JJNY : โรมคาใจ ‘ทักษิณ’│อดีตเสื้อแดงนัดดักรอทักษิณ│SCB EIC หั่นจีดีพีปีนี้เหลือ 2.7% │สภายุโรปรับรองกฎหมายควบคุมเอไอ

โรม คาใจ ‘ทักษิณ’ ปิ๊กเชียงใหม่ ป่วยจริงหรือรบ.หลอกปชช. รับ โทนี่ มีอิทธิพลทางการเมือง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4471522
 
 
“โรม” คาใจ “ทักษิณ” ปิ๊กเชียงใหม่ ป่วยจริงหรือรัฐบาลหลอกประชาชน ยอมรับ “โทนี่”มีอิทธิพลทางการเมืองจริง จากอภิปรายเทียบ “เศรษฐา” ปฏิกิริยาแตกต่าง ไม่รู้ใครนายกฯตัวจริงแน่
 
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 14 มีนาคม ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์กรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ มีนัยยะทางการเมืองในช่วงที่ใกล้จะมีการเลือกตั้งนายก อบจ.หรือไม่ ว่า หลายฝ่ายก็มองความเป็นไปได้ว่าสุดท้ายนายทักษิณต้องการทวงคืนพื้นที่ ก็คงต้องไปรอดูรายละเอียดมากกว่านี้ แต่อาจจะเป็นการอยากกลับบ้านหรือไม่ก็ได้ แต่สิ่งที่ต้องมองมากกว่านี้ที่สังคมเข้าใจคือเรื่องสุขภาพ เพราะที่ผ่านมาประชาชนรับรู้ว่านายทักษิณสุขภาพแย่มาก แต่อยู่ๆ ก็สามารถเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ได้ คิดว่าเรื่องนี้ทำให้เกิดความคาใจว่าตกลงแล้วรัฐบาลหลอกเราหรือไม่ เพราะถ้ารัฐบาลไม่ตรงไปตรงมากับประชาชน เชื่อว่าเป็นรัฐบาลที่ใช้ไม่ได้ ดังนั้นถ้านายทักษิณไม่ได้ป่วยจริง และรัฐบาลหลอก ก็ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน
 
นายรังสิมันต์กล่าวต่อว่า ในทางการเมืองต้องยอมรับว่านายทักษิณ มีอิทธิพลต่อการเมืองไทย ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ พวกเราเคยอภิปรายถึงนายทักษิณ ถึงนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและ รมว.คลังในสภา เห็นปฏิกิริยาที่แตกต่างกันคนละเรื่อง จึงเริ่มไม่แน่ใจว่าตกลงใครคือนายกรัฐมนตรี ใครไม่ใช่ หลังจากนี้เชื่อว่านายทักษิณก็จะมีบทบาทสำคัญ ส่วนจะเป็นในการเลือกตั้งนายก อบจ.หรือเลือกตั้งระดับอื่น เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาและวางยุทธศาสตร์ทางการเมือง แต่สุดท้ายอาจจะเป็นแค่อยากกลับบ้านก็เป็นไปได้
 
ผมอยากโฟกัสถึงความตรงไปตรงมา ความซื่อสัตย์ของรัฐบาลมากกว่า ไม่ต้องการเห็นรัฐบาลที่หลอกลวงประชาชน อยากเห็นรัฐบาลที่พูดความจริง ซึ่งหลายฝ่ายบอกว่านายทักษิณถูกกระทำมาก่อน ผมก็เห็นด้วย มีหลายข้อที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่การแก้ไขไม่ใช่การโกหก ต้องมาคุยด้วยกติกาในระบบ ซึ่งสามารถแก้ไขได้” นายรังสิมันต์กล่าว
 
เมื่อถามว่า จะนำเรื่องนี้มาอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 หรือไม่ นายรังสิมันต์กล่าวว่า ยังอยู่ในกระบวนการสรุปหัวข้ออภิปราย คงยังตอบไม่ได้ แต่จะพยายามหยิบยกเรื่องสำคัญขึ้นมา เนื่องจากครั้งนี้เป็นการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ คงไม่นำไปสู่การถอดถอนนายกฯ หรือรัฐมนตรีได้ แต่แน่นอนว่ามีภาระทางการเมืองที่รัฐบาลต้องตอบและต้องยอมรับ เพราะถ้าเราดูจากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในการจัดตั้งรัฐบาล มาจนมาถึงกรณีของนายทักษิณ ที่ประชาชนไม่เชื่อว่ารัฐบาลพูดความจริง ผนวกกับเมื่อฟังคำตอบในเวทีการอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 ก็จะยิ่งสร้างปัญหาความไม่เชื่อมั่นต่อรัฐบาล ขออย่าดูเบาผลลัพธ์ทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องจับตาดู
 
นายรังสิมันต์กล่าวต่อว่า ต้องยอมรับว่าเรามีเวลาน้อย เนื่องจากมีการอภิปรายร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 ต้องพูดตรงๆ ว่ารัฐบาลนี้ไม่เหมือนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่สามารถนับการบริหารตั้งแต่ คสช.ต่อเนื่องมา ดังนั้นหากคิดว่ารัฐบาลนี้ตอบไม่ดี จะไม่ใช่ปัญหาเฉพาะในวันนี้ แต่จะเป็นปัญหาในการบริหารงานในอนาคตอย่างแน่นอน ยืนยันว่าการอภิปรายในครั้งนี้ไม่ใช่หมัดแย็บ แต่จะเป็นคำถามสำคัญ แม้พรรคก้าวไกล จะต้องเผชิญกับความท้าทายในเรื่องอื่นก็ตาม แต่ยอมรับว่ามีหลายเรื่องที่ทำให้เราหลุดโฟกัส เช่น การที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่งเรื่องยุบพรรคไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ
 
เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าพรรคก้าวไกลมักอ้างว่าจะแตะไปที่กระบวนการในกรณีของนายทักษิณ ไม่เหมือนกับยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ที่พุ่งไปที่ตัวบุคคล นายรังสิมันต์กล่าวว่า ครั้งที่เราอภิปราย ไม่ใช่ว่าเราไม่แตะนายทักษิณ เราอภิปรายถึงกระบวนการที่เกี่ยวข้องหลายครั้ง แต่ที่โฟกัสกระบวนการเพราะยั่งยืนที่สุด และต้องยอมรับว่านายทักษิณกับ พล.อ.ประยุทธ์เป็นคนละกรณีกัน เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ยึดอำนาจมา และสืบทอดอำนาจ แต่กรณีนายทักษิณที่สามารถกลับเข้าประเทศได้ ตนมองว่าเป็นกระบวนการที่ไม่ควรเกิดขึ้นในลักษณะนี้ เพราะไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นกับทุกคนได้ สุดท้ายสังคมจะมองเป็นอภิสิทธิ์ชน ซึ่งการที่สังคมไทยถูกทำให้รู้สึกว่ามีคนบางกลุ่มได้อภิสิทธิ์บางอย่างเหนือกว่าคนอื่น สังคมจะอยู่ได้อย่างไร และไม่มีทางไว้ใจกัน สุดท้ายใครอยากได้อภิสิทธิ์แบบนี้ ก็ต้องมีเส้นสาย มีเครือข่ายเข้าถึงศูนย์กลางอำนาจ เป็นสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น
 

 
อดีตเสื้อแดง นัดดักรอทักษิณ หน้ามช. ทวงความยุติธรรมโดนคดีการเมือง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4471386

อดีตเสื้อแดง นัดดักรอทักษิณ หน้ามช. ทวงความยุติธรรมโดนคดีการเมือง
 
วันที่ 14 มีนาคม รายงานข่าวแจ้งว่า แกนนำเครือข่ายภาคประชาชนและนักกิจกรรมทางการเมืองในจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า เวลา 09.00 น. วันที่ 15 มีนาคม เครือข่ายภาคประชาชน นักกิจกรรมทางการเมือง อดีตคนเสื้อแดง และนักศึกษา นัดหมายรวมตัวกันเพื่อยืนถือป้ายส่งสารถึงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี บนถนนห้วยแก้ว หน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งมีกำหนดการเดินทางขึ้นไปวัดพระธาตุดอยสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่
โดยเครือข่ายฯเตรียมป้ายเขียนข้อความทวงถามความยุติธรรมจากนายทักษิณ ที่ทอดทิ้งและหลอกลวงคนเสื้อแดง และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เคยต่อสู้ร่วมกันเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย แต่พรรคเพื่อไทยกลับข้ามขั้วไปจับมือกับฝ่ายตรงข้ามเพื่อจัดตั้งรัฐบาล ในขณะที่คนเสื้อแดงหลายคนถูกดำเนินคดี และติดคุก
 
เราตั้งใจจัดกิจกรรมกันอย่างสงบเพื่อแสดงสัญลักษณ์ และส่งสารถึงนายทักษิณเท่านั้น เมื่อขบวนรถของนายทักษิณผ่านไปแล้ว ก็จะแยกย้ายกันไม่ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายอะไร” แกนนำเครือข่ายฯ กล่าว
 

  
SCB EIC หั่นจีดีพีไทยปีนี้เหลือ 2.7% หลังงบประมาณอืด คาด กนง.ลดดอกเบี้ย 2 ครั้งครึ่งแรกของปีนี้
https://siamrath.co.th/n/521310

SCB EIC หั่นจีดีพีไทยปีนี้เหลือ 2.7% หลังงบประมาณอืด คาด กนง.ลดดอกเบี้ย 2 ครั้งครึ่งแรกของปีนี้
 
SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจโลกในปี 2567 มีแนวโน้มเติบโต 2.6% ใกล้เคียงปีก่อน มุมมองปรับดีขึ้นจากแรงส่งที่ดี ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 และกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวได้ดีในช่วงต้นปีนี้ โดยกิจกรรมในภาคบริการขยายตัวเร่งขึ้น ขณะที่กิจกรรมในภาคการผลิตเริ่มกลับมาขยายตัวจากที่หดตัวต่อเนื่อง นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกจะได้รับแรงสนับสนุนจากการค้าโลกที่มีแนวโน้มปรับดีขึ้นและอัตราเงินเฟ้อโลกที่ชะลอตัวลง แต่ยังมีแรงกดดันจากผลกระทบของภาวะดอกเบี้ยสูง ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ยืดเยื้อ และปัญหาห่วงโซ่อุปทานโลกจากปัญหาการขนส่งบริเวณทะเลแดงและคลองปานามาที่แห้งแล้ง ธนาคารกลางกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักจะเริ่มปรับทิศการใช้นโยบายการเงินไตรมาส 2 ปีนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้ง รวม 75 BPS ขณะที่ธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางอังกฤษจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้ง รวม 100 BPS ตามทิศทางเงินเฟ้อที่ปรับชะลอลง ด้านธนาคารกลางญี่ปุ่นมีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้ง รวม 20 BPS ซึ่งเป็นการยุตินโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ ขณะที่ธนาคารกลางจีนจะยังใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายพยุงเศรษฐกิจต่อเนื่อง
 
สำหรับมุมมองต่อเศรษฐกิจไทย SCB EIC ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปี 2567 เหลือ 2.7% (เดิม 3%) แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องได้ จากแรงขับเคลื่อนของการท่องเที่ยวและภาคบริการรวมถึงเศรษฐกิจด้านอุปสงค์อื่นที่กลับมาขยายตัวเร่งขึ้นในหลายองค์ประกอบ โดยเฉพาะการส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มดีขึ้น แต่แรงส่งภาครัฐจะยังหดตัวต่อเนื่องในไตรมาสแรกจากความล่าช้าของการประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2567 กอปรกับปัญหาสินค้าคงคลังสะสมสูงจากปีก่อนจะยังไม่สามารถคลี่คลายได้เร็ว ส่วนหนึ่งจากปัญหาเชิงโครงสร้างในภาคการผลิตไทย โดยเฉพาะภาคการส่งออกไทยที่สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภาคอุตสาหกรรมไทยจะยังฟื้นช้าต่อเนื่องมาในปีนี้ 
 
ในส่วนของเงินเฟ้อไทยที่ติดลบต่อเนื่องหลายเดือน SCB EIC ประเมินว่า ไทยยังไม่เผชิญภาวะเงินฝืด โดยเงินเฟ้อจะกลับมาเป็นบวกตั้งแต่เดือน พ.ค. เนื่องจากมาตรการช่วยเหลือด้านราคาพลังงานจะสิ้นสุดลง โดยเฉพาะราคาน้ำมันในประเทศที่จะเริ่มปรับสูงขึ้น นอกจากนี้ เงินเฟ้อยังมีความเสี่ยงด้านสูงท่ามกลางความเสี่ยงห่วงโซ่อุปทานโลกชะงักจากสถานการณ์ทะเลแดง สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง รวมถึงนโยบายควบคุมการส่งออกของบางประเทศที่อาจทำให้ราคาสินค้าเกษตรบางชนิดเพิ่มขึ้น เช่น ข้าวและน้ำตาล เงินเฟ้อทั่วไปในช่วงครึ่งหลังของปีจึงจะเร่งกลับไปแตะกรอบเงินเฟ้อได้ โดย SCB EIC ประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไป และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2567 อยู่ที่ 0.8% และ 0.6% ตามลำดับ
 
ในระยะยาว ปัญหาเชิงโครงสร้างในภาคการผลิตไทยที่รุนแรงขึ้นยังกดดันให้ศักยภาพเศรษฐกิจไทยปรับลดลงจากประมาณการในอดีต SCB EIC ประมาณการศักยภาพเศรษฐกิจไทยในช่วงก่อนเกิดโควิด (ปี 2560 – 2562) อยู่ที่ระดับ 3.4% ขณะที่ศักยภาพเศรษฐกิจไทยในระยะยาวเติบโตต่ำลงเหลือ 2.7% (จากเดิม 3% ประเมิน ณ เดือน ธ.ค.2566) ซ้ำเติมเทรนด์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาวที่มีทิศทางลดลงอยู่ก่อนแล้ว สาเหตุหลักมาจาก 1) ผลิตภาพการผลิต (Total factor productivity) ของไทยต่ำลงเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งจากปัญหาผลิตภาพแรงงานไทยลดลงและกฎเกณฑ์ภาครัฐจำนวนมากที่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ 2) ปัจจัยทุน (Capital) ของไทยที่มีแนวโน้มลดลงจากสัดส่วนการลงทุนในประเทศที่ลดลงกว่าครึ่ง เหลือประมาณ 24% ของ GDP ในช่วง 2 ทศวรรษหลัง และความสามารถในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (FDI) ของไทยต่ำลงหากเทียบประเทศในภูมิภาคอาเซียน และ 3) ปัจจัยกำลังแรงงาน (Labor) ที่มีแนวโน้มลดลงจากการเข้าสู่สังคมสูงวัยเร็ว 
 
SCB EIC ประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะทยอยลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากระดับปัจจุบันที่ 2.5% มาอยู่ที่ 2% ภายในครึ่งแรกของปีนี้ เพื่อรักษาบทบาทนโยบายการเงินที่เป็นกลางต่อเศรษฐกิจไว้เช่นเดิม หลังการ Recalibrate กลไกการทำนโยบายการเงินจากปัจจัยเชิงโครงสร้างภาคการผลิตที่รุนแรงขึ้นและประเมินนัยต่อระดับอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมกับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว (Neutral rate) ที่ต่ำลง โดย SCB EIC ประเมินว่า Neutral rate ของไทยได้ลดต่ำลงมาอยู่ที่ราว 2.1% แล้ว (จากระดับเดิม 2.5%) ซึ่งการปรับลดดอกเบี้ยครั้งนี้นอกจากจะเป็นการปรับ Stance ของนโยบายการเงินให้เหมาะสมกับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่เปลี่ยนไปได้ทันสถานการณ์แล้ว จะยังมีผลช่วยบรรเทาภาระหนี้สูง โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจและครัวเรือนเปราะบางที่อาจได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยขาขึ้นมากกว่ากลุ่มอื่น รวมถึงช่วยเพิ่มปัจจัยบวกต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของไทยท่ามกลางแรงส่งภาครัฐที่ยังติดขัดในปีนี้ได้อีกทาง ค่าเงินบาทในระยะสั้นจะทรงตัวในกรอบ 35-36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากปัจจัยต่างประเทศมีผลทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมากแล้ว เงินบาท ณ สิ้นปีมีแนวโน้มแข็งค่าในกรอบ 33.50-34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่จะอ่อนค่าลงตามการลดดอกเบี้ยของ Fed และเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนขึ้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่