JJNY : ไข่ไก่ขึ้น มีผลพรุ่งนี้│"SCB EIC"ปรับลดเป้า ศก.ไทย│"ไพศาล"แนะจับตาไสยศาสตร์ทางกม.│ปาปัวนิวกินีหวั่นดินถล่มรอบใหม่

ไข่ไก่ ขึ้นราคาอีก 20 สตางค์ เป็นฟองละ 4 บาท มีผลพรุ่งนี้
https://www.matichon.co.th/economy/news_4597743

 
ไข่ไก่ ขึ้นราคาอีก 20 สตางค์ เป็นฟองละ 4 บาท มีผลพรุ่งนี้

เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครือข่ายสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ ประกอบด้วย สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่แปดริ้ว จำกัด, สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ชลบุรี จำกัด, สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่เชียงใหม่-ลำพูน จำกัด และสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ลุ่มแม่น้ำน้อย จำกัด ได้ออกประกาศแจ้งสมาชิกสหกรณ์และเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ ปรับราคาไข่ไก่คละ ณ หน้าฟาร์มกษตรกร ขึ้นราคาอีกแผงละ 6 บาท หรือฟองละ 20 สตางค์ ตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป หากมีการเปลี่ยนแปลงราคาจะแจ้งให้ทราบภายหลัง

ส่งผลให้ราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์ม น้ำหนัก 20.5 กก.ขึ้นไป จากปัจจุบันอยู่ที่ฟองละ 3.80 บาท เป็นฟองละ 4 บาท นับเป็นการปรับขึ้นรอบ 3 จากครั้งแรกวันที่ 17 เมษายน 2567 ครั้งที่ 2 วันที่ 29 เมษายน 2567
 

 
"SCB EIC" ปรับลดเป้า ศก.ไทยปี 67 เหลือ 2.5% จาก 3 ข้อจำกัด แม้จีดีพีไตรมาสแรกออกมาสูงกว่าคาด
https://siamrath.co.th/n/539454

SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวดีขึ้นในปี 2567 ใกล้เคียงปีก่อน จากเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีนที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีขึ้นเป็นหลัก โดยอุปสงค์
ในประเทศของสหรัฐฯ ยังขยายตัวดี ขณะที่เศรษฐกิจจีนกลับมาขยายตัวดีขึ้นในระยะสั้นตามวัฏจักรภาคการผลิตและการส่งออกที่ฟื้นตัว รวมถึงได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ อย่างไรก็ดี ปริมาณการค้าโลกมีแนวโน้มขยายตัวต่ำลงจากปัญหาการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้น
สำหรับนโยบายการเงินโลก ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในไตรมาส 3 รวมทั้งปี 2 ครั้ง 50 BPS ธนาคารกลางยุโรป (ECB) คาดว่าจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วกว่าสหรัฐฯ ตั้งแต่เดือน มิ.ย. รวมทั้งปี 4 ครั้ง 100 BPS จากอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงเร็วกว่าคาด สำหรับธนาคารกลางจีน (PBOC) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องในปีนี้ เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจควบคู่กับมาตรการการคลัง ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในช่วงท้ายปีตามแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในระยะกลางที่สูงขึ้นจากประมาณการเดิมของ BOJ
 
SCB EIC ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2567 (ไม่รวม Digital wallet) เหลือ 2.5% (เดิม 2.7%) แม้ว่าข้อมูลเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกออกมาขยายตัวดีกว่าคาด โดยมีแรงส่งหลักมาจากการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวดีต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวของภาคบริการและการท่องเที่ยวจากการทยอยกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน รวมถึงการขยายมาตรการฟรีวีซ่าให้นักท่องเที่ยวอินเดียและไต้หวัน อย่างไรก็ดี มองไปข้างหน้าภาพรวมองค์ประกอบเศรษฐกิจส่วนใหญ่แผ่วลง โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าที่มีแนวโน้มขยายตัวต่ำลง และการใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งแม้ว่าจะกลับมาเร่งตัวจากการเร่งรัดเบิกจ่ายหลัง พ.ร.บ. งบประมาณ 2567 ประกาศใช้ล่าช้ากว่าครึ่งปี แต่จะไม่สามารถชดเชยการหดตัวรุนแรงในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ได้
สำหรับในช่วงที่เหลือของปี 2567 เศรษฐกิจไทยจะมีแรงกดดันเพิ่มขึ้นหลายด้าน ได้แก่
 
1. การส่งออกขยายตัวจำกัด ส่วนหนึ่งเพราะการส่งออกไทยเริ่มฟื้นตัวไม่สอดคล้องกับปริมาณการค้าโลกมากขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกสินค้ากลุ่มแผงวงจรไฟฟ้า เครื่องจักรกล รถยนต์และส่วนประกอบ
 
2.ภาคการผลิตที่ฟื้นตัวช้ายังเป็นปัจจัยฉุดรั้งเศรษฐกิจ โดยยังคงมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องจากสินค้าคงคลังที่ยังอยู่ในระดับสูง และส่วนหนึ่งจะถูกสินค้าจีนตีตลาดจากปัญหา Overcapacity ของภาคอุตสาหกรรมจีน

3.การบริโภคภาคเอกชนแผ่วลงจากที่เคยขยายตัวได้ดีใน 2 ปีที่ผ่านมา ผลจากรายได้ฟื้นช้าทำให้ครัวเรือนเปราะบางสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่า 60,000 บาทต่อเดือนซึ่งเป็นกลุ่มใหม่ที่เริ่มมีปัญหารายได้ไม่พอรายจ่าย
 
SCB EIC ประเมินว่า กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 1 ครั้งปลายปีนี้เหลือ 2.25% และปรับลดอีกครั้งเหลือ 2% ในช่วงต้นปีหน้า จากแรงส่งอุปสงค์ในประเทศในระยะข้างหน้าที่อาจได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากฐานะครัวเรือนที่ยังเปราะบางและปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยังมีอยู่ รวมถึงภาวะการเงินตึงตัวที่จะส่งผลกระทบชัดเจนขึ้น และความเสี่ยงเศรษฐกิจในปีหน้าที่จะปรับเพิ่มขึ้น สำหรับค่าเงินบาทผันผวนสูงและอ่อนค่าเร็วช่วงต้นเดือน เม.ย. จากภาวะ Risk-off ของสงครามอิสราเอล-อิหร่าน และตลาด Price-in การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายช้าลงของ Fed ต่อมาเงินบาทกลับแข็งค่าเร็วหลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด สำหรับในระยะสั้นเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นในกรอบ 35.70-36.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และจะทยอยแข็งค่าต่อได้ในช่วงครึ่งหลังของปี จากแรงหนุนการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติและแนวโน้ม Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ย สำหรับ ณ สิ้นปีนี้มองเงินบาทจะแข็งค่าที่ราว 34.50-35.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
 
#ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ #SCBEIC #จีดีพี #ข่าววันนี้ #ส่งออก #กนง



"ไพศาล" แนะจับตาไสยศาสตร์ทางกฎหมาย come back
https://siamrath.co.th/n/539420

เมื่อวันที่ 28 พ.ค.67 นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมาย อดีตที่ปรึกษา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรองนายกฯ โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก ระบุข้อความว่า
 
จับตาไสยศาสตร์ทางกฎหมาย come back
 
จู่ๆนายกเศรษฐาก็ไปเยี่ยมนายวิษณุ เครืองามและบอกว่าเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่าง 2 คน
 
ก็เป็นที่รู้กันดีว่าการไปพบครั้งนี้ก็เพื่อปรึกษาหารือปัญหากฎหมาย เกี่ยวกับ 40 สว. ร้องขอถอดถอน
 
นายกเศรษฐาจากตำแหน่งกรณีนำความกราบบังคมทูล เพื่อโปรดเกล้าแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบานเป็นรัฐมนตรี ซึ่งนายวิษณุเคยให้ความเห็นว่า นายพิชิต ชื่นบานไม่ขาดคุณสมบัติ

การไปปรึกษากันครั้งนี้ก็น่าจะเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน และอย่าลืมว่านายวิษณุคือกลไกสำคัญเกี่ยวกับการขอพระราชทานอภัยโทษให้กับลุงโทนี่ ได้ไปเตรียมการที่กรมราชทัณฑ์ด้วยตนเอง ซึ่งต่อมาลุงโทนี่มาถึง ในคืนนั้นก็ได้ย้ายจากเรือนจำไปอยู่โรงพยาบาลตำรวจ จนเป็นข่าวฮือฮากันอยู่ในขณะนี้ บุญคุณความแค้นครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก

และลุงโทนี่นั้นมีอัธยาศัยไม่ลืมตอบแทนบุญคุณคน ดังนั้นจับตาดูให้ดี เพราะตอนนี้ตำแหน่งรัฐมนตรีด้านกฎหมายของคุณพิชิตชื่นบานยังว่างอยู่
ดีไม่ดีคุณวิษณุจะกลับมานั่งตำแหน่งรองนายก ดูแลด้านกฎหมาย เหมือนยุคไทยรักไทยก็ได้
 
และอาจจะได้เห็นการเสนอตั้งบรรดาศักดิ์ สมเด็จอัครมหาเสนาบดีให้กับใครบางคนเช่นเดียวกับสมเด็จฮุนเซนก็ได้ 
 
#ไสยศาสตร์ทางกฎหมาย #ข่าววันนี้ #ไพศาลพืชมงคล #ลุงโทนี่ #วิษณุเครืองาม

https://www.facebook.com/Paisal.Fanpage/posts/pfbid032JAuz9RCqEJF5VQ6t3Tn43B21qLP5gwdTTKeZqnW3HGueP7bsevSQpdJatLXGG2jl
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่