‘บิ๊กโจ๊ก’ ส่งทนายฟ้อง ‘สนธิ’ หมิ่นประมาท ตัดต่อคลิปเสียง ให้ร้ายสนิทสนม บิ๊ก ป.ป.ช.
https://www.matichon.co.th/local/crime/news_4433797
บิ๊กโจ๊ก ส่งทนายฟ้อง สนธิ หมิ่นประมาท หลังนำคลิปเสียงแอบบันทึก มาตัดต่อให้ร้าย ว่าสนิทสนม บิ๊ก ป.ป.ช. ถึงขั้นควบคุมได้ โดยไม่มีมูลความจริง
เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พล.ต.อ.
สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.) ส่งทนายความเดินทางไปที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ เพื่อยื่นฟ้องนาย
สนธิ ลิ้มทองกุล ฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน และนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ทำให้ได้รับความเสียหาย โดยนำมาเผยแพร่ผ่านช่องทาง สนธิทอล์ค และคุยทุกเรื่องกับ
สนธิ โดยพาดหัวข่าวว่า บิ๊ก จ.ใหญ่คับ ป.ป.ช.ถึงเวลาล้างบาง
พฤติการณ์ คือ นาย
สนธิ นำคลิปเสียงแอบบันทึก มาตัดต่อบางส่วน และมาปล่อยในรายการ สนธิทอล์ค และคุยทุกเรื่องกับ
สนธิ โดยพาดหัวข่าวว่า บิ๊ก จ.ใหญ่คับ ป.ป.ช.ถึงเวลาล้างบาง ซึ่งเป็นการให้ร้าย โดยระบุว่าคำพูดภายในคลิป บิ๊กโจ๊ก พูดในการประชุมมอบนโยบายและตรวจเยี่ยมการปฏิบัติราชการของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(สตม.) เมื่อกลางเดือนธันวาคม 2566 ซึ่งจากการตรวจสอบภาพและเสียงที่ สตม.บันทึกไว้ในระหว่างการประชุมมอบนโยบายและตรวจเยี่ยมการปฎิบัติงานของสตม.เมื่อกลางเดือนธันวาคม 2566 ซึ่งมีการเผยแพร่ลงบนช่องทาง YouTube ตั้งแต่ต้นรายการจนจบ ไม่ปรากฏข้อความ หรือเสียง ที่นาย
สนธิ นำมากล่าวอ้าง
ดังนั้นการกระทำของนาย
สนธิ จึงเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ หมิ่นประมาทโดยการโฆษณาและดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่า
บิ๊กโจ๊กเป็นข้าราชการตำรวจที่ทุจริตประพฤติมิชอบเป็นคนชั่วคนไม่ดี ทำให้ถูกเกลียดชังถูกผู้บังคับบัญชาตำหนิ ทั้งที่ข้อความทั้งหมดไม่มีมูลความจริง ตามที่นาย
สนธิ กล่าวอ้าง ในรายการ ทั้งนี้ศาลอาญากรุงเทพใต้ รับคำฟ้อง ตามเลขคดีดำ ที่ อ. 368/2567 ลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 และนัดไต่สวนมูลฟ้อง วันที่ 10 มิถุนายน 2567 เวลา 09:00 น. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้
SCB EIC ประเมินแรงส่งเศรษฐกิจไทยแผ่วลง ฉุดรั้งการฟื้นตัวต่อเนื่องในปีนี้
https://siamrath.co.th/n/515747
SCB EIC ประเมินแรงส่งเศรษฐกิจไทยแผ่วลง ฉุดรั้งการฟื้นตัวต่อเนื่องในปีนี้
เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/2023 ขยายตัวต่ำต่อเนื่อง
เศรษฐกิจไทยไตรมาส 4/2023 ขยายตัวเพียง 1.7%YOY เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน หรือ -0.6%QOQ_SA เทียบไตรมาสก่อนแบบปรับฤดูกาล เศรษฐกิจไทยด้านการใช้จ่าย (Expenditure approach) ในช่วงท้ายปี 2023 ยังมีแรงหนุนสำคัญจากการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนที่ดีต่อเนื่อง ตามความเชื่อมั่นผู้บริโภค จำนวนนักท่องเที่ยว และอัตราการว่างงานที่ดีขึ้น อีกทั้งการส่งออกสินค้าที่พลิกกลับมาขยายตัวได้ อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยมีแรงกดดันสำคัญจากการใช้จ่ายภาครัฐที่หดตัวสูงทั้งในด้านการบริโภคและการลงทุน โดยการลงทุนภาครัฐยังคงหดตัวสูง ตามการลดลงของการลงทุนรัฐบาลเนื่องจากความล่าช้าการประกาศ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2024 สำหรับ GDP ด้านการผลิต (Production approach) ภาคบริการขยายตัวดี โดยเฉพาะบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและการขายส่งและการขายปลีก ในขณะที่ภาคการก่อสร้างหดตัวสูงตามการลดลงของการก่อสร้างภาครัฐโดยเฉพาะการก่อสร้างของรัฐบาล และภาคเกษตรพลิกกลับมาหดตัวตามคาดเนื่องจากสภาพอากาศร้อนและแล้งที่เกิดขึ้นในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2023 ส่งผลให้ผลผลิตพืชหลายชนิดปรับตัวลดลง อีกทั้ง ภาคอุตสาหกรรมยังคงหดตัวต่อเนื่องตามการหดตัวของการผลิตเพื่อส่งออก
SCB EIC มองเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1/2024 ขยายตัวสูงขึ้น
SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1/2024 จะขยายตัวได้สูงขึ้นกว่าไตรมาสที่ผ่านมา มีแรงสนับสนุนต่อเนื่องจากการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวดี ตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่เร่งตัวจากนักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก โดยเฉพาะเดือนกุมภาพันธ์ที่ได้อานิสงส์จากเทศกาลตรุษจีนรวมถึงนักท่องเที่ยวหลายประเทศกลับมาใกล้เคียงระดับปกติ รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น มาตรการลดค่าครองชีพ โดยเฉพาะพลังงาน และโครงการ Easy e-receipt กระตุ้นการใช้จ่าย นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังมีแรงหนุนจากการการส่งออกที่กลับมาขยายตัวได้ต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยกดดันเศรษฐกิจไทยในไตรมาสนี้ จากการประกาศใช้ พ.ร.บ. งบประมาณฯ ปี 2024 ล่าช้าทำให้แรงส่งในการสนับสนุนเศรษฐกิจของภาครัฐมีแนวโน้มซบเซาในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2024 กดดันการบริโภคและลงทุนภาครัฐ
มองภาพรวมในปี 2024 เศรษฐกิจไทยยังน่าห่วงและฟื้นตัวช้า
SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2024 ฟื้นตัวช้า โดยมีแรงส่งจากการบริโภคภาคเอกชนตามการฟื้นตัวของภาคบริการจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องและการท่องเที่ยวในประเทศที่ผู้เยี่ยมเยือนไทยยังเติบโตดี การลงทุนภาคเอกชนฟื้นตัวดีขึ้นตามแนวโน้มการอนุมัติการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investment) และการส่งออกที่ฟื้นตัวจากแนวโน้มการค้าโลกที่ขยายตัวสูงขึ้นตามการฟื้นตัวของภาคการผลิตและการค้าโลก อย่างไรก็ดี ต้องจับตามองความเสี่ยงด้านห่วงโซ่อุปทานจากเหตุการณ์การโจมตีของกบฏฮูตีและความแห้งแล้งของคลองปานามา ในขณะที่ปัจจัยกดดันเศรษฐกิจไทยมาจากการลงทุนของภาครัฐมีแนวโน้มหดตัวตามความล่าช้าในการประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2024 ส่งผลให้ภาพรวมแรงสนับสนุนเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายภาครัฐมีแนวโน้มจำกัดในช่วงครึ่งแรกของปี ก่อนที่จะสามารถเร่งรัดการเบิกจ่ายได้มากขึ้นหลัง พ.ร.บ. งบประมาณ 2024 ประกาศใช้ในช่วงเดือน เม.ย. - พ.ค. โดยเฉพาะในด้านการลงทุน แต่จะไม่สามารถเร่งรัดได้อย่างเต็มที่ภายใต้ช่วงเวลาที่จำกัด อีกทั้ง ภาครัฐยังจะมีข้อจำกัดทางด้านงบประมาณมากขึ้นจากระดับหนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับสูงหลังวิกฤติโควิด นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยด้านอุปทานยังอ่อนแอ โดยเฉพาะภาคการผลิตที่หดตัวต่อเนื่องในหลายอุตสาหกรรมและยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวช้าในระยะต่อไป
#SCBEIC #เงินเฟ้อ #ดอกเบี้ย
Krungthai COMPASS คาดจีดีพีปี 67 โต 2.2-3.2% แนวโน้มฟื้นตัวอย่างอ่อนแอ
https://siamrath.co.th/n/515748
Krungthai COMPASS เผยจีดีพีไตรมาส 4 ขยายตัวเพียง 1.7% จากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐที่หดตัว ขณะที่ทั้งปี 2566 เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพียง 1.9% คาดจีดีพีปี 2567 โต 2.2-3.2% แนวโน้มฟื้นตัวอย่างอ่อนแอ
เศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 4/2566 โตอย่างจำกัดที่ 1.7%YoY เมื่อเทียบรายไตรมาสหดตัว 0.6%QoQSA จากแรงฉุดของการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐที่หดตัวลงเป็นหลัก ขณะที่ทั้งปี 2566 เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เพียง 1.9% ชะลอลงจาก 2.5% ในปี 2565 สอดคล้องกับมุมมองของ Krungthai COMPASS ที่ประเมินว่าจีดีพีไตรมาส 4 จะขยายตัว 1.9% ส่วนทั้งปี 2566 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 1.9%
สำหรับในปี 2567 สภาพัฒน์ได้ปรับประมาณการเติบโตของจีดีพีลงมาในกรอบ 2.2-3.2% (ค่ากลางที่ 2.7%) ใกล้เคียงกับการคาดการณ์ของ Krungthai COMPASS ที่มองว่าจีดีพีปีหน้าจะฟื้นตัวอย่างอ่อนแอที่ 2.7% ทั้งนี้ สภาพัฒน์ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่อเนื่อง จากแรงหนุนของการฟื้นตัวในภาคการท่องเที่ยว และการกลับมาขยายตัวของภาคการส่งออก แต่ต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และการลดลงของแรงขับเคลื่อนทางการคลัง ซึ่ง Krungthai COMPASS มีข้อแนะนำภาคธุรกิจเพิ่มเติมให้เตรียมรับมือกับการรีเซ็ตเครื่องยนต์หลักทั้งสหรัฐฯ และจีนที่อาจดับลงพร้อมกัน จากความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ และสงครามการค้าครั้งใหม่ รวมถึงการรีเซ็ตเศรษฐกิจโลกภายใต้ภาวะการเงินตึงตัว
จีดีพีไตรมาส 4 โต 1.7%YoY แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหดตัว -0.6%QoQSA ตามแรงฉุดของการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐที่หดตัว
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานตัวเลขจีดีพีในไตรมาสที่ 4/2566 โดยเติบโต 1.7%YoY จากปีก่อน และเมื่อเทียบรายไตรมาสแล้วหดตัวลง -0.6%QoQSA จากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ทั้งปี 2566 เศรษฐกิจไทยชะลอลงจาก 2.5% ในปี 2565 ขยายตัวได้เพียง 1.9% สอดคล้องกับการคาดการณ์ของ Krungthai COMPASS ซึ่งประเมินว่าจีดีพีไตรมาส 4 จะขยายตัวที่ 1.9% ส่วนทั้งปี 2566 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 1.9% ทั้งนี้ การรายงานเศรษฐกิจของสภาพัฒน์ด้านรายจ่ายในไตรมาสที่ 4/2566 มีประเด็นสำคัญ ได้แก่
การอุปโภคบริโภคเอกชนขยายตัว 7.4% ขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนที่เติบโต 7.9% สอดคล้องกับการจ้างงานและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ฟื้นตัวต่อเนื่องโดยการใช้จ่ายหมวดบริการขยายตัวสูง 12.8% จากการใช้จ่ายในกลุ่มโรงแรมและภัตตาคาร และกลุ่มบริการทางการเงิน ประกอบกับการใช้จ่ายหมวดสินค้าไม่คงทนซึ่งเร่งตัว 4.5% จากหมวดกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ขณะที่สินค้าหมวดคงทนกลับมาขยายตัว 3.6% โดยมีปัจจัยหนุนจากเร่งตัวของการใช้จ่ายเพื่อซื้อยานพาหนะเป็นสำคัญ
การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลหดตัว 3.0% ลดลงต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน จากรายจ่ายเงินโอนเพื่อสวัสดิการสังคมที่ไม่เป็นตัวเงินสำหรับสินค้าและบริการ และรายจ่ายค่าซื้อสินค้าและบริการที่ลดลง 14.1% และ 8.0% ตามลำดับ
การลงทุนรวมกลับมาหดตัว 0.4% จากที่เคยขยายตัว 1.5% ในไตรมาสก่อน เป็นผลจากการลงทุนภาครัฐที่หดตัวแรงถึง 20.1% และปรับลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สาม จากความล่าช้าของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐบาล ทั้งนี้ การลงทุนภาครัฐที่อ่อนแอลง ยังส่งผลให้การผลิตสาขาก่อสร้างในฝั่งอุปทานหดตัว 8.8% ต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี เนื่องจากการก่อสร้างภาครัฐลดลง 18.4% ด้านการลงทุนภาคเอกชนเร่งตัวขึ้น 5.0% ตามการลงทุนเครื่องจักรเครื่องมือเป็นสำคัญ
มูลค่าการส่งออกสินค้าเติบโต 4.6% กลับมาขยายตัวได้เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส โดยปริมาณการส่งออกขยายตัว 3.2% สำหรับสินค้าหลักที่มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าว ยางพารา คอมพิวเตอร์ ตู้เย็น และชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น ส่วนสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกลดลง เช่น ทุเรียน ผลิตภัณฑ์ยาง อาหารทะเล และชิ้นส่วนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
การส่งออกบริการขยายตัว 14.7% ชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัว 30.6% โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา 8.1 ล้านคน ส่งผลให้รายรับภาคการท่องเที่ยวแตะระดับ 2.77 แสนล้านบาท
สภาพัฒน์ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวได้ในช่วง 2.2-3.2% โดยมีค่ากลางที่ 2.7% เท่ากับขอบล่างของประมาณการเดิมที่ 2.7-3.7% จากปัจจัยกดดันจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวกว่าที่เคยมองไว้ ทำให้ปรับลดคาดการณ์มูลค่าการส่งออกเป็นขยายตัวได้ 2.9% (จากเดิมคาดไว้ที่ 3.8%) ประกอบกับมุมมองที่มีต่อภาระหนี้ครัวเรือนและรายจ่ายดอกเบี้ยในระดับสูงที่เพิ่มแรงกดดันต่อการใช้จ่ายภาคครัวเรือน สะท้อนจากการประเมินว่าการบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวได้ 3.0% (ต่ำกว่าเดิมมองไว้ที่ 3.2%) นอกจากนี้ ยังระบุว่าแรงขับเคลื่อนด้านการคลังมีแนวโน้มลดลง ทั้งจากความล่าช้าของกระบวนการงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 และการลดลงของพื้นที่การคลัง เนื่องจากภาระหนี้สาธารณะต่อจีดีพียังอยู่ในระดับสูง จึงปรับลดประมาณการรายจ่ายบริโภคภาครัฐมาที่ 1.5% (ต่ำกว่าตัวเลขเดิมที่ 2.2%) และคงมุมมองว่าต่อการหดตัวของการลงทุนภาครัฐไว้ที่ 1.8% (เท่ากับตัวเลขเดิมที่เคยประเมินไว้)
อย่างไรก็ตาม แรงหนุนจากการฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว และแนวโน้มการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชนจะช่วยขับเคลื่อนให้จีดีพีในปี 2567 ให้เติบโตได้ต่อเน
JJNY : ‘บิ๊กโจ๊ก’ส่งทนายฟ้อง‘สนธิ’│SCB EIC ประเมินแรงส่งศก.แผ่วลง│Krungthai คาดฟื้นตัวอ่อนแอ│รับมือ แม่น้ำในชั้นบรรยากาศ
https://www.matichon.co.th/local/crime/news_4433797
บิ๊กโจ๊ก ส่งทนายฟ้อง สนธิ หมิ่นประมาท หลังนำคลิปเสียงแอบบันทึก มาตัดต่อให้ร้าย ว่าสนิทสนม บิ๊ก ป.ป.ช. ถึงขั้นควบคุมได้ โดยไม่มีมูลความจริง
เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.) ส่งทนายความเดินทางไปที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ เพื่อยื่นฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล ฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน และนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ทำให้ได้รับความเสียหาย โดยนำมาเผยแพร่ผ่านช่องทาง สนธิทอล์ค และคุยทุกเรื่องกับสนธิ โดยพาดหัวข่าวว่า บิ๊ก จ.ใหญ่คับ ป.ป.ช.ถึงเวลาล้างบาง
พฤติการณ์ คือ นายสนธิ นำคลิปเสียงแอบบันทึก มาตัดต่อบางส่วน และมาปล่อยในรายการ สนธิทอล์ค และคุยทุกเรื่องกับสนธิ โดยพาดหัวข่าวว่า บิ๊ก จ.ใหญ่คับ ป.ป.ช.ถึงเวลาล้างบาง ซึ่งเป็นการให้ร้าย โดยระบุว่าคำพูดภายในคลิป บิ๊กโจ๊ก พูดในการประชุมมอบนโยบายและตรวจเยี่ยมการปฏิบัติราชการของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(สตม.) เมื่อกลางเดือนธันวาคม 2566 ซึ่งจากการตรวจสอบภาพและเสียงที่ สตม.บันทึกไว้ในระหว่างการประชุมมอบนโยบายและตรวจเยี่ยมการปฎิบัติงานของสตม.เมื่อกลางเดือนธันวาคม 2566 ซึ่งมีการเผยแพร่ลงบนช่องทาง YouTube ตั้งแต่ต้นรายการจนจบ ไม่ปรากฏข้อความ หรือเสียง ที่นายสนธิ นำมากล่าวอ้าง
ดังนั้นการกระทำของนายสนธิ จึงเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ หมิ่นประมาทโดยการโฆษณาและดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าบิ๊กโจ๊กเป็นข้าราชการตำรวจที่ทุจริตประพฤติมิชอบเป็นคนชั่วคนไม่ดี ทำให้ถูกเกลียดชังถูกผู้บังคับบัญชาตำหนิ ทั้งที่ข้อความทั้งหมดไม่มีมูลความจริง ตามที่นายสนธิ กล่าวอ้าง ในรายการ ทั้งนี้ศาลอาญากรุงเทพใต้ รับคำฟ้อง ตามเลขคดีดำ ที่ อ. 368/2567 ลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 และนัดไต่สวนมูลฟ้อง วันที่ 10 มิถุนายน 2567 เวลา 09:00 น. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้
SCB EIC ประเมินแรงส่งเศรษฐกิจไทยแผ่วลง ฉุดรั้งการฟื้นตัวต่อเนื่องในปีนี้
https://siamrath.co.th/n/515747
SCB EIC ประเมินแรงส่งเศรษฐกิจไทยแผ่วลง ฉุดรั้งการฟื้นตัวต่อเนื่องในปีนี้
เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/2023 ขยายตัวต่ำต่อเนื่อง
เศรษฐกิจไทยไตรมาส 4/2023 ขยายตัวเพียง 1.7%YOY เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน หรือ -0.6%QOQ_SA เทียบไตรมาสก่อนแบบปรับฤดูกาล เศรษฐกิจไทยด้านการใช้จ่าย (Expenditure approach) ในช่วงท้ายปี 2023 ยังมีแรงหนุนสำคัญจากการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนที่ดีต่อเนื่อง ตามความเชื่อมั่นผู้บริโภค จำนวนนักท่องเที่ยว และอัตราการว่างงานที่ดีขึ้น อีกทั้งการส่งออกสินค้าที่พลิกกลับมาขยายตัวได้ อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยมีแรงกดดันสำคัญจากการใช้จ่ายภาครัฐที่หดตัวสูงทั้งในด้านการบริโภคและการลงทุน โดยการลงทุนภาครัฐยังคงหดตัวสูง ตามการลดลงของการลงทุนรัฐบาลเนื่องจากความล่าช้าการประกาศ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2024 สำหรับ GDP ด้านการผลิต (Production approach) ภาคบริการขยายตัวดี โดยเฉพาะบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและการขายส่งและการขายปลีก ในขณะที่ภาคการก่อสร้างหดตัวสูงตามการลดลงของการก่อสร้างภาครัฐโดยเฉพาะการก่อสร้างของรัฐบาล และภาคเกษตรพลิกกลับมาหดตัวตามคาดเนื่องจากสภาพอากาศร้อนและแล้งที่เกิดขึ้นในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2023 ส่งผลให้ผลผลิตพืชหลายชนิดปรับตัวลดลง อีกทั้ง ภาคอุตสาหกรรมยังคงหดตัวต่อเนื่องตามการหดตัวของการผลิตเพื่อส่งออก
SCB EIC มองเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1/2024 ขยายตัวสูงขึ้น
SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1/2024 จะขยายตัวได้สูงขึ้นกว่าไตรมาสที่ผ่านมา มีแรงสนับสนุนต่อเนื่องจากการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวดี ตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่เร่งตัวจากนักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก โดยเฉพาะเดือนกุมภาพันธ์ที่ได้อานิสงส์จากเทศกาลตรุษจีนรวมถึงนักท่องเที่ยวหลายประเทศกลับมาใกล้เคียงระดับปกติ รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น มาตรการลดค่าครองชีพ โดยเฉพาะพลังงาน และโครงการ Easy e-receipt กระตุ้นการใช้จ่าย นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังมีแรงหนุนจากการการส่งออกที่กลับมาขยายตัวได้ต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยกดดันเศรษฐกิจไทยในไตรมาสนี้ จากการประกาศใช้ พ.ร.บ. งบประมาณฯ ปี 2024 ล่าช้าทำให้แรงส่งในการสนับสนุนเศรษฐกิจของภาครัฐมีแนวโน้มซบเซาในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2024 กดดันการบริโภคและลงทุนภาครัฐ
มองภาพรวมในปี 2024 เศรษฐกิจไทยยังน่าห่วงและฟื้นตัวช้า
SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2024 ฟื้นตัวช้า โดยมีแรงส่งจากการบริโภคภาคเอกชนตามการฟื้นตัวของภาคบริการจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องและการท่องเที่ยวในประเทศที่ผู้เยี่ยมเยือนไทยยังเติบโตดี การลงทุนภาคเอกชนฟื้นตัวดีขึ้นตามแนวโน้มการอนุมัติการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investment) และการส่งออกที่ฟื้นตัวจากแนวโน้มการค้าโลกที่ขยายตัวสูงขึ้นตามการฟื้นตัวของภาคการผลิตและการค้าโลก อย่างไรก็ดี ต้องจับตามองความเสี่ยงด้านห่วงโซ่อุปทานจากเหตุการณ์การโจมตีของกบฏฮูตีและความแห้งแล้งของคลองปานามา ในขณะที่ปัจจัยกดดันเศรษฐกิจไทยมาจากการลงทุนของภาครัฐมีแนวโน้มหดตัวตามความล่าช้าในการประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2024 ส่งผลให้ภาพรวมแรงสนับสนุนเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายภาครัฐมีแนวโน้มจำกัดในช่วงครึ่งแรกของปี ก่อนที่จะสามารถเร่งรัดการเบิกจ่ายได้มากขึ้นหลัง พ.ร.บ. งบประมาณ 2024 ประกาศใช้ในช่วงเดือน เม.ย. - พ.ค. โดยเฉพาะในด้านการลงทุน แต่จะไม่สามารถเร่งรัดได้อย่างเต็มที่ภายใต้ช่วงเวลาที่จำกัด อีกทั้ง ภาครัฐยังจะมีข้อจำกัดทางด้านงบประมาณมากขึ้นจากระดับหนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับสูงหลังวิกฤติโควิด นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยด้านอุปทานยังอ่อนแอ โดยเฉพาะภาคการผลิตที่หดตัวต่อเนื่องในหลายอุตสาหกรรมและยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวช้าในระยะต่อไป
#SCBEIC #เงินเฟ้อ #ดอกเบี้ย
Krungthai COMPASS คาดจีดีพีปี 67 โต 2.2-3.2% แนวโน้มฟื้นตัวอย่างอ่อนแอ
https://siamrath.co.th/n/515748
Krungthai COMPASS เผยจีดีพีไตรมาส 4 ขยายตัวเพียง 1.7% จากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐที่หดตัว ขณะที่ทั้งปี 2566 เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพียง 1.9% คาดจีดีพีปี 2567 โต 2.2-3.2% แนวโน้มฟื้นตัวอย่างอ่อนแอ
เศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 4/2566 โตอย่างจำกัดที่ 1.7%YoY เมื่อเทียบรายไตรมาสหดตัว 0.6%QoQSA จากแรงฉุดของการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐที่หดตัวลงเป็นหลัก ขณะที่ทั้งปี 2566 เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เพียง 1.9% ชะลอลงจาก 2.5% ในปี 2565 สอดคล้องกับมุมมองของ Krungthai COMPASS ที่ประเมินว่าจีดีพีไตรมาส 4 จะขยายตัว 1.9% ส่วนทั้งปี 2566 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 1.9%
สำหรับในปี 2567 สภาพัฒน์ได้ปรับประมาณการเติบโตของจีดีพีลงมาในกรอบ 2.2-3.2% (ค่ากลางที่ 2.7%) ใกล้เคียงกับการคาดการณ์ของ Krungthai COMPASS ที่มองว่าจีดีพีปีหน้าจะฟื้นตัวอย่างอ่อนแอที่ 2.7% ทั้งนี้ สภาพัฒน์ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่อเนื่อง จากแรงหนุนของการฟื้นตัวในภาคการท่องเที่ยว และการกลับมาขยายตัวของภาคการส่งออก แต่ต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และการลดลงของแรงขับเคลื่อนทางการคลัง ซึ่ง Krungthai COMPASS มีข้อแนะนำภาคธุรกิจเพิ่มเติมให้เตรียมรับมือกับการรีเซ็ตเครื่องยนต์หลักทั้งสหรัฐฯ และจีนที่อาจดับลงพร้อมกัน จากความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ และสงครามการค้าครั้งใหม่ รวมถึงการรีเซ็ตเศรษฐกิจโลกภายใต้ภาวะการเงินตึงตัว
จีดีพีไตรมาส 4 โต 1.7%YoY แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหดตัว -0.6%QoQSA ตามแรงฉุดของการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐที่หดตัว
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานตัวเลขจีดีพีในไตรมาสที่ 4/2566 โดยเติบโต 1.7%YoY จากปีก่อน และเมื่อเทียบรายไตรมาสแล้วหดตัวลง -0.6%QoQSA จากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ทั้งปี 2566 เศรษฐกิจไทยชะลอลงจาก 2.5% ในปี 2565 ขยายตัวได้เพียง 1.9% สอดคล้องกับการคาดการณ์ของ Krungthai COMPASS ซึ่งประเมินว่าจีดีพีไตรมาส 4 จะขยายตัวที่ 1.9% ส่วนทั้งปี 2566 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 1.9% ทั้งนี้ การรายงานเศรษฐกิจของสภาพัฒน์ด้านรายจ่ายในไตรมาสที่ 4/2566 มีประเด็นสำคัญ ได้แก่
การอุปโภคบริโภคเอกชนขยายตัว 7.4% ขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนที่เติบโต 7.9% สอดคล้องกับการจ้างงานและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ฟื้นตัวต่อเนื่องโดยการใช้จ่ายหมวดบริการขยายตัวสูง 12.8% จากการใช้จ่ายในกลุ่มโรงแรมและภัตตาคาร และกลุ่มบริการทางการเงิน ประกอบกับการใช้จ่ายหมวดสินค้าไม่คงทนซึ่งเร่งตัว 4.5% จากหมวดกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ขณะที่สินค้าหมวดคงทนกลับมาขยายตัว 3.6% โดยมีปัจจัยหนุนจากเร่งตัวของการใช้จ่ายเพื่อซื้อยานพาหนะเป็นสำคัญ
การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลหดตัว 3.0% ลดลงต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน จากรายจ่ายเงินโอนเพื่อสวัสดิการสังคมที่ไม่เป็นตัวเงินสำหรับสินค้าและบริการ และรายจ่ายค่าซื้อสินค้าและบริการที่ลดลง 14.1% และ 8.0% ตามลำดับ
การลงทุนรวมกลับมาหดตัว 0.4% จากที่เคยขยายตัว 1.5% ในไตรมาสก่อน เป็นผลจากการลงทุนภาครัฐที่หดตัวแรงถึง 20.1% และปรับลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สาม จากความล่าช้าของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐบาล ทั้งนี้ การลงทุนภาครัฐที่อ่อนแอลง ยังส่งผลให้การผลิตสาขาก่อสร้างในฝั่งอุปทานหดตัว 8.8% ต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี เนื่องจากการก่อสร้างภาครัฐลดลง 18.4% ด้านการลงทุนภาคเอกชนเร่งตัวขึ้น 5.0% ตามการลงทุนเครื่องจักรเครื่องมือเป็นสำคัญ
มูลค่าการส่งออกสินค้าเติบโต 4.6% กลับมาขยายตัวได้เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส โดยปริมาณการส่งออกขยายตัว 3.2% สำหรับสินค้าหลักที่มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าว ยางพารา คอมพิวเตอร์ ตู้เย็น และชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น ส่วนสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกลดลง เช่น ทุเรียน ผลิตภัณฑ์ยาง อาหารทะเล และชิ้นส่วนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
การส่งออกบริการขยายตัว 14.7% ชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัว 30.6% โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา 8.1 ล้านคน ส่งผลให้รายรับภาคการท่องเที่ยวแตะระดับ 2.77 แสนล้านบาท
สภาพัฒน์ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวได้ในช่วง 2.2-3.2% โดยมีค่ากลางที่ 2.7% เท่ากับขอบล่างของประมาณการเดิมที่ 2.7-3.7% จากปัจจัยกดดันจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวกว่าที่เคยมองไว้ ทำให้ปรับลดคาดการณ์มูลค่าการส่งออกเป็นขยายตัวได้ 2.9% (จากเดิมคาดไว้ที่ 3.8%) ประกอบกับมุมมองที่มีต่อภาระหนี้ครัวเรือนและรายจ่ายดอกเบี้ยในระดับสูงที่เพิ่มแรงกดดันต่อการใช้จ่ายภาคครัวเรือน สะท้อนจากการประเมินว่าการบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวได้ 3.0% (ต่ำกว่าเดิมมองไว้ที่ 3.2%) นอกจากนี้ ยังระบุว่าแรงขับเคลื่อนด้านการคลังมีแนวโน้มลดลง ทั้งจากความล่าช้าของกระบวนการงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 และการลดลงของพื้นที่การคลัง เนื่องจากภาระหนี้สาธารณะต่อจีดีพียังอยู่ในระดับสูง จึงปรับลดประมาณการรายจ่ายบริโภคภาครัฐมาที่ 1.5% (ต่ำกว่าตัวเลขเดิมที่ 2.2%) และคงมุมมองว่าต่อการหดตัวของการลงทุนภาครัฐไว้ที่ 1.8% (เท่ากับตัวเลขเดิมที่เคยประเมินไว้)
อย่างไรก็ตาม แรงหนุนจากการฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว และแนวโน้มการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชนจะช่วยขับเคลื่อนให้จีดีพีในปี 2567 ให้เติบโตได้ต่อเน