าอนุบาล
8)ผู้เรียนต้องนั่งเรียนนั่งท่องจำอยู่ในห้องเรียน ไม่มีโอกาสแสดงออกไม่ความสุขในการเรียน
หลักการปฏิรูปการศึกษา2538
1) ประชาชนทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกฐานะ อยู่ห่างไกลพิการ หรือ มีความสามารถพิเศษต้องได้รับการศึกษาตลอดชีวิต
2) ทุกส่วนของสังคมต้องผนึกกำลังกันสนับสนุนการศึกษา ดังนั้นจึงต้องปฏิรูประบบบริหารจัดการ
3)ต้องปฏิรูปเนื้อหาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง ฉะนั้นในการจัดการศึกษาต้องยึดแนวทางดังนี้
3.1)มีเอกภาพด้านนโยบายหลากหลายในการปฏิบัติ
3.2)มีการกระจายอำนาจไปยังสถานศึกษา เขตพื้นที่การศึกษา และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้ประชาชน
3.3)มีการกำหนดมาตรฐานการศึกษา
3.4)มีหลักการส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพครู บุคลากรทางการศึกษาและมีการพัฒนาอย่างอย่างต่อเนื่อง
3.5) ระดมทรัพยากรจากแหล่งต่างๆ มาใช้ในจัดการศึกษา
3.6) ให้ประชาชนองค์กรเอกชนองค์กรชุมชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันทางสังคม สถาบันทางศาสนา และ สถานประกอบการมีส่วนร่วม
ผลของการปฏิรูปการศึกษา2538
1)การศึกษาจึงมีบทบาทสำคัญที่สุดต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศตั้งแต่ปี2538 จนจบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8
ประชาชนได้รับบริการทางการศึกษาตลอดชีวิต ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย เพื่อให้คนไทยมีค่าเฉลี่ยการศึกษา12ปี โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย และ ทุกส่วนของสังคมมีส่วนร่วมในการศึกษา รวมทั้งพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง การจัดการการศึกษายึดหลักความมีเอกภาพด้านนโยบาย ความหลากหลายในการปฏิบัติ การกระจายอำนาจไปสู่สถานศึกษา การกำหนดมาตรฐานการศึกษา การส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพครู และพัฒนาครูอย่างต่อเนื่อง
2)ประชาชนได้รับสิทธิ และโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่น้อยกว่า 12ปีอย่างทั่วถึง เด็กในระบบก่อนปฏิรูปการศึกษาจำนวน12.33 คน และ เด็กนอกระบบการศึกษาได้กลับเข้าเรียน4.35คน รวมเด็กที่ได้รับบริการทางการศึกษา16.68 คน เด็กไทยทุกคนในยุคปฏิรูปการศึกษา2538 ได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย12ปี บุคคลผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นพิเศษ บิดา มารดา บุคคล ชุมชนและ องค์กรต่างๆ
กระทรวงศึกษาธิการในยุคปฏิรูปการศึกษา2538 ได้เพิ่มสถานศึกษาสำหรับผู้พิการหลายสิบแห่งระหว่างปี 2538-2540
3)ระบบการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการให้บริการทางการศึกษา3 รูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ผลการเรียนทั้ง3 รูปแบบสามารถเทียบโอนกันได้ ไม่ว่าจะเป็นผลจากสถานศึกษารูปแบบใด
4) แนวทางจัดการศึกษา การจัดการศึกษาเน้นทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ และ บูรณาการความรู้ ความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับสังคมเพื่อพัฒนาทักษะต่างๆที่จำเป็น สำหรับการประกอบอาชีพ และดำรงชีวิตอย่างมีความสุข
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นผู้กำหนดหลักสูตรแกนกลาง และ สถานศึกษาขั้นพื้นฐานจัดทำหลักสูตรท้องถิ่น ให้สถานศึกษาใช้วิธีการหลากหลายในการประเมินผลผู้เรียน และ จัดสรรโอกาสเข้าศึกษาต่อ
5)การบริหารและการจัดการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการกำกับดูแลการศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม
กำหนดนโยบาย แผน และ มาตรฐานการศึกษา รวมทั้งสนับสนุนทรัพยากร โดยบริหารงาน ตามการปฏิรูปการศึกษา 4 แนวทาง
1 โรงเรียน 2 ครู 3 หลักสูตรการเรียนการสอน 4 การบริหารสถานศึกษาแบบนิติบุคคล กระทรวงศึกษาธิการกระจาย อำนาจไปยังสถานศึกษาโดยตรง
6)มาตรฐานการศึกษา เพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาตั้งแต่ปฐมวัย ประถมศึกษา มัธยมต้น มัธยมปลาย อาชีวะ หน่วยงานต้นสังกัด
7)ครูและบุคลากรทางการศึกษา ส่งเสริมวิชาชีพครูและ บุคลากรทางการศึกษาให้เป็นวิชาชีพชั้นสูง จัดสรรงบประมาณและกองทุนสำหรับพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางศึกษาอย่างเพียงพอ แก้ไขปัญหาการเลื่อนไหลของเงินเดือนระดับ 7 ค่าตอบแทน สวัสดิการ มีจรรยาบรรณครู กระจายอำนาจการบริหารบุคคลลงสู่สถานศึกษา
8 ทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษา
มีการระดมทรัพยากรและการลงทุนด้านงบประมาณ การเงินและทรัพย์สินจากรัฐ และทุกส่วนของสังคม รวมทั้งต่างประเทศ มาใช้จัดการศึกษา สถานศึกษาทุกแห่งเป็นนิติบุคคล มีอำนาจปกครอง ดูแลบำรุงรักษา ใช้และจัดการผลประโยชน์จากทรัพย์สินของตน
รัฐบาลยุคปฏิรูปการศึกษา2538 จัดสรรงบประมาณให้กับการศึกษาในฐานะมีความสำคัญสูงสุดต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ
9)เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ภายใต้ระบบโรงเรียนนิติบุคคล สถานศึกษาจัดหาห้องเรียนภาษาอังกฤษ ห้องวิทยาศาสตร์ และ ห้องคอมพิวเตอร์ กระทรวงศึกษาธิการจัดหลักสูตรภาษาอังกฤษและคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่ชั้นประถม1ทั่วประเทศ
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 7 มีปัญหาในการปฏิบัติการในพื้นที่ คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล จึงคิดกระบวนทัศน์ใหม่ ในการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 โดยมีวัตถุประสงค์ให้ผู้จัดทำแผน และ ผู้ปฏิบัติ เป็นคนเดียวกัน
แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 เป็นแผนปฏิรูปความคิดและคุณค่าใหม่ของสังคมไทย ที่เน้นให้ “คนเป็น ศูนย์กลางของการพัฒนา” และใช้เศรษฐกิจเป็นเพียงเครื่องมือช่วยพัฒนาให้คนมีความสุขและมีคุณภาพ ชีวิตที่ดีขึ้น พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนวิธีการพัฒนามาเป็นการพัฒนาแบบองค์รวม มีกระบวนการที่จะเชื่อมโยง มิติต่างๆ ของการพัฒนา ตลอดจนเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายร่วมกันจัดทำแผน
แผนพัฒนาฯฉบับที่ 8 นับเป็นจุดเริ่มต้นของการขับเคลื่อนพลังทางสังคมให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างกว้างใหญ่ และนำไปสู่การสร้างแนวคิดพื้นฐานในการจัดทำรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยเพื่อปฏิรูปประเทศไทย 2540
หลังจากการเลือกตั้งพฤศจิกายน 2539 คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล ได้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีอีกตำแหน่งหนึ่ง ดังนั้นเมื่อมีการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้น เมื่อ 26 ธันวาคม 2539 คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีคนที่1 และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จึงผลักดันให้ อดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกระทรวงศึกษาธิการ กว่าสิบท่านได้เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ
สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญเหล่านี้ ได้ร่วมกับคณะปฏิรูปการศึกษา2538 ผลักดันให้มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญให้ชัดเจน เพื่อให้การปฏิรูปการศึกษา2538-2550 ต่อเนื่อง
ดังนั้นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ซึ่ง ตราไว้ ณ วันที่11ตุลาคม2540 ในขณะที่คุณพ่อสุขวิช รังสิตพลดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี จึงมี มาตรา 81 ระบุให้จัดทำพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ และ ยังมีมาตราอื่นๆอีก รวม9มาตรา คือ มาตรา 40 42 43 69 46 53 55 80 และ 289 ที่ระบุโดยตรงถึงสิทธิ หน้าที่ ทรัพยากรฯลฯ รวมทั้งมาตราอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาโดยอ้อม
รางวัลด้านการศึกษาจาก UNESCO
ระหว่างปี 2540-2541 ประเทศไทยได้รับรางวัลด้านการศึกษาจากUNESCO 3 รางวัล
โดยรางวัลประเภทองค์กรปฏิรูปการศึกษารับร่วมกับ ประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
เด็กนักเรียนที่รับบริจาคเงิน รู้สึกด้อยค่า ต้องรับเงินบริจาค ไม่ได้สิทธิ์ความเป็นมนุษย์อย่างเสมอภาค ทั้งที่สิทธิการศึกษาฟรีเป็นสิทธิพื้นฐานของคนไทยตามรัฐธรรมนูญ
https://www.eef.or.th/103-2/
ปี 2567 อ้างอิงคุณวิโรจน์ก้าวไกล การศึกษาไทยตกต่ำต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2000 หรือ 2543 ต่ำลงทุกปี จนกระทั่งถึงปี 2567 ซึ่งหลงทางอยู่กลางป่าช้า จะใส่คลิปอ้างอิงในความคิดเห็นค่ะ
คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล : ประวัติศาสตร์การศึกษาไทย ถูกลบ จากวิกิพิเดีย Website ต่างชาติ ซึ่งต้องการให้คนไทยโง่
2538 ปฏิรูปการศึกษาไทยในยุคปัญญาภิวัฒน์ : เพื่อเตรียมพร้อมพลเมืองสำหรับศตวรรษที่21 ในช่วงปลายแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่7(2535-2539)
15 สิงหาคม 2538 คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนใหม่ ลงพื้นที่พบปะ ครู บุคลากรทางการศึกษาและประชาชนทั่วประเทศได้รับทราบว่า ผลผลิตของการศึกษาไทยไม่ทันสมัย ไม่สามารถนำพาสังคมไทยสู่โลกยุคใหม่ได้ จึงร่วมกับ ครู บุคลากรทางการศึกษาและ ประชาชน700000คน
ปฏิรูปการศึกษาไทยในยุคปัญญาภิวัฒน์ : เพื่อเตรียมพร้อมพลเมืองสำหรับศตวรรษที่21
โดยคุณพ่อสุขวิช รังสิตพล ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้นำการอภิวัฒน์การศึกษาไทย 2538
การปฏิรูปการศึกษาประชุมหารือกันอย่างกว้างขวาง จัดสัมมนาในภาคต่างๆของประเทศ ระดมความคิดจัดทำโพลสำรวจความคิดเห็นทั่วประเทศ เป็นการปฏิรูปการศึกษา เปลี่ยนแปลงโดยเริ่มจากล่างขึ้นสู่บน
คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติที่คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล ตั้งขึ้นใหม่ สรุปออกมาได้ว่า สำหรับประเทศไทยมีปัญหาการศึกษา 42 เรื่อง จึงได้ตั้งคณะทำงานวิจัยขึ้นมาทั้ง 42 เรื่อง รวมหลายพันหน้า และ เปรียบเทียบกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา บางมลรัฐ ฯลฯ
คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล มีความเห็นว่า ถ้าจะปฏิรูปการศึกษาให้สำเร็จต้องออกกฎหมายเพื่อความต่อเนื่องของการปฏิรูป เพราะรัฐบาลในอนาคตคงจะมาจากหลายพรรคการเมือง
12 มกราคม 2539 คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตามมติที่ประชุมเมื่อ 20ธันวาคม2538 เนื่องจากพิจารณาเห็นว่า การดำเนินการสอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปการศึกษา2538ของกระทรวงศึกษาธิการตามหนังสือคำสั่งที่สล.28/2539
คณะปฏิรูปการศึกษา2538 สรุปประเด็นปัญหาหลักของการศึกษา
การศึกษาควรมีบทบาทสำคัญยิ่งในการพัฒนาชาติบ้านเมืองให้พ้นวิกฤติได้ และโลกในศตวรรษที่21 จะมีความเปลี่ยนแปลงในอัตราที่เร็วขึ้น เป็นโลกแห่งเทคโนโลยีไร้พรมแดน หากการศึกษาไม่ทั่วถึงความแตกต่างระหว่างความรู้และความไม่รู้ จะทำให้ความแตกต่างระหว่างความจนและความรวยมากขึ้น
ในปี2538 คนไทยมีค่าเฉลี่ยการศึกษาเพียง 5.3 ปี คนไทยอยู่ในชนบท48.7ล้านคน คิดเป็นร้อยละ81.8 ของประชาชน58.2ล้านคน ระหว่างปี 2504-2538 ป่าถูกถางไป88.84ล้านไร่ หายนะจะเกิดขึ้นหากธรรมชาติถูกทำลาย เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมเกษตรกรรมยากจนเป็นสังคมแห่งปัญญาและการเรียนรู้เราจึงต้องปฏิรูปการศึกษา2538
ปัญหาการศึกษาหลักของการศึกษาในปี 2538
1)การศึกษาไม่สอดคล้องกับสภาพปัจจุบันและอนาคต
2)มีความไม่เสมอภาคอย่างมากสิทธิ โอกาส และ การเข้าถึงการศึกษาระหว่างคนเมือง และในชนบท ระหว่างฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมของผู้เรียน
3)คุณภาพโดยทั่วไปยังอ่อนด้อยและมีความแตกต่างกันมากระหว่างสถานศึกษา
4)ในการบริหารจัดการ มีการรวมอำนาจสู่ส่วนกลางสูงมาก ประชาชน ชุมนุม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นมีส่วนร่วมน้อยมาก
และนักเรียนเพิ่มขึ้นในระยะปฏิรูปการศึกษาถึง 4.35 ล้านคน จากเดิม 12.33ล้านคนที่ไม่ได้เรียนฟรี ปี 2540 16.68 ล้านคนเรียนฟรี มีครู บุคลากรทางการศึกษาเพิ่มนับแสนคน มีสถานศึกษาศึกษาเพิ่มเติมหลายพันแห่งในช่วง ปี2538-2540 ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะบริหารจากส่วนกลางอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
5)ทั้งที่รวมอำนาจสู่ส่วนกลางแต่ขาดเอกภาพในนโยบายเพราะหลายกรมและกระทรวงโดยไม่มีการประสานงาน
6)เมื่อเปรียบเทียบกับนานาชาติ การศึกษาไทย แข่งขันไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการประเมินโดยวัดจากประสิทธิผลนักเรียนระดับประถมศึกษาหรือระดับมัธยมศึกษา ซึ่งประเมินโดยการวิจัยร่วมกันโดยองค์กรระหว่างประเทศ หรือโดยการแข่งขันวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์โอลิมปิค หรือโดยการแข่งขันวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์โอลิมปิคหรือโดยวัดจากสรรถนะในการแข่งขันของกำลังคนโดยองค์กรต่างๆ
7)พ่อ แม่ ผู้ปกครองต้องวิ่งหาโรงเรียนให้บุตรหลานเพื่อเข้าอบรมเลี้ยงดูระดับอนุบาล เข้าเรียนระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษา ต้องมีการกวดวิชา ต้องมีการสอบแข่งขันอย่างเข้มข้นในทุกระดับ โดยเฉพาะการเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษา ประเทศไทยคงเป็นประเทศเดียวที่ให้เด็กกวดวิชาเพื่อเข้าอนุบาล
8)ผู้เรียนต้องนั่งเรียนนั่งท่องจำอยู่ในห้องเรียน ไม่มีโอกาสแสดงออกไม่ความสุขในการเรียน
หลักการปฏิรูปการศึกษา2538
1) ประชาชนทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกฐานะ อยู่ห่างไกลพิการ หรือ มีความสามารถพิเศษต้องได้รับการศึกษาตลอดชีวิต
2) ทุกส่วนของสังคมต้องผนึกกำลังกันสนับสนุนการศึกษา ดังนั้นจึงต้องปฏิรูประบบบริหารจัดการ
3)ต้องปฏิรูปเนื้อหาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง ฉะนั้นในการจัดการศึกษาต้องยึดแนวทางดังนี้
3.1)มีเอกภาพด้านนโยบายหลากหลายในการปฏิบัติ
3.2)มีการกระจายอำนาจไปยังสถานศึกษา เขตพื้นที่การศึกษา และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้ประชาชน
3.3)มีการกำหนดมาตรฐานการศึกษา
3.4)มีหลักการส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพครู บุคลากรทางการศึกษาและมีการพัฒนาอย่างอย่างต่อเนื่อง
3.5) ระดมทรัพยากรจากแหล่งต่างๆ มาใช้ในจัดการศึกษา
3.6) ให้ประชาชนองค์กรเอกชนองค์กรชุมชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันทางสังคม สถาบันทางศาสนา และ สถานประกอบการมีส่วนร่วม
ผลของการปฏิรูปการศึกษา2538
1)การศึกษาจึงมีบทบาทสำคัญที่สุดต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศตั้งแต่ปี2538 จนจบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8
ประชาชนได้รับบริการทางการศึกษาตลอดชีวิต ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย เพื่อให้คนไทยมีค่าเฉลี่ยการศึกษา12ปี โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย และ ทุกส่วนของสังคมมีส่วนร่วมในการศึกษา รวมทั้งพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง การจัดการการศึกษายึดหลักความมีเอกภาพด้านนโยบาย ความหลากหลายในการปฏิบัติ การกระจายอำนาจไปสู่สถานศึกษา การกำหนดมาตรฐานการศึกษา การส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพครู และพัฒนาครูอย่างต่อเนื่อง
2)ประชาชนได้รับสิทธิ และโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่น้อยกว่า 12ปีอย่างทั่วถึง เด็กในระบบก่อนปฏิรูปการศึกษาจำนวน12.33 คน และ เด็กนอกระบบการศึกษาได้กลับเข้าเรียน4.35คน รวมเด็กที่ได้รับบริการทางการศึกษา16.68 คน เด็กไทยทุกคนในยุคปฏิรูปการศึกษา2538 ได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย12ปี บุคคลผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นพิเศษ บิดา มารดา บุคคล ชุมชนและ องค์กรต่างๆ
กระทรวงศึกษาธิการในยุคปฏิรูปการศึกษา2538 ได้เพิ่มสถานศึกษาสำหรับผู้พิการหลายสิบแห่งระหว่างปี 2538-2540
3)ระบบการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการให้บริการทางการศึกษา3 รูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ผลการเรียนทั้ง3 รูปแบบสามารถเทียบโอนกันได้ ไม่ว่าจะเป็นผลจากสถานศึกษารูปแบบใด
4) แนวทางจัดการศึกษา การจัดการศึกษาเน้นทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ และ บูรณาการความรู้ ความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับสังคมเพื่อพัฒนาทักษะต่างๆที่จำเป็น สำหรับการประกอบอาชีพ และดำรงชีวิตอย่างมีความสุข
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นผู้กำหนดหลักสูตรแกนกลาง และ สถานศึกษาขั้นพื้นฐานจัดทำหลักสูตรท้องถิ่น ให้สถานศึกษาใช้วิธีการหลากหลายในการประเมินผลผู้เรียน และ จัดสรรโอกาสเข้าศึกษาต่อ
5)การบริหารและการจัดการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการกำกับดูแลการศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม
กำหนดนโยบาย แผน และ มาตรฐานการศึกษา รวมทั้งสนับสนุนทรัพยากร โดยบริหารงาน ตามการปฏิรูปการศึกษา 4 แนวทาง
1 โรงเรียน 2 ครู 3 หลักสูตรการเรียนการสอน 4 การบริหารสถานศึกษาแบบนิติบุคคล กระทรวงศึกษาธิการกระจาย อำนาจไปยังสถานศึกษาโดยตรง
6)มาตรฐานการศึกษา เพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาตั้งแต่ปฐมวัย ประถมศึกษา มัธยมต้น มัธยมปลาย อาชีวะ หน่วยงานต้นสังกัด
7)ครูและบุคลากรทางการศึกษา ส่งเสริมวิชาชีพครูและ บุคลากรทางการศึกษาให้เป็นวิชาชีพชั้นสูง จัดสรรงบประมาณและกองทุนสำหรับพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางศึกษาอย่างเพียงพอ แก้ไขปัญหาการเลื่อนไหลของเงินเดือนระดับ 7 ค่าตอบแทน สวัสดิการ มีจรรยาบรรณครู กระจายอำนาจการบริหารบุคคลลงสู่สถานศึกษา
8 ทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษา
มีการระดมทรัพยากรและการลงทุนด้านงบประมาณ การเงินและทรัพย์สินจากรัฐ และทุกส่วนของสังคม รวมทั้งต่างประเทศ มาใช้จัดการศึกษา สถานศึกษาทุกแห่งเป็นนิติบุคคล มีอำนาจปกครอง ดูแลบำรุงรักษา ใช้และจัดการผลประโยชน์จากทรัพย์สินของตน
รัฐบาลยุคปฏิรูปการศึกษา2538 จัดสรรงบประมาณให้กับการศึกษาในฐานะมีความสำคัญสูงสุดต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ
9)เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ภายใต้ระบบโรงเรียนนิติบุคคล สถานศึกษาจัดหาห้องเรียนภาษาอังกฤษ ห้องวิทยาศาสตร์ และ ห้องคอมพิวเตอร์ กระทรวงศึกษาธิการจัดหลักสูตรภาษาอังกฤษและคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่ชั้นประถม1ทั่วประเทศ
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 7 มีปัญหาในการปฏิบัติการในพื้นที่ คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล จึงคิดกระบวนทัศน์ใหม่ ในการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 โดยมีวัตถุประสงค์ให้ผู้จัดทำแผน และ ผู้ปฏิบัติ เป็นคนเดียวกัน
แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 เป็นแผนปฏิรูปความคิดและคุณค่าใหม่ของสังคมไทย ที่เน้นให้ “คนเป็น ศูนย์กลางของการพัฒนา” และใช้เศรษฐกิจเป็นเพียงเครื่องมือช่วยพัฒนาให้คนมีความสุขและมีคุณภาพ ชีวิตที่ดีขึ้น พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนวิธีการพัฒนามาเป็นการพัฒนาแบบองค์รวม มีกระบวนการที่จะเชื่อมโยง มิติต่างๆ ของการพัฒนา ตลอดจนเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายร่วมกันจัดทำแผน
แผนพัฒนาฯฉบับที่ 8 นับเป็นจุดเริ่มต้นของการขับเคลื่อนพลังทางสังคมให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างกว้างใหญ่ และนำไปสู่การสร้างแนวคิดพื้นฐานในการจัดทำรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยเพื่อปฏิรูปประเทศไทย 2540
หลังจากการเลือกตั้งพฤศจิกายน 2539 คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล ได้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีอีกตำแหน่งหนึ่ง ดังนั้นเมื่อมีการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้น เมื่อ 26 ธันวาคม 2539 คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีคนที่1 และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จึงผลักดันให้ อดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกระทรวงศึกษาธิการ กว่าสิบท่านได้เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ
สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญเหล่านี้ ได้ร่วมกับคณะปฏิรูปการศึกษา2538 ผลักดันให้มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญให้ชัดเจน เพื่อให้การปฏิรูปการศึกษา2538-2550 ต่อเนื่อง
ดังนั้นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ซึ่ง ตราไว้ ณ วันที่11ตุลาคม2540 ในขณะที่คุณพ่อสุขวิช รังสิตพลดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี จึงมี มาตรา 81 ระบุให้จัดทำพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ และ ยังมีมาตราอื่นๆอีก รวม9มาตรา คือ มาตรา 40 42 43 69 46 53 55 80 และ 289 ที่ระบุโดยตรงถึงสิทธิ หน้าที่ ทรัพยากรฯลฯ รวมทั้งมาตราอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาโดยอ้อม
รางวัลด้านการศึกษาจาก UNESCO
ระหว่างปี 2540-2541 ประเทศไทยได้รับรางวัลด้านการศึกษาจากUNESCO 3 รางวัล
โดยรางวัลประเภทองค์กรปฏิรูปการศึกษารับร่วมกับ ประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
เด็กนักเรียนที่รับบริจาคเงิน รู้สึกด้อยค่า ต้องรับเงินบริจาค ไม่ได้สิทธิ์ความเป็นมนุษย์อย่างเสมอภาค ทั้งที่สิทธิการศึกษาฟรีเป็นสิทธิพื้นฐานของคนไทยตามรัฐธรรมนูญ https://www.eef.or.th/103-2/
ปี 2567 อ้างอิงคุณวิโรจน์ก้าวไกล การศึกษาไทยตกต่ำต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2000 หรือ 2543 ต่ำลงทุกปี จนกระทั่งถึงปี 2567 ซึ่งหลงทางอยู่กลางป่าช้า จะใส่คลิปอ้างอิงในความคิดเห็นค่ะ