JJNY : 5in1 วิโรจน์ฉะรบ.│พริษฐ์ชงเพิ่มเงินอุดหนุนเด็กยากจน│“ศศินันท์”สับเละ│“ภคมน”ฟาดเน้นๆ│ยักษ์ธ.เงาจีนยื่นล้มละลายแล้ว

วิโรจน์ ฉะ รัฐบาล ลดเป้าควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก แต่กลับของบเท่าเดิม
https://www.khaosod.co.th/politics/news_8039208

 
“วิโรจน์” ซัด รัฐบาล จัดงบไม่ตรงวิกฤตการศึกษา ลดเป้าควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก แต่กลับของบเท่าเดิม ลั่น ไม่เห็นด้วยร่าง พ.ร.บ.งบ 67
 
เมื่อเวลา 13.35 น. วันที่ 5 ม.ค. 2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานที่ประชุม วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท ต่อเนื่องเป็นวันสุดท้าย

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายงบของกระทรวงศึกษาธิการ วิกฤตการศึกษาไทยกับการแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก  ว่า ที่ผ่านมาจนถึงปีงบประมาณ 2567 กระทรวงศึกษาธิการไม่เคยคิดที่จะแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กอย่างจริงจัง เหมือนการป่วยเป็นโรคร้ายแต่ให้กินแค่ยาพารา ปล่อยให้ลุกลามแล้วตายไปเองตามยถากรรม
 
การควบรวมโรงเรียนไม่เคยสำเร็จตามเป้าหมาย แถมมีแนวโน้มว่าจะควบรวมน้อยลงเรื่อยๆ ราวกับว่าจะไม่แก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กแล้ว จากปี 63 มีเป้าที่จะควบรวม 400 แห่ง แต่ทำได้แค่ 169 แห่ง ในปี 64-66 มีการปรับเป้าหมายลงมาอีกเหลือ 350 แห่ง แต่ควบรวมได้ไม่มาก
 
แต่มาปี 67 ปรับเป้าหมายเหลือเพียง 200 แห่ง หากพิจารณาจากงบแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กที่มีความสำคัญ ซึ่งเอาไว้จ่ายค่าพาหนะ จ่ายค่าบริหารจัดการรถโรงเรียนให้กับโรงเรียนที่ถูกควบรวม อยู่ที่ 270-286 ล้านบาท แต่ในปี 67 นั้นงามไส้ ปรับเป้าหมายลงแล้วแต่ยังกล้าของบเท่าเดิม แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าจะแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก งบบริหารจัดการจะต้องมากกว่าหลักร้อยล้านอยู่แล้ว
 
ดังนั้น เป็นไปไม่ได้ที่งบหลักร้อยล้านจะเอาไปแก้ปัญหาวิกฤตนี้ได้ และนี่จึงสะท้อนได้ว่า รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ไม่ได้มองปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กเป็นวิกฤต เรียกว่าไม่ได้ให้ความสำคัญเลย นอกจากจะควบรวมโรงเรียนไม่ได้ตามเป้าแล้ว ยังจะไปสร้างข้อพิพาทกับคนในชุมชนอีก
 
ต้องยอมรับว่าโรงเรียนมีความผูกพันกับวิถีของชุมชน เพราะโรงเรียนบางแห่งเกิดขึ้นจากบรรพบุรุษสร้างมากับมือ โรงเรียนไหนถูกควบรวมก็ถูกปล่อยทิ้งร้าง ไม่มีแผนการถ่ายโอนให้กับท้องถิ่น ไม่มีงบสนับสนุนเพื่อนำสถานที่ไปใช้ในการอื่น เพื่อให้เกิดประโยชน์กับชุมชน
 
นายวิโรจน์ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการรู้อยู่แก่ใจว่าทางออกเรื่องนี้ไม่ใช่การจ่ายค่าชดเชยยานพาหนะ แต่ต้องเป็นการจัดรถโรงเรียน เพื่อให้เด็กทุกคนที่อยู่ไหนจังหวัดนั้นสามารถเดินทางไปโรงเรียนที่ตอบโจทย์ของเขาได้ และทำควบคู่กันไป คือ การถ่ายโอนโรงเรียนที่ควบรวมให้กับท้องถิ่น พร้อมกับจัดงบอุดหนุน อาจจะเป็นแห่งละ 1 ล้านบาท เพื่อให้ท้องถิ่นนำงบนี้ไปปรับปรุงสถานที่
 
แต่ถ้ายังควบรวมตามยถากรรม ตนคำนวณว่าเราจะใช้เวลาในการแก้ปัญหานี้ถึง 91 ปี และต้องถูกผลการทดสอบ PISA ประจานประเทศไปในเวทีโลกอย่างน้อย 30 ครั้ง ถ้าเราไม่กล้าหาญและบอกปัญหาตรงๆ เพราะถ้าเราไม่ยอมแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กจริงๆ เราจะไม่มีวันยกระดับการศึกษาของไทยได้เลย ด้าน TDRI ก็ยืนยันว่า เหตุที่ PISA เราตกต่ำมาจากโรงเรียนขนาดเล็ก
 
นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า มีการศึกษาและพบว่าโรงเรียนขนาดเล็กมีต้นทุนในการบริหารจัดการสูงกว่าโรงเรียนขนาดกลางที่ 13,600 บาทต่อคนต่อปี ถ้าเราแก้ปัญหานี้ได้ เราจะประหยัดงบได้ถึงปีละ 12,985 ล้านบาท และเมื่อเอามารวมกับการปรับลดงบแผนงานและงบรายจ่ายอื่น รัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน จะทวีสินแน่นอน เพราะจะมีเงินจัดสรรได้ใหม่ถึง 15,102 ล้านบาท
 
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมารัฐบาลชุดนี้บอกกับประชนว่า ประเทศอยู่ในภาวะวิกฤตในมิติการศึกษา แต่ตนก็ยอมรับว่าวิกฤตจริงๆ แต่ทำไมจัดงบออกมาเช่นนี้ งบแบบนี้เหมือนกำลังบอกให้พ่อแม่ทุกคนยอมให้ลูกหลานของตัวเองเรียนหนังสือแบบเดิมๆ ในระบบการศึกษาที่สิ้นหวัง ยอมจำนนให้กับอำนาจนิยมกดขี่ ยอมให้ลูกหลานเรียนหลักสูตรที่ไม่ได้ปรับปรุงที่เป็นหลักสูตรล้างสมอง
 
สุดท้ายเด็กๆ เติบโตมาเป็นคนที่ไม่กล้าคิดไม่กล้าฝัน ไม่กล้าตั้งคำถามกับผู้มีอำนาจ เป็นเหมือนบ่าวไพร่ที่ทำงานตามนายสั่งในประเทศที่ต้องคำสาปแห่งนี้ และนี่คือเหตุผลที่ผม วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ตายกลายเป็นเถ้าถ่านอย่างไร ก็ยังเป็นวิโรจน์ที่ไม่สามารถเห็นด้วยกับร่างพ.ร.บ.งบฯปี 67 ฉบับนี้ได้” นายวิโรจน์ กล่าว
 


พริษฐ์ ชวนผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ งบการศึกษา แก้วิกฤต ชงเพิ่มเงินอุดหนุนเด็กยากจน
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_8039121

พริษฐ์ ชวนผ่าตัดหัวใจงบการศึกษา ฉะ จัดงบไม่แก้วิกฤต ชงผ่าตัดใหญ่-ปฏิรูปกระทรวง แนะ เพิ่มงบอุดหนุนเด็กยากจน ที่เสี่ยงหลุดจากระบบการศึกษา
 
เมื่อวลา 12.55 น. วันที่ 5 ม.ค. 2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานที่ประชุม วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท ต่อเนื่องเป็นวันสุดท้าย
 
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) อภิปรายว่า ตนเชื่อว่าสส.ทุกคนในที่นี้ และประชาชนทุกเฉดสีเห็นตรงกันว่า เป็นวิกฤตจริงและเป็นวิกฤตลำดับต้นๆ คือ วิกฤตด้านการศึกษา ซึ่งผลการประเมินระบบการศึกษาหรือ PISA ได้ตอกย้ำ 3 วิกฤตการศึกษาไทยที่เรื้อรัง ได้แก่

1. วิกฤตสมรรถนะ คือ เด็กไทยมีทักษะสู้ต่างชาติไม่ได้ และลดลงมาเป็นอันดับที่ 60 จาก 70 กว่าประเทศ
 
2. วิกฤตความเหลื่อมล้ำที่เด็กไทยมีโอกาสทางการศึกษาไม่เท่ากัน
 
และ 3.ความเป็นอยู่ คือ นักเรียนไม่มีความสุขในโรงเรียน ซึ่งไทยอยู่ในลำดับต้นๆ เรื่องความทุกข์ของนักเรียนไทย และมีความรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยในโรงเรียนเป็นอันดับ 4 ของโลก
 
ที่พูดเช่นนี้ไม่ใช่ไม่เห็นด้วยกับการเพิ่มงบประมาณด้านการศึกษา แต่หากเราไม่เร่งจัดการการจัดสรรทรัพยากร วิธีการใช้เงิน เราจะเพิ่มงบประมาณอีกกี่ล้านบาท เราจะทอดผ้าป่าด้านการศึกษาอีกกี่ครั้ง ก็แก้ปัญหาด้านการศึกษาในประเทศนี้ไม่ได้ เหมือนคนไข้ที่มีปัญหาด้านหัวใจ จะเพิ่มเลือดให้เขาเท่าไหร่ก็ไม่สามารถช่วยชีวิตเขาได้ หากเราไม่ผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจเขา” นายพริษฐ์ กล่าว
 
นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า วันนี้ตนจึงชวนทุกคนมาร่วมผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจที่มีชื่อว่างบประมาณด้านการศึกษา ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 4 ห้องตามประเภทการใช้จ่าย หัวใจห้องที่ 1 มีชื่อว่า งบบุคลากร เป็นห้องที่ใหญ่ที่สุด มีขนาด 64% ห้องที่ 2 ชื่อ เงินอุดหนุนนักเรียน มีขนาด 26% โดยครอบคลุมถึงการเรียนฟรี 15 ปีหรือโครงการ กศศ.
 
ห้องที่ 3 ห้องงบลงทุน ที่ครอบคลุมถึงอุปกรณ์ต่างๆ ห้องเรียนต่างๆ มีขนาด 4% และห้องที่ 4 งบนโยบาย มีขนาด 6% แม้ปีนี้จะมีงบประมาณเพิ่มมา 1,000 กว่าล้านบาท แต่จะเห็นความพยายามที่รัฐบาลลดงบลงทุนลง เพื่อไปเติมให้ห้องอื่น โดยเฉพาะห้องงบอุดหนุนนักเรียน ซึ่งหากจะดูแค่นี้ไม่เพียงพอ เพราะปีศาจอยู่ในรายละเอียดเสมอ
 
นายพริษฐ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับห้องงบนโยบายนั้น เป็นห้องที่รัฐบาลมีอำนาจในการปรับเปลี่ยนการจัดสรรหรือออกแบบงบประมาณใหม่ได้ทันที โดยงบในส่วนนี้ถูกกระจายไปให้โครงการต่างๆ ในลักษณะเป็นเบี้ยหัวแตก ตนเห็นด้วยที่จะนำเทคโนโลยีมาใช้พัฒนาการศึกษา
 
แต่วันนี้ที่ท่านมาของบจากสภาฯ ตนต้องขอให้รับประกัน 2 อย่าง คือ การพัฒนาแพลตฟอร์มจะไม่ทำซ้ำซ้อนกันในแต่ละหน่วยงาน และกระบวนการทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับจัดทำแพลตฟอร์มจะดำเนินการโปร่งใส บริษัทที่จะเข้ามาพัฒนาแพลตฟอร์มต้องถูกคัดเลือกจากผลงานและความคุ้มค่าจากสิ่งที่เสนอ ไม่ใช่ความสัมพันธ์ใกล้ชิดของผู้บริหาร
 
ส่วนปัญหาที่เจอในงบส่วนนี้ คือ โครงการที่ไม่ควรมีแต่ยังมีต่อ เช่น โครงการรวมมิตรความดี ที่ทำให้เด็กจบออกมาเป็นคนดี เกี่ยวข้องกับจริยธรรม คุณธรรม ซึ่งปีนี้เพิ่มขึ้นมา 160 ล้านบาท ทั้งนี้ ไม่ใช่ตนต่อต้านการสร้างศีลธรรม สุจริต แต่ต้องทบทวนในประเด็นที่เป็นปัญหาเกี่ยวข้อง เช่น แป๊ะเจี๊ยะ ไม่ลงโทษครูที่ทำผิดจริยธรรมหรือกฎหมาย เป็นต้น
 
นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า ส่วนห้องงบลงทุนที่ตนกังวล คือ ใช้เกณฑ์อะไรที่จะปรับงบลงทุนส่วนไหน และใช้เกณฑ์อะไรในการตัดสินว่า จังหวัดไหนจะได้งบมากกว่าหรือน้อยกว่า แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าจังหวัดไหนที่มี สส.เขต มาจากพรรคเดียวกับรัฐมนตรีจึงได้งบสูงถึง 24%
 
แต่จังหวัดที่ไม่มี สส.เขต ที่มาจากพรรคเดียวกับรัฐมนตรีที่ดูแลกระทรวงศึกษาจึงได้งบน้อยกว่า ตนหวังว่าการพิจารณาให้งบแต่ละจังหวัดจะอยู่บนพื้นฐานความเดือดร้อนของนักเรียน โดยไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลตอบแทนกันทางการเมือง
 
สำหรับห้องเงินอุดหนุนนักเรียนนั้น เป็นเรื่องน่ายินดีที่รัฐบาลจัดสรรงบในส่วนนี้มากขึ้นถึง 5.2% แต่ก็ยังห่างไกลจากการศึกษาที่ฟรีจริง เพราะใน 100 บาทที่รัฐบาลให้นั้นเป็นเงินของรัฐบาล 70 บาท และผู้ปกครองยังต้องจ่ายเพิ่มอีก 30 บาท จึงมีข้อเสนอ 3 อย่าง คือ 

1. เพิ่มเงินอุดหนุนให้นักเรียนที่มีความเสี่ยงสูงที่จะหลุดออกจากระบบการศึกษา
 
2. การตัดค่าใช้จ่ายด้านศึกษาที่ไม่จำเป็นออกไป เพื่อลดภาระผู้ปกครอง เช่น การลดการบังคับใส่ชุดลูกเสือเนตรนารี
 
และ 3. ปรับวิธีการใช้งบอุดหนุนไปที่โรงเรียน ส่วนห้องงบบุคลากรนั้น ควรแก้ปัญหาเรื่องครูกระจุก และแก้ปัญหาอำนาจกระจุก โดยการปฏิรูปกระทรวง เพื่อให้การทำงานที่ซ้ำซ้อนลดน้อยลงมา และกระจายอำนาจสู่สถานศึกษาอย่างเต็มที่
 
ย้ำว่าการแก้วิกฤตการศึกษาต้องผ่าตัดโครงสร้างใหญ่ คือ เรื่องบุคลากร คืนครูให้ห้องเรียน รวมถึงปฏิรูปโครงสร้างกระทรวงลดความซ้ำซ้อนและกระจายอำนาจ จัดทำหลักสูตรการศึกษาใหม่ กระจายงบลงทุนด้านการศึกษาให้กับจังหวัด
 
ขณะที่เงินอุดหนุนนั้นต้องเพิ่มให้กับเด็กยากจนที่มีแนวโน้มหลุดจากการศึกษา วิกฤตการศึกษาที่เผชิญแก้ไม่ได้จากการจัดงบประมาณแบบเดิมๆ แต่ต้องผ่าตัดใหญ่ รื้อโครงสร้าง โดยไม่ต้องรอให้พรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาลเพื่อสร้างอนาคตที่ดีให้ลูกหลาน” นายพริษฐ์ กล่าว
 


“ศศินันท์” สับเละงบแม่และเด็ก ไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากให้ลูกอยู่ในประเทศที่ไร้ซึ่งความหวัง
https://www.matichon.co.th/clips/news_4361152
 
ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ พรรคก้าวไกล วิพากษ์งบแม่และเด็ก ปี 67 ซัดรัฐบาลไม่ใส่ใจปัญหาเด็กเกิดต่ำ อึ้ง! งบกลุ่มโครงการแม่และเด็กเพื่อความพร้อมด้านสุขภาพของแม่ในช่วงตั้งครรภ์ มีงบดำเนินการแค่ 46 ล้านบาทเท่านั้น ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องวิกฤต และเป็นวาระแห่งชาติ จวกรัฐบาลไม่ใช่แค่เอาแต่พูดว่าเร่งปั๊มลูกกันเถอะ คนไทยไม่อยากมีลูก เพราะโครงสร้างของประเทศที่ไม่ได้เอื้ออำนวยต่อการมีลูกเลย ไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากให้ลูกอยู่ในประเทศที่ไร้ซึ่งความหวัง  ติดตามรายละเอียดจากคลิปด้านล่างนี้

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


“ภคมน” ฟาดเน้นๆ รัฐบาลคิดอะไรไม่ออกก็สร้างถนน “อนุทิน-สุริยะ” คุยกันสักหน่อยไหม
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_4361121

ภคมน หนุนอนันต์ พรรคก้าวไกล ฉะรัฐบาลคิดอะไรไม่ออกก็สร้างถนน ภาคใต้เทงบ 194 ล้านบาท จาก 297 ล้านบาท ภาคอีสานวางงบไว้ 2 โครงการ 46.4 ล้านบาท กับ 236 ล้านบาท ด้วยความเคารพท่านรัฐมนตรี “อนุทิน ชาญวีรกูล” และ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” คุยกันสักหน่อยไหม สร้างถนนใครจะเป็นเจ้าภาพ ระหว่าง มหาดไทย คมนาคม ท้องถิ่น หรือกรมทางหลวงชนบท ติดตามรายละเอียดจากคลิปด้านล่างนี้

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่