บท1. เกี่ยวกับตัวผมเอง

ผมไม่รู้จะเขียนในแพลตฟอร์มไหนดี ผมเคยลองเขียนใน Instagram มันรองรับความยาวของบทความผมไม่พอ ผมเลยมาเขียนในพันทิปแทน 
เขียนเพียงเพื่อบอกเล่าตัวตนของผม และไม่แสวงหาผลประโยชน์ใดๆ
     
                   ขอกริ่นก่อนเลยนะครับว่า ส่วนตัวผมเป็นคนใจร้อน พูดเร็ว ชอบคิดฟุ้งซ่าน ทั้งในแง่บวกและในแง่ลบ ชอบคิดแทนคนอื่น กังวลกับการเข้าสังคม ปัญหาทางด้านจิตใจของผมเริ่มออกตอนเรียนจบใหม่ๆ ดูเหมือนคนมีปัญหาเยอะนะครับฮ่าๆ ตอนนี้ผมก็ยังแก้ไขอะไรไม่ได้หรอกครับ แต่ผมรับมือกับสิ่งเล่านี้ได้ดีขึ้นแล้ว เนื้อหาต่อจากนี้จะเป็นการเล่าเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตผม ให้ผมเป็นคนจัดการกับอารมณ์ได้ไวขึ้น จัดการกับความคิดและการตัดสินใจได้เร็วขึ้น เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา มาเริ่มกันเลยนะครับ
                   
                     สิ่งที่เปลี่ยนMindsetและทัศนคติของมีอยู่ 4 อย่าง    
          1.การพูด
          2.การฟัง
          3.การอ่าน
          4.การเขียน

 สิ่งที่ผมกล่าวไป ไม่ใช่การฝึกภาษาแต่อย่างใดนะครับ ที่ผมจะสื่อคือ การเอาความหมายของ 4. ข้อนี้ มาประยุกต์และปรับใช้ในชีวิตประจำวันครับ 
     ยกตัวอย่างเช่น 
1.การพูด
     การพูดที่ผมหมายถึงคือ การพูดกับตัวเองบ่อยๆ หรือสิ่งที่เรียกว่า Self-talk ส่วนตัวผมเป็นคนขี้กังวล แพนิค ผมจะบอกและให้กำลังใจตัวเองก่อนจะเผชฺิญหน้ากับเหตุการณ์นั้นๆทุกครั้ง และทุกครั้งก่อนนอนผมจะพูดกับตัวเองเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆในวันนั้น และในบางครั้งผมก็นั่งร้องไห้ เพราะรู้สึกถึงตัวตนอีกตัวตนของผมปลอบและคอยฟังอยู่จริงๆ บางสิ่งบางอย่างมันไม่สามารถอธิบายให้ใครฟังไม่ได้ มีแค่ตัวเราที่เข้าใจเรามากที่สุด

2.การฟัง
    ช่วงนี้ผมฟังพอดแคสต์เกือบทุกๆวัน ผมได้แนวคิดใหม่ๆเกี่ยวกับสุขภาพจิต การดูแลจิตใจตัวเอง การรักตัวเอง เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ผมปรับตัวได้เร็วขึ้นในบางเรื่อง และได้ฟังแนวคิดใหม่ๆจากการสรุปหนังสือ เพราะบางทีสิ่งที่เราฟังก็คือสิ่งที่เรารู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว แต่เราแค่ต้องการ การย้ำความคิดของเราอีกทีจากการฟังแนวคิดและมุมมองของคนอื่น และที่สำคัญควรเลือกฟังแต่พอดีนะครับ ฟังมากไปก็จะกลายเป็นคิดมาก ตั้งใจฟังเกินไปก็จะกลายเป็นเครียดกดดัน เพราะฉะนั้นเลือกฟังแต่ด้านบวก และเอาปรับใข้ในโจทย์ต่างๆของชีวิตเรานะครับ

3.การอ่าน
    แต่ก่อนผมนี้ไม่ชอบการอ่าน เห็นแล้วง่วง ตอนนี้ก็ง่วงครับ(ล้อเล่นครับ) ช่วงที่ความเครียดและเรื่องต่างๆเต็มหัวไปหมด จนแทบไม่เห็นตัวเอง
ตอนนั้นผมก็ฉุดคิดได้ว่า ลองอ่านหนังสือเกี่ยวกับเยียวยาสุขภาพจิตสิ เล่มแรกที่ผมอ่านเลยคือ ศาสตร์ของสมองที่รู้จักหยุดพัก ของคุณคุงายะ อากิระ ที่ผมเลือกเล่มนี้ก็ตามชื่อหนังสือเลยครับ "ศาสตร์ของสมองที่รู้จักการหยุดพัก" ด้วยความที่ผมไม่ชอบการอ่าน แรกๆผมจับใจความอะไรไม่ได้เลย อ่านรอบสองถึงจะพอเข้าใจมากขึ้น ประโยชน์ที่ได้จากการอ่านของผมเลยคือ รู้สึกเหมือนได้อยู่กับปัจจุบัน มีสมาธิมากขึ้น จิตใจสงบลง แต่ช่วงนี้ผมมีเวลาน้อยลงจึงไปเน้นฟังแทน และสุดท้าย การอ่านจะทำให้เราได้พบคำตอบ ไม่ว่าจะเป็นคำตอบจากเนื้อหาในหนังสือ หรือคำตอบจากตัวเราที่ตกผลึกเอง

4.การเขียน
    หัวข้อนี้ผมชอบที่สุดเลยครับ ย้อนกลับมาช่วงที่ผมยังไม่รู้จักการเขียน ตอนนั้นคือช่วงเวลาใกล้เคียงกันกับการอ่านครั้งแรก ผมเป็นคนที่คิดมากถึงมากที่สุด ใครสนิทกับผมจะรู้ดี คิดมากและคิดในแง่ลบ คิดแทนคนอื่น คิดๆคิดและก็คิด สิ่งในหัวของผมก็เหมือนกับถังใส่น้ำใบใหญ่ที่มีน้ำเต็มถัง รอวันระเบิดออกมา ช่วงนั้นผมเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการความคิดและความเครียด จนผมไปสะดุดกับสิ่งหนึ่งก็คือการเขียน ผมจำวันแรกที่ผมเขียนได้ ผมเขียนทั้งเร็ว จนไส้ดินสอกดหักบ่อยเพราะใจร้อนเกินไป ตัวอักษรไม่เป็นระเบียบ เรียบเรียงออกมาอ่านไม่ได้ มันทำให้ผมรู้เลยว่ามันคือกระจกสะท้อนความรู้สึกและความคิด อย่างที่บอกไปตอนต้นว่า ผมเป็นคนพูดเร็ว ใจร้อน กังวล เรียบเรียงคำพูดได้ไม่ค่อยดีนัก เพราะสิ่งนี้เลยทำให้ผมชอบคิดว่าทำไมถึงไม่มีคนเข้าใจผม และผมก็เริ่มเขียนระบาย เขียนออกมาที่ไม่ได้ให้ใครอ่าน คิดสิ่งไหนได้เขียนสิ่งนั้น คุยกับตัวเองผ่านการเขียน คุณรู้มั้ย สมุดจดของผมคือเพื่อนที่ดีที่สุดเลย มันไม่เคยตัดสินอะไรเราเลย ไม่เคยตั้งแง่อะไรเรา ไม่เคยดุด่าหรือรำคาญ มันฟังที่เราเขียนทุกอย่าง เรารู้สึกสบายใจแบบบอกไม่ถูก ถ้าคุณมีปัญหาคล้ายๆกับผม ลองเขียนดูนะครับ แรกๆอาจดูฝืนๆหน่อย ลองทำสัก1-2สัปดาห์ คุณอาจจะได้คำตอบอะไรสักอย่างก็ได้นะครับ

                        บทความนี้ผมเขียนยาวเลยครับ ถ้าถามผมว่าผมผ่านเรื่องแบบนี้มาได้แล้วหรอ? ผมอยากจะบอกว่ายังครับ ผมเชื่อว่าสิ่งนี้ไม่มีทางหายไปจากตัวตนผมแน่นอนครับ ช่วงแรกผมพยายามลบความคิดพวกนี้ออกจากหัว แต่กลายเป็นว่าทุกอย่างแย่ลง ผมเลยเลือกที่จะรับมือแทนการแก้ปัญหา ผมเชื่อว่าทุกคนก็มีวิธีรับมือกับปัญหาต่างๆในแบบของตัวเอง สิ่งที่ผมเล่าไปอาจดูง่ายสำหรับบางคน และ อาจดูยากสำหรับใครบางคนเช่นกัน ซึ่งนั้นก็คือผมนั้นเอง 
ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ 
ขอให้เป็นวันที่ดีนะครับ 
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่