ภาพประกอบโดย คุณ Zionzany
5. ผีพนัน (2)
“คุณครับ...คุณ”
หญิงสาวหยุดฝีก้าว เหลียวหันกลับไปยังเสียงทุ้มต่ำที่ได้ยินมาจากทางด้านหลัง บนทางเท้าริมถนนสายหลักซึ่งขวักไขว่ไปด้วยรถรา ท่ามกลางเปลวแดดระอุอันปราศจากร่มเงา ดวงตาของเธอที่กำลังเพ่งมองหรี่ลงเล็กน้อยโดยอัตโนมัติ เพื่อลดความจัดจ้าของแสงที่เข้ามากระทบยังจอประสาทตา
“คะ”
จนกระทั่งแน่ใจว่าไม่ได้รู้จักหนุ่มแปลกหน้าที่เพิ่งเข้ามาทักทาย จึงร้องตอบพร้อมตั้งคำถามส่งกลับไปให้ทั้งทางสีหน้าและน้ำเสียง
“เอ่อ...ขอโทษทีครับ ผมทักคนผิดน่ะครับ”
“ค่ะ”
เธอระบายยิ้ม ตอบรับคำขอโทษนั้นไว้อย่างเต็มใจ ทำท่าเหมือนจะหันหลังกลับเพื่อเริ่มขยับเดินต่อ แต่ยังไม่ทันได้ทำอย่างนั้นก็ถูกเขาเรียกไว้อีกครั้ง
“เดี๋ยวครับ เดี๋ยว”
ในคราวนี้บนใบหน้าของหญิงสาวที่หันกลับมาอีกหน เริ่มปรากฏร่องรอยของความไม่แน่ใจและหวาดระแวงให้ได้เห็น หัวคิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากันอย่างนึกสงสัย เพราะไม่เข้าใจในการกระทำของเขา และเริ่มไม่ไว้วางใจต่อสถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่
ชายหนุ่มผู้สร้างความไม่สบายใจตรงหน้าไม่ได้พูดอะไรต่อ ท่าทางขยับเขยื้อนยุกยิกไม่อยู่นิ่ง คล้ายอยากจะทำอะไรแต่ก็ไม่ได้ทำอย่างใจคิด ดวงตาหลุกหลิกของเขาคอยแต่จะเหลือบมองไปทางด้านบน ตรงที่ใดสักแห่งอยู่แทบจะตลอดเวลา
“ไม่มีอะไรครับ ขอโทษอีกครั้งนะครับ”
ไม่ทันจบประโยคดี กระถางต้นไม้ใบขนาดพอเหมาะใบหนึ่ง ซึ่งถูกวางประดับเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่ ตรงระเบียงชั้นสามของอาคารพาณิชย์คูหาหนึ่ง ซึ่งห่างออกไปทางด้านหลังของหญิงสาวเพียงไม่กี่ก้าว ก็พลันร่วงหล่นลงมากระแทกพื้นและแตกกระจายอยู่ที่ตรงนั้น
หันกลับไปมองตามเสียงดังที่เกิดขึ้นอย่างตื่นตระหนก ทั้งใจหายและนึกสับสนจนสติหลุดลอยไปหลายวินาที ทั้งร่างเย็นเยือกจนขนลุกซู่ขึ้นมา ด้วยเผลอจินตนาการต่อไปเองว่า หากไม่บังเอิญได้ชายหนุ่มแปลกหน้ารั้งเรียกไว้ บางที ผู้เคราะห์ร้ายที่อาจจะกำลังนอนหมดสติจมกองเลือดอยู่ตรงจุดนั้น อาจจะเป็นตัวของเธอเองก็เป็นได้
แล้วถ้ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นความจงใจที่จะยึดยื้อ เพื่อทำให้เธอรอดพ้นจากภัยร้ายในครั้งนี้ไปได้ล่ะ
ฉับพลันที่เมื่อการกระทำอันผิดปกติ และแสนจะไม่สมเหตุสมผล จากบุคคลที่ไม่รู้จักกันมาก่อนแล่นเข้ามาในหัวให้ได้ฉุกคิด กว่าเธอจะนึกได้และหันกลับไปให้ความสนใจยังเขา คู่สนทนาปริศนาก็หายตัวไปจากที่ตรงนั้นแล้ว
หญิงสาวนิ่งอึ้งอย่างคนที่ไม่รู้จะทำอะไรต่อดี เหลียวซ้ายแลขวา สอดส่ายสายตาไปจนถ้วนทั่ว ในระยะที่มองเห็นอยู่สองสามรอบ จนแน่ใจว่าเขาผู้นั้นไมได้อยู่แถวนี้แน่แล้ว จึงสลัดเรื่องราวแปลกพิศดารที่ค้างคาในหัวทั้งหมดทิ้งไป และเริ่มก้าวเดินต่ออีกครั้ง
ร้านอาหารสไตล์กึ่งคาเฟ่ขนาดกะทัดรัด ในบรรยากาศปลอดโปร่งโล่งสบายและเป็นกันเอง ที่อีกฝั่งฟากของถนน คือสถานที่นัดพบอันเป็นจุดหมายปลายทางของหญิงสาว เมื่อรอสัญญาณไฟแดง จนสามารถข้ามทางม้าลายมาได้แล้ว เธอก็เคลื่อนตัวผ่านประตูร้าน ตรงดิ่งไปยังโต๊ะของคู่นัดในทันที
“มาแล้วหรือ มา...มานั่งก่อน พัชร์”
ชายหนุ่มที่กำลังนั่งรออยู่ เอ่ยปากทักทายอย่างกระตือรือร้น ด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงที่ชัดเจนว่าสดใสกว่าในยามปกติที่ผ่าน ๆ มา พูดพลางขยับพับหน้าจอแล็ปท็อปลงเล็กน้อย พร้อมทั้งเลื่อนมันออกไปทางด้านข้าง
“หน้าบานเกินเหตุ แก้มปริเกินเบอร์นะ” ผู้มาใหม่เลื่อนเก้าอี้ที่ฝั่งตรงข้ามพร้อมหย่อนตัวลงนั่ง ประสานตากับอีกฝ่ายตรง ๆ คล้ายหวังจะจับพิรุธ หรือค้นหาเรื่องราวจากภายในนั้น แล้วก็ฉีกยิ้มออกมา “ท่าทางแบบนี้ มีอะไรดี ๆ จะมาอวดพัชร์ใช่ไหม ภู”
“นิยายของภูขายได้แล้วน่ะ” ไม่ปล่อยให้ต้องถามซ้ำ ชายหนุ่มกุลีกุจอดึงแล็ปท็อปที่เพิ่งเลื่อนหลบไปหยก ๆ กลับมาที่เดิม กดคีย์บอร์ดก๊อก ๆ แก๊ก ๆ ครู่หนึ่ง แล้วก็หมุนจอโชว์หลักฐานการพูดคุยกับสำนักพิมพ์ให้ดู “ไม่ได้มากมายอะไร แต่ก็เป็นรายได้แบบจริง ๆ จัง ๆ ก้อนแรกที่ได้จากงานเขียนเชียว”
“ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแล้ว ดีใจด้วยนะ” สีหน้าและน้ำเสียงแสดงออกอย่างที่พูดมาจากใจจริง “ดังขึ้นมาวันไหนก็อย่าลืมกันล่ะ ถ้าทิ้งพัชร์ พัชร์จะตามราวีภูไม่เลิกแน่ ๆ พัชร์ให้สัญญาเลยเอ้า”
“เข้าใจแล้วครับผม ภูจะไม่ทิ้งพัชร์ จะเสมอต้นเสมอปลาย ทำดีกับพัชร์ตลอดไปครับผม” ทำท่าวันทยหัตถ์ประกอบเสียงพูดฉะฉานอย่างทะเล้น “เออ ว่าแต่พัชร์อยากกินอะไรล่ะ สั่งเลย ๆ มื้อนี้ภูเป็นเจ้ามือเอง”
“ให้พัชร์สั่ง แล้วภูจะมาโวยทีหลังไม่ได้นะ”
“จัดไปครับ คุณผู้หญิง”
แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะร่วนออกมาพร้อม ๆ กัน ต่างคนต่างช่วยกันเลือกเมนูในมื้ออาหารนี้ อย่างอิ่มเอมและพองโตในหัวใจ
ห่างออกมาจากร้านอาหาร ซึ่งคู่หนุ่มสาวกำลังใช้เวลาในห้วงความสุขอยู่ด้วยกันสองคน บนบาทวิถีฝั่งตรงข้ามฟากถนน รชตที่พาตัวเองออกมาจากที่ซ่อนตรงมุมตึก และติดตามหญิงสาวผู้เกือบจะต้องเคราะห์ร้ายมาจนถึงจุดนี้ กำลังลอบมองเธอผ่านบานกำแพงผนังหน้าร้านซึ่งเป็นกระจกใสทั้งผืน
เขาเผยยิ้มที่ไม่อาจตีความได้ออกมา มือขวาเลื่อนขึ้นขยับหูฟังปีศาจซึ่งกำลังสวมใส่อยู่ที่หูข้างเดียวกันให้แนบกระชับ เพื่อจะฟังเสียงปริศนาจากภายในนั้นได้ถนัดชัดเจนยิ่งขึ้น
“นายอยากจะพิสูจน์ว่าฉันหยั่งรู้ได้จริงหรือเปล่า ฉันก็อุตส่าห์บอกให้นายยืนอยู่เฉย ๆ แล้วรอดูเคราะห์กรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นบนทางเท้าเส้นนี้ เห็นด้วยตาของตัวเองชัด ๆ แล้ว จะได้หายข้องใจเสียที แต่นายกลับสอดมือเข้าไปยุ่ง แก้ไขสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นเสียนี่ ทำอย่างนี้มันไม่ค่อยจะสวยเท่าไหร่เลยนะ...แบงค์”
“ฉันก็แค่อยากลองอะไรนิดหน่อยน่ะ” ชายหนุ่มผู้ซึ่งกำลังคุยอยู่กับบุคคลอันไร้ตัวตนกระตุกยิ้ม “แล้วแบบนี้มันก็ง่ายและเร็วกว่าเป็นไหน ๆ ที่จะพิสูจน์ได้ทุกเรื่อง...เอาเป็นว่า ฉันเชื่อว่านายรู้ และสามารถช่วยฉันได้จริง ๆ โชค”
“เอาเถอะ เพื่อความไว้วางใจและสบายใจของนาย ครั้งนี้ถือว่าฉันยอมให้เป็นพิเศษก็แล้วกัน แต่หวังว่าจะไม่มีการทดสอบอะไรแบบนี้ ในครั้งต่อ ๆ ไปอีกแล้วนะ” เสียงแห่งปีศาจร้ายกล่าวสรุปรวบรัด “ว่าแต่ เป็นอย่างไรบ้างที่ได้กุมชีวิตของคน ๆ หนึ่งไว้ในมือน่ะ รู้สึกดีใช่ไหม รู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนพระเจ้า ที่จะชี้เป็นชี้ตายใครก็ได้ใช่ไหมล่ะ”
แม้ไม่ได้ตอบออกมาเป็นคำพูด ทว่าร่องรอยของความเหี้ยมเกรียมที่ปรากฏฉาบฉายอยู่บนรอยยิ้ม ก็บอกทุกสิ่งทุกอย่างในใจของเขาได้จนหมดแล้ว “ถ้าอย่างนั้น พวกเราจะเริ่มจากอะไรก่อนดีล่ะ เจ้าตัวนำโชคของฉัน”
“เอาเป็นอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ พอเรียกน้ำย่อยไปก่อน อย่างเช่น การเดินจากตรงนี้ ไปขึ้นรถเมล์ที่ป้ายถัดไปก็แล้วกัน”
นั่นคือคำแนะนำแรกอย่างเป็นทางการ ของปีศาจร้ายจากขุมนรก ที่มาปรากฏให้เห็นในคราบของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อันทันสมัย ซึ่งมันคือจุดเริ่มต้นของทางแยก ที่ทำให้ชีวิตของรชตถูกเบี่ยนเบนออกไปจากเส้นทางเดิม
เป็นเส้นทางเดินใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น และเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเขาไปตลอดกาลนับจากในวินาทีนี้
ถ้าหากว่าในเวลานี้ชายหนุ่มจะได้ลองตั้งใจฟังให้ดี ๆ แล้ว บางทีเขาอาจจะได้รับรู้ว่า บางสิ่งบางอย่างจากในน้ำเสียงปริศนานั้นได้เปลี่ยนแปลงไป และบางทีถ้าหากว่าเขาได้รับรู้ถึงความชั่วร้ายที่เคลือบแฝงอยู่ในทุกอารมณ์ของคำพูดนั้น เขาก็อาจเปลี่ยนใจและหยุดก้าวเดินต่อไปบนเส้นทางใหม่ ซึ่งถูกถากถางไว้ด้วยน้ำมือของหมู่มวลปีศาจเส้นนั้น
ทว่า...น่าเสียดายที่เขาไม่ได้รู้สึกหรือรับรู้ถึงอะไรเหล่านั้นเลยสักนิด
ปราศจากการตั้งคำถามใด ๆ...เมื่อรชตทำตามที่เสียงในหูฟังบอก โดยการจงใจเดินผ่านป้ายรถเมล์ป้ายแรก เพื่อที่จะขึ้นรถโดยสารยังป้ายถัดไป ค่าตอบแทนของความเชื่อโดยปราศจากเงื่อนไขในครั้งนี้ คือกระเป๋าสตางค์ของบุคคลอื่นซึ่งมีเงินปึกหนาบรรจุอยู่ในนั้น ที่ตกอยู่ระหว่างทางของป้ายรถเมล์ทั้งสองป้ายนั่นเอง
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ส่งสิ่งที่เก็บได้ให้ตำรวจเพื่อตามหาเจ้าของ อันที่จริงแล้ว เขาไม่แม้แต่แค่จะพยายามมองหาใคร ที่น่าจะเป็นเจ้าของกระเป๋า ซึ่งอาจจะยังคงอยู่ในบริเวณนั้นเลยด้วยซ้ำ
เงินที่ได้มาฟรี ๆ ถูกใช้เพื่อสนองกิเลสตัณหาของตัวเอง และหมดไปอย่างรวดเร็วในค่ำคืนนั้น ส่วนกระเป๋าซึ่งว่างเปล่า ไม่เหลือแม้เพียงเศษสตางค์ ก็ถูกโยนทิ้งถังขยะไปอย่างไม่ไยดี
“นี่ เที่ยงนี้ไปกินข้าวที่ร้านอาหารตรงหัวมุมถนนสิ”
ร้านอาหารตรงหัวมุมถนน ที่เสียงปีศาจในหูฟังพูดถึง เป็นร้านซึ่งเพิ่งเปิดให้บริการมาได้ไม่นานมากนัก ด้วยความหรูหราน่านั่งของบรรยากาศและการให้บริการ อีกทั้งหน้าตาของจานอาหารและราคาที่ไม่ธรรมดา ก็ทำให้เชื่อได้ว่า หากไม่ได้มีเจ้ามือมาอาสาช่วยจ่าย หรือไม่ได้มีงานเลี้ยงในกรณีที่พิเศษจริง ๆ คงจะไม่มีพนักงานกินเงินเดือนเหมือนอย่างเขาคนใด ที่จู่ ๆ จะเดินเข้าไปฝากท้องในมื้อเที่ยงปกติเป็นแน่
ทว่าเมื่อชายหนุ่มทำตาม เขาก็พบว่าตัวเองกลายเป็นผู้ได้รับรางวัลใหญ่ เป็นผู้โชคดีคนที่สองร้อยเก้าสิบเก้าของร้าน ซึ่งจะได้รับบริการแบบวีไอพี อีกทั้งยังสามารถดื่มกินอะไรก็ได้ ทุกอย่างทุกเมนูตามแต่สะดวก โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ แม้สักสลึงเดียว
“ถ้าเจอแผงขายลอตเตอรี่ ก็แวะซื้อสักหน่อยนะ”
แล้วอีกไม่กี่วันให้หลังเขาก็พบว่า สลากกินแบ่งรัฐบาลที่ซื้อติดกระเป๋าไว้หลายใบในตอนนั้นถูกรางวัลที่ห้า ได้เงินมาใส่กระเป๋าเกือบจะแสนบาท ทั้ง ๆ ที่ตลอดหลายปีที่ซื้อ เขาไม่เคยแม้แต่แค่จะเฉียดเข้าใกล้รางวัลเลขท้ายสองตัวเลยด้วยซ้ำ
ร้านแลกวิญาณ : ผีพนัน (2)
“คุณครับ...คุณ”
หญิงสาวหยุดฝีก้าว เหลียวหันกลับไปยังเสียงทุ้มต่ำที่ได้ยินมาจากทางด้านหลัง บนทางเท้าริมถนนสายหลักซึ่งขวักไขว่ไปด้วยรถรา ท่ามกลางเปลวแดดระอุอันปราศจากร่มเงา ดวงตาของเธอที่กำลังเพ่งมองหรี่ลงเล็กน้อยโดยอัตโนมัติ เพื่อลดความจัดจ้าของแสงที่เข้ามากระทบยังจอประสาทตา
“คะ”
จนกระทั่งแน่ใจว่าไม่ได้รู้จักหนุ่มแปลกหน้าที่เพิ่งเข้ามาทักทาย จึงร้องตอบพร้อมตั้งคำถามส่งกลับไปให้ทั้งทางสีหน้าและน้ำเสียง
“เอ่อ...ขอโทษทีครับ ผมทักคนผิดน่ะครับ”
“ค่ะ”
เธอระบายยิ้ม ตอบรับคำขอโทษนั้นไว้อย่างเต็มใจ ทำท่าเหมือนจะหันหลังกลับเพื่อเริ่มขยับเดินต่อ แต่ยังไม่ทันได้ทำอย่างนั้นก็ถูกเขาเรียกไว้อีกครั้ง
“เดี๋ยวครับ เดี๋ยว”
ในคราวนี้บนใบหน้าของหญิงสาวที่หันกลับมาอีกหน เริ่มปรากฏร่องรอยของความไม่แน่ใจและหวาดระแวงให้ได้เห็น หัวคิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากันอย่างนึกสงสัย เพราะไม่เข้าใจในการกระทำของเขา และเริ่มไม่ไว้วางใจต่อสถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่
ชายหนุ่มผู้สร้างความไม่สบายใจตรงหน้าไม่ได้พูดอะไรต่อ ท่าทางขยับเขยื้อนยุกยิกไม่อยู่นิ่ง คล้ายอยากจะทำอะไรแต่ก็ไม่ได้ทำอย่างใจคิด ดวงตาหลุกหลิกของเขาคอยแต่จะเหลือบมองไปทางด้านบน ตรงที่ใดสักแห่งอยู่แทบจะตลอดเวลา
“ไม่มีอะไรครับ ขอโทษอีกครั้งนะครับ”
ไม่ทันจบประโยคดี กระถางต้นไม้ใบขนาดพอเหมาะใบหนึ่ง ซึ่งถูกวางประดับเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่ ตรงระเบียงชั้นสามของอาคารพาณิชย์คูหาหนึ่ง ซึ่งห่างออกไปทางด้านหลังของหญิงสาวเพียงไม่กี่ก้าว ก็พลันร่วงหล่นลงมากระแทกพื้นและแตกกระจายอยู่ที่ตรงนั้น
หันกลับไปมองตามเสียงดังที่เกิดขึ้นอย่างตื่นตระหนก ทั้งใจหายและนึกสับสนจนสติหลุดลอยไปหลายวินาที ทั้งร่างเย็นเยือกจนขนลุกซู่ขึ้นมา ด้วยเผลอจินตนาการต่อไปเองว่า หากไม่บังเอิญได้ชายหนุ่มแปลกหน้ารั้งเรียกไว้ บางที ผู้เคราะห์ร้ายที่อาจจะกำลังนอนหมดสติจมกองเลือดอยู่ตรงจุดนั้น อาจจะเป็นตัวของเธอเองก็เป็นได้
แล้วถ้ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นความจงใจที่จะยึดยื้อ เพื่อทำให้เธอรอดพ้นจากภัยร้ายในครั้งนี้ไปได้ล่ะ
ฉับพลันที่เมื่อการกระทำอันผิดปกติ และแสนจะไม่สมเหตุสมผล จากบุคคลที่ไม่รู้จักกันมาก่อนแล่นเข้ามาในหัวให้ได้ฉุกคิด กว่าเธอจะนึกได้และหันกลับไปให้ความสนใจยังเขา คู่สนทนาปริศนาก็หายตัวไปจากที่ตรงนั้นแล้ว
หญิงสาวนิ่งอึ้งอย่างคนที่ไม่รู้จะทำอะไรต่อดี เหลียวซ้ายแลขวา สอดส่ายสายตาไปจนถ้วนทั่ว ในระยะที่มองเห็นอยู่สองสามรอบ จนแน่ใจว่าเขาผู้นั้นไมได้อยู่แถวนี้แน่แล้ว จึงสลัดเรื่องราวแปลกพิศดารที่ค้างคาในหัวทั้งหมดทิ้งไป และเริ่มก้าวเดินต่ออีกครั้ง
ร้านอาหารสไตล์กึ่งคาเฟ่ขนาดกะทัดรัด ในบรรยากาศปลอดโปร่งโล่งสบายและเป็นกันเอง ที่อีกฝั่งฟากของถนน คือสถานที่นัดพบอันเป็นจุดหมายปลายทางของหญิงสาว เมื่อรอสัญญาณไฟแดง จนสามารถข้ามทางม้าลายมาได้แล้ว เธอก็เคลื่อนตัวผ่านประตูร้าน ตรงดิ่งไปยังโต๊ะของคู่นัดในทันที
“มาแล้วหรือ มา...มานั่งก่อน พัชร์”
ชายหนุ่มที่กำลังนั่งรออยู่ เอ่ยปากทักทายอย่างกระตือรือร้น ด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงที่ชัดเจนว่าสดใสกว่าในยามปกติที่ผ่าน ๆ มา พูดพลางขยับพับหน้าจอแล็ปท็อปลงเล็กน้อย พร้อมทั้งเลื่อนมันออกไปทางด้านข้าง
“หน้าบานเกินเหตุ แก้มปริเกินเบอร์นะ” ผู้มาใหม่เลื่อนเก้าอี้ที่ฝั่งตรงข้ามพร้อมหย่อนตัวลงนั่ง ประสานตากับอีกฝ่ายตรง ๆ คล้ายหวังจะจับพิรุธ หรือค้นหาเรื่องราวจากภายในนั้น แล้วก็ฉีกยิ้มออกมา “ท่าทางแบบนี้ มีอะไรดี ๆ จะมาอวดพัชร์ใช่ไหม ภู”
“นิยายของภูขายได้แล้วน่ะ” ไม่ปล่อยให้ต้องถามซ้ำ ชายหนุ่มกุลีกุจอดึงแล็ปท็อปที่เพิ่งเลื่อนหลบไปหยก ๆ กลับมาที่เดิม กดคีย์บอร์ดก๊อก ๆ แก๊ก ๆ ครู่หนึ่ง แล้วก็หมุนจอโชว์หลักฐานการพูดคุยกับสำนักพิมพ์ให้ดู “ไม่ได้มากมายอะไร แต่ก็เป็นรายได้แบบจริง ๆ จัง ๆ ก้อนแรกที่ได้จากงานเขียนเชียว”
“ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแล้ว ดีใจด้วยนะ” สีหน้าและน้ำเสียงแสดงออกอย่างที่พูดมาจากใจจริง “ดังขึ้นมาวันไหนก็อย่าลืมกันล่ะ ถ้าทิ้งพัชร์ พัชร์จะตามราวีภูไม่เลิกแน่ ๆ พัชร์ให้สัญญาเลยเอ้า”
“เข้าใจแล้วครับผม ภูจะไม่ทิ้งพัชร์ จะเสมอต้นเสมอปลาย ทำดีกับพัชร์ตลอดไปครับผม” ทำท่าวันทยหัตถ์ประกอบเสียงพูดฉะฉานอย่างทะเล้น “เออ ว่าแต่พัชร์อยากกินอะไรล่ะ สั่งเลย ๆ มื้อนี้ภูเป็นเจ้ามือเอง”
“ให้พัชร์สั่ง แล้วภูจะมาโวยทีหลังไม่ได้นะ”
“จัดไปครับ คุณผู้หญิง”
แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะร่วนออกมาพร้อม ๆ กัน ต่างคนต่างช่วยกันเลือกเมนูในมื้ออาหารนี้ อย่างอิ่มเอมและพองโตในหัวใจ
ห่างออกมาจากร้านอาหาร ซึ่งคู่หนุ่มสาวกำลังใช้เวลาในห้วงความสุขอยู่ด้วยกันสองคน บนบาทวิถีฝั่งตรงข้ามฟากถนน รชตที่พาตัวเองออกมาจากที่ซ่อนตรงมุมตึก และติดตามหญิงสาวผู้เกือบจะต้องเคราะห์ร้ายมาจนถึงจุดนี้ กำลังลอบมองเธอผ่านบานกำแพงผนังหน้าร้านซึ่งเป็นกระจกใสทั้งผืน
เขาเผยยิ้มที่ไม่อาจตีความได้ออกมา มือขวาเลื่อนขึ้นขยับหูฟังปีศาจซึ่งกำลังสวมใส่อยู่ที่หูข้างเดียวกันให้แนบกระชับ เพื่อจะฟังเสียงปริศนาจากภายในนั้นได้ถนัดชัดเจนยิ่งขึ้น
“นายอยากจะพิสูจน์ว่าฉันหยั่งรู้ได้จริงหรือเปล่า ฉันก็อุตส่าห์บอกให้นายยืนอยู่เฉย ๆ แล้วรอดูเคราะห์กรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นบนทางเท้าเส้นนี้ เห็นด้วยตาของตัวเองชัด ๆ แล้ว จะได้หายข้องใจเสียที แต่นายกลับสอดมือเข้าไปยุ่ง แก้ไขสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นเสียนี่ ทำอย่างนี้มันไม่ค่อยจะสวยเท่าไหร่เลยนะ...แบงค์”
“ฉันก็แค่อยากลองอะไรนิดหน่อยน่ะ” ชายหนุ่มผู้ซึ่งกำลังคุยอยู่กับบุคคลอันไร้ตัวตนกระตุกยิ้ม “แล้วแบบนี้มันก็ง่ายและเร็วกว่าเป็นไหน ๆ ที่จะพิสูจน์ได้ทุกเรื่อง...เอาเป็นว่า ฉันเชื่อว่านายรู้ และสามารถช่วยฉันได้จริง ๆ โชค”
“เอาเถอะ เพื่อความไว้วางใจและสบายใจของนาย ครั้งนี้ถือว่าฉันยอมให้เป็นพิเศษก็แล้วกัน แต่หวังว่าจะไม่มีการทดสอบอะไรแบบนี้ ในครั้งต่อ ๆ ไปอีกแล้วนะ” เสียงแห่งปีศาจร้ายกล่าวสรุปรวบรัด “ว่าแต่ เป็นอย่างไรบ้างที่ได้กุมชีวิตของคน ๆ หนึ่งไว้ในมือน่ะ รู้สึกดีใช่ไหม รู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนพระเจ้า ที่จะชี้เป็นชี้ตายใครก็ได้ใช่ไหมล่ะ”
แม้ไม่ได้ตอบออกมาเป็นคำพูด ทว่าร่องรอยของความเหี้ยมเกรียมที่ปรากฏฉาบฉายอยู่บนรอยยิ้ม ก็บอกทุกสิ่งทุกอย่างในใจของเขาได้จนหมดแล้ว “ถ้าอย่างนั้น พวกเราจะเริ่มจากอะไรก่อนดีล่ะ เจ้าตัวนำโชคของฉัน”
“เอาเป็นอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ พอเรียกน้ำย่อยไปก่อน อย่างเช่น การเดินจากตรงนี้ ไปขึ้นรถเมล์ที่ป้ายถัดไปก็แล้วกัน”
นั่นคือคำแนะนำแรกอย่างเป็นทางการ ของปีศาจร้ายจากขุมนรก ที่มาปรากฏให้เห็นในคราบของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อันทันสมัย ซึ่งมันคือจุดเริ่มต้นของทางแยก ที่ทำให้ชีวิตของรชตถูกเบี่ยนเบนออกไปจากเส้นทางเดิม
เป็นเส้นทางเดินใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น และเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเขาไปตลอดกาลนับจากในวินาทีนี้
ถ้าหากว่าในเวลานี้ชายหนุ่มจะได้ลองตั้งใจฟังให้ดี ๆ แล้ว บางทีเขาอาจจะได้รับรู้ว่า บางสิ่งบางอย่างจากในน้ำเสียงปริศนานั้นได้เปลี่ยนแปลงไป และบางทีถ้าหากว่าเขาได้รับรู้ถึงความชั่วร้ายที่เคลือบแฝงอยู่ในทุกอารมณ์ของคำพูดนั้น เขาก็อาจเปลี่ยนใจและหยุดก้าวเดินต่อไปบนเส้นทางใหม่ ซึ่งถูกถากถางไว้ด้วยน้ำมือของหมู่มวลปีศาจเส้นนั้น
ทว่า...น่าเสียดายที่เขาไม่ได้รู้สึกหรือรับรู้ถึงอะไรเหล่านั้นเลยสักนิด
ปราศจากการตั้งคำถามใด ๆ...เมื่อรชตทำตามที่เสียงในหูฟังบอก โดยการจงใจเดินผ่านป้ายรถเมล์ป้ายแรก เพื่อที่จะขึ้นรถโดยสารยังป้ายถัดไป ค่าตอบแทนของความเชื่อโดยปราศจากเงื่อนไขในครั้งนี้ คือกระเป๋าสตางค์ของบุคคลอื่นซึ่งมีเงินปึกหนาบรรจุอยู่ในนั้น ที่ตกอยู่ระหว่างทางของป้ายรถเมล์ทั้งสองป้ายนั่นเอง
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ส่งสิ่งที่เก็บได้ให้ตำรวจเพื่อตามหาเจ้าของ อันที่จริงแล้ว เขาไม่แม้แต่แค่จะพยายามมองหาใคร ที่น่าจะเป็นเจ้าของกระเป๋า ซึ่งอาจจะยังคงอยู่ในบริเวณนั้นเลยด้วยซ้ำ
เงินที่ได้มาฟรี ๆ ถูกใช้เพื่อสนองกิเลสตัณหาของตัวเอง และหมดไปอย่างรวดเร็วในค่ำคืนนั้น ส่วนกระเป๋าซึ่งว่างเปล่า ไม่เหลือแม้เพียงเศษสตางค์ ก็ถูกโยนทิ้งถังขยะไปอย่างไม่ไยดี
“นี่ เที่ยงนี้ไปกินข้าวที่ร้านอาหารตรงหัวมุมถนนสิ”
ร้านอาหารตรงหัวมุมถนน ที่เสียงปีศาจในหูฟังพูดถึง เป็นร้านซึ่งเพิ่งเปิดให้บริการมาได้ไม่นานมากนัก ด้วยความหรูหราน่านั่งของบรรยากาศและการให้บริการ อีกทั้งหน้าตาของจานอาหารและราคาที่ไม่ธรรมดา ก็ทำให้เชื่อได้ว่า หากไม่ได้มีเจ้ามือมาอาสาช่วยจ่าย หรือไม่ได้มีงานเลี้ยงในกรณีที่พิเศษจริง ๆ คงจะไม่มีพนักงานกินเงินเดือนเหมือนอย่างเขาคนใด ที่จู่ ๆ จะเดินเข้าไปฝากท้องในมื้อเที่ยงปกติเป็นแน่
ทว่าเมื่อชายหนุ่มทำตาม เขาก็พบว่าตัวเองกลายเป็นผู้ได้รับรางวัลใหญ่ เป็นผู้โชคดีคนที่สองร้อยเก้าสิบเก้าของร้าน ซึ่งจะได้รับบริการแบบวีไอพี อีกทั้งยังสามารถดื่มกินอะไรก็ได้ ทุกอย่างทุกเมนูตามแต่สะดวก โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ แม้สักสลึงเดียว
“ถ้าเจอแผงขายลอตเตอรี่ ก็แวะซื้อสักหน่อยนะ”
แล้วอีกไม่กี่วันให้หลังเขาก็พบว่า สลากกินแบ่งรัฐบาลที่ซื้อติดกระเป๋าไว้หลายใบในตอนนั้นถูกรางวัลที่ห้า ได้เงินมาใส่กระเป๋าเกือบจะแสนบาท ทั้ง ๆ ที่ตลอดหลายปีที่ซื้อ เขาไม่เคยแม้แต่แค่จะเฉียดเข้าใกล้รางวัลเลขท้ายสองตัวเลยด้วยซ้ำ