สุดทน 20 องค์กรภาคประชาชน ยื่นสอบ ‘พลังงาน-คลัง’ ละเลย ปล่อยน้ำมันแพง
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7840798
ภาคประชาชน 20 องค์กร ยื่นผู้ตรวจฯ สอบ ก.พลังงาน-คลัง ละเลยไม่ควบคุมค่าการตลาดน้ำมันกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ ทำประชาชนเดือดร้อนใช้น้ำมันแพง-ค่าครองชีพสูง
เมื่อวันที่ 30 ส.ค.2566 ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน สภาองค์กรของผู้บริโภค และตัวแทนองค์กรภาคประชาชนรวม 20 องค์กร นำโดยน.ส.
รสนา โตสิตระกูล เข้ายื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ตรวจสอบกระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง และคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง กรณีละเลยไม่ควบคุม ค่าการตลาดน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ จนทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันกลุ่มดังกล่าวเฉลี่ยสูงกว่า 2 บาทต่อลิตร ต่อเนื่องมานับแต่ปลายปี 2564 จนถึงปัจจุบัน กระทบสิทธิเกิดความเสียหายกับผู้บริโภคไม่น้อยกว่า 900 ล้านบาทต่อเดือน
นาง
รสนา กล่าวว่า รมว.พลังงาน ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการบริการนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีประกาศเมื่อวันที่ 14 ก.พ.66 ว่าค่าการตลาดของค่าการตลาดน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ ให้อยู่ที่ 2 บาทต่อลิตร แต่ปรากฎว่าตั้งแต่การประกาศของรมว.พลังงาน ค่าการตลาดไม่เคยอยู่ที่ราคา 2 บาท บวกลบ 40 สต. แต่เกินไปที่ 3 บาท หรือบางครั้งจะทะลุไปถึง 5 บาท จริงๆแล้วค่าการตลาดที่เหมาะสมมีการกำหนดมาแล้วเป็นระยะๆตั้งแต่ปี 2563 แต่ไม่เคยมีการทำตามและเก็บเกินมาตลอด
น.ส.
รสนา กล่าวว่า ปัจจุบันน้ำมันกลุ่มเบนซินแก๊สโซฮอล์ ทุกชนิดมียอดขายรวมกันประมาณ 30 ล้านลิตรต่อวัน อาจอนุมานได้ว่าผู้ใช้น้ำมันกลุ่มนี้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเกินสมควรรวมกันไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาทต่อวัน หรือ 900 ล้านบาทต่อเดือน และหากนับช่วงเวลาตั้งแต่ม.ค.-ก.ค.66 จากที่สภาองค์กรของผู้บริโภคได้เก็บข้อมูลคาดว่าผู้ใช้น้ำมันในกลุ่มนี้ จะต้องเสียประโยชน์จากการกระทำละเลยของกระทรวงพลังงานและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 6,300 ล้านบาท
สภาองค์กรของผู้บริโภคเห็นว่าหน่วยงานรัฐจะต้องจัดให้มีกลไกและวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการดูแลควบคุมไม่ให้ผู้บริโภคไม่ได้รับกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานรัฐ จึงต้องมาร้องขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจสอบเรื่องนี้
การที่กระทรวงพลังงาน อ้างว่าเอากลุ่มเบนซินมาเฉลี่ยกับกลุ่มดีเซลไม่สามารถทำได้ เพราะเมื่อคำนวณค่าเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 2.46 บาท ซึ่งสูงกว่า 2 บาทที่ได้เคยกำหนดเอาไว้ สุดท้ายแล้วการเฉลี่ยค่าการตลาดข้ามกลุ่มจึงเป็นการดำเนินการไม่เหมาะสมเพราะว่ากลุ่มที่รับภาระมากก็คือ กลุ่มของน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์ ซึ่งกลุ่มนี้หมายรวมถึง คนที่ใช้มอเตอร์ไซด์รับจ้าง ภาคการเกษตร ชาวประมงชายฝั่งบางกลุ่มด้วย
กลุ่มเหล่านี้เป็นคนที่ได้รับผลกระทบและเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราต้องมายื่นผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 230 ตรวจสอบทั้งกระทรวงพลังงาน กบง. คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง(กบน.) ซึ่งรมว.พลังงาน เป็นประธานคณะกรรมการทั้ง 2 คณะ รวมถึงกระทรวงการคลัง ว่าได้ละเลยต่อหน้าที่ในการควบคุมราคาค่าการตลาดเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ผู้บริโภคหรือไม่
ส่วนที่มีข้ออ้างว่าค่าการตลาดเป็นไปตามกลไกเสรีนั้น เห็นว่า สิ่งที่สำคัญกว่า คือ บริษัท ปตท. มีส่วนแบ่งของปั๊มน้ำมันขายปลีกอยู่ที่ 40 เปอร์เซ็นต์ของตลาดทั้งหมด และปตท.มีกระทรวงการคลังถือหุ้นเกิน 51 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้น กระทรวงการคลังและครม. ควรกำชับให้ปตท.ปฏิบัติตามค่าการตลาดที่เหมาะสม หากทำได้จะเป็นทางเลือกให้กับประชาชนไม่ต้องใช้น้ำมันราคาแพง เพราะทุกวันนี้น้ำมันปรับขึ้นแทบวันเว้นวัน เฉพาะในช่วงเดือนก.ค.ปรับขึ้นถึง 2.80 บาท และถ้ารวม มาถึงเดือนส.ค. ปรับขึ้นมาเกิน 3 บาทต่อลิตร
จึงเป็นประเด็นที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อนเพราะเมื่อน้ำมันปรับราคาขึ้น ส่งผลให้ราคาสินค้าและค่าครองชีพสูงขึ้นตามไป เรื่องเหล่านี้ เราพยายามเรียกร้องกระทรวงพลังงานมาแล้วแต่ไม่ได้ผล จึงต้องขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจสอบและมีคำแนะนำไปยังหน่วยงานเหล่านี้ให้ปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องต่อไป
ไอติม แถลงบี้เศรษฐา ยืนยันตามสัญญา เคาะนัดแรกครม.ทันที ทำประชามติแก้รธน.
https://www.matichon.co.th/politics/news_4154231
‘พริษฐ์’รับพ่ายเกมสภา จี้’เศรษฐา’ ยืนยันเคาะทำประชามติแก้ รธน. ถก ครม.นัดแรก หวังกำหนดคำถามให้ครอบคลุม 2 หลักการ
เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ที่รัฐสภา นาย
พริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) แถลงข่าวภายหลังจากที่สภาเสียงข้างมาก ไม่เห็นชอบต่อการเลื่อนระเบียบวาระให้พิจารณาคำถามประชามติในที่ประชุมสภา ว่า ยอมรับในมติของสภาดังกล่าว และยอมรับว่าพรรคได้สูญเสียการดำเนินการตามขั้นตอนในสภา ดังนั้น ขอเรียกร้องไปยังนาย
เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ยืนยันให้ชัดเจนว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรก จะถกในประเด็นการทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ขณะที่การตั้งคำถามเพื่อนำไปทำประชามตินั้น ต้องให้ครอบคลุมในหลักการ คือ สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน 100 เปอร์เซ็นต์
แม้จะเคยพูดเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญหลายรอบแล้ว แต่ในการอภิปรายวันนี้มีสมาชิกบางท่านยังคงแสดงท่าทีคัดค้าน และทักท้วง ว่าขอให้รอความชัดเจนจากคณะรัฐมนตรี ซึ่งพรรคก้าวไกลมองว่าไม่เกี่ยวข้อง
นาย
พริษฐ์กล่าวด้วยว่า การดำเนินการของพรรค ก.ก. ในเรื่องดังกล่าวเป็นการทำคู่ขนานกับสภาประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ หรือ conforall ที่ยื่นรายชื่อประชาชนกว่า 2 แสนรายชื่อ เพื่อเสนอคำถามประชามติแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ในขั้นตอนที่ประชาชนเข้าชื่อ 50,000 รายชื่อ เพื่อยื่นต่อ ครม.จะเป็นอำนาจของ ครม. ว่าจะรับหรือไม่รับไปดำเนินการหรือไม่ ซึ่งหวังว่า ครม.จะรับไปพิจารณา เพื่อให้การตั้งคำถามประชามตินั้นครอบคลุมในหลักการ
เมื่อถามว่า ในกรณีที่ ครม.สร้างคำถามประชามติที่ไม่ครอบคลุมหลักการ จะดำเนินการอย่างใดหรือไม่ นายพริษฐ์กล่าวว่า ต้องใช้กลไกของสภา และประชาชนให้เต็มที่
เมื่อถามว่า พรรค ก.ก.จะเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 272 เพื่อปิดสวิตช์ ส.ว. ต่อหรือไม่ นาย
พริษฐ์กล่าวว่า จะเดินหน้าต่อ และไม่ถอนวาระดังกล่าวออกจากที่ประชุมรัฐสภา แม้ขั้นตอนดังกล่าวจะเลยช่วงโหวตนายกฯไปแล้วก็ตาม ทั้งนี้เพื่อยืนยันในหลักการว่า ส.ว.ไม่ควรมีอำนาจร่วมเลือกนายกฯ
เมื่อถามถึงกรณีที่ ส.ว.มีแนวคิดแก้รัฐธรรมนูญ ในส่วนของคุณสมบัติ ส.ว. เพื่อปลดล็อกห้าม ส.ว.ชุดปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือลงเลือกตั้ง นาย
พริษฐ์กล่าวว่า ยืนยันว่าการร่างรัฐธรรมนูญใหม่นั้น ควรต้องมาจาก ส.ส.ร.
โพล “มติชนทีวี”สำรวจผู้นำทางการเมือง- “พิธา” คนนิยมสูงสุดที่ 85%
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_4154385
“
มติชนทีวี” ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในเดือนส.ค. 2566 ในหัวข้อ “
ใครคือผู้นำทางการเมืองที่คุณนิยมมากที่สุด” โดยมีผู้ส่งความคิดเห็นมาถึง 1.5 แสนตัวอย่าง โดย “
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล มีความนิยมสูงถึง 85% #ข่าวการเมืองมติชน ” ติดตามรายละเอียดจากคลิปด้านล่างนี้
HSBC หวั่นแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เพิ่มขาดดุลการคลัง 8.4 แสนล้านบาท
https://www.dailynews.co.th/news/2672594/
แบงก์ต่างชาติ HSBC หวั่นนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท จุดระเบิดเงินเฟ้อจนธปท.ต้องเข้มงวด ชี้ต้องเร่งทำครึ่งแรกปี 67 ก่อนถึงจุดเปลี่ยนการเมืองอีกครั้ง คาดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขาดดุลการคลัง 4.4% ของจีดีพี หรือ 8.4 แสนล้านบาท
นาย
อาริส ดาคาเนย์ นักเศรษฐศาสตร์ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ธนาคารเอชเอสบีซี เปิดเผยว่า ได้ประเมินการขาดดุลทางการคลังในปีงบประมาณ 67 เพิ่มขึ้นเป็น 4.4% ของจีดีพี จากเดิมที่คาดไว้ 4.1% และลดการคาดการณ์ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 67 ลงเหลือ 2.2% ของจีดีพี เดิมคาด 2.8% เนื่องจากพรรคเพื่อไทยแกนนำจัดตั้งรัฐบาลมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท และคาดว่าจะเร่งทำในช่วงครึ่งปีแรกปี 67 ทำให้มีการใช้จ่ายเพิ่มแต่ความเสี่ยงคือธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)อาจจะกลับมาใช้นโยบายแบบเข้มงวดหรือขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งหากเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่คาด
ทั้งนี้แม้ว่านักลงทุนจะมีความเชื่อมั่นเพิ่มมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่ยังรอจับตาดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นในเดือนพ.ค.67 ก่อน เพราะอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอีกครั้ง ในวันที่ 11 พ.ค.67 ซึ่งเป็นวันที่วุฒิสภาจะไม่มีอำนาจในการลงคะแนนเสียงเลือกนายกรัฐมนตรี โดยอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรีนั้นจะอยู่ที่สภาผู้แทนราษฎรเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งในสภาล่างนี้ พรรคก้าวไกลที่เป็นฝ่ายค้านเป็นพรรคที่มีจำนวนที่นั่งมากที่สุด ดังนั้นพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งนำโดยพรรคเพื่อไทยอาจจะต้องเลือกดำเนินนโยบายต่างๆ ที่สัญญาไว้ในขณะหาเสียงก่อนถึงวันที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับรัฐบาล
นอกจากนี้ในด้านงบประมาณ 67 แม้อาจจะมีความล่าช้าอยู่บ้าง แต่คาดว่าจะมีการกำหนดงบประมาณแบบขยายตัว เพราะในช่วงฤดูหาเสียง ทุกพรรคการเมืองเสนอนโยบายแจกเงินสดและเงินอุดหนุนในลักษณะใกล้เคียงกัน ซึ่งมีมูลค่าสูงจนสร้างความวิตกกังวลว่าจะกระทบกับเสถียรภาพทางการคลังและนำไปสู่ปัญหาเงินเฟ้อ โดยพรรคเพื่อไทยนั้น แคมเปญหลักที่ให้สัญญาไว้คือแจกเงินดิจิทัลให้กับคนไทยทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป ซึ่งมีมูลค่า 3.1% ของจีดีพี และยังมีนโยบายอื่นๆ อีก เช่น เพิ่มรายได้ของเกษตรกร 3 เท่าและประกันรายได้ครัวเรือน 20,000 บาทต่อเดือน
“จากคำมั่นสัญญาเหล่านี้ คาดว่าการขาดดุลทางการคลังในปีงบประมาณ 67 จะอยู่ที่ 4.4% ของจีดีพี หรือ 8.4 แสนล้านบาท ก่อนการเลือกตั้ง รัฐบาลชุดที่แล้วได้จัดสรรงบประมาณเอาไว้ที่ 3.35 ล้านล้านบาท โดยคาดการณ์การขาดดุลที่ 6 แสนล้านบาท หรือ 3% ของจีดีพี การเพิ่มขึ้นของการขาดดุล มาจากค่าใช้จ่ายในการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทที่เพิ่มเข้ามา คาดว่าเพื่อให้จัดสรรงบประมาณได้อย่างเพียงพอ อาจจะมียกเลิกนโยบายสวัสดิการอื่นๆ เช่น เงินอุดหนุนรายเดือนสำหรับผู้มีรายได้น้อยเดือนละ 300 บาท เบี้ยผู้สูงอายุรายเดือน และเงินอุดหนุนน้ำมันดีเซล”
นาย
อาริส กล่าวว่า นอกจากการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว พรรคเพื่อไทยยังเสนอให้เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจาก 340 บาท เป็น 600 บาทต่อวันให้สำเร็จภายในปี 70 หากอัตราเงินเฟ้อมีการเร่งตัวเร็วกว่าที่คาดเป็นผลมาจากนโยบายการคลังแบบขยายตัวและการขึ้นค่าแรงก็มีความเสี่ยงที่ธปท.จะขึ้นดอกเบี้ยอีก แต่ปัจจุบันมองว่าจะคงอัตราไว้ 2.25% จนถึงปี 68 และต้องติดตามค่าเงินบาทจากนักลงทุนต่างชาติอาจกลับมาลงทุนอีกครั้งหลังความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจลดลง , รัฐบาลชุดใหม่ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจ จึงมีความเป็นไปได้ที่จะมีเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเข้ามาเพิ่มขึ้น และโอกาสที่จะเกิดการประท้วงในประเทศมีน้อยลง ส่งผลให้ค่าเงินบาทน่าจะได้ประโยชน์จากช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว
JJNY : 5in1 สุดทน ยื่นสอบ ‘พลังงาน-คลัง’│ไอติมบี้เศรษฐา│“พิธา”นิยมสูงสุด│HSBC หวั่นแจกเงินดิจิทัล│ฝรั่งเศสติดตามกาบอง
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7840798
ภาคประชาชน 20 องค์กร ยื่นผู้ตรวจฯ สอบ ก.พลังงาน-คลัง ละเลยไม่ควบคุมค่าการตลาดน้ำมันกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ ทำประชาชนเดือดร้อนใช้น้ำมันแพง-ค่าครองชีพสูง
เมื่อวันที่ 30 ส.ค.2566 ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน สภาองค์กรของผู้บริโภค และตัวแทนองค์กรภาคประชาชนรวม 20 องค์กร นำโดยน.ส.รสนา โตสิตระกูล เข้ายื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ตรวจสอบกระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง และคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง กรณีละเลยไม่ควบคุม ค่าการตลาดน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ จนทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันกลุ่มดังกล่าวเฉลี่ยสูงกว่า 2 บาทต่อลิตร ต่อเนื่องมานับแต่ปลายปี 2564 จนถึงปัจจุบัน กระทบสิทธิเกิดความเสียหายกับผู้บริโภคไม่น้อยกว่า 900 ล้านบาทต่อเดือน
นางรสนา กล่าวว่า รมว.พลังงาน ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการบริการนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีประกาศเมื่อวันที่ 14 ก.พ.66 ว่าค่าการตลาดของค่าการตลาดน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ ให้อยู่ที่ 2 บาทต่อลิตร แต่ปรากฎว่าตั้งแต่การประกาศของรมว.พลังงาน ค่าการตลาดไม่เคยอยู่ที่ราคา 2 บาท บวกลบ 40 สต. แต่เกินไปที่ 3 บาท หรือบางครั้งจะทะลุไปถึง 5 บาท จริงๆแล้วค่าการตลาดที่เหมาะสมมีการกำหนดมาแล้วเป็นระยะๆตั้งแต่ปี 2563 แต่ไม่เคยมีการทำตามและเก็บเกินมาตลอด
น.ส.รสนา กล่าวว่า ปัจจุบันน้ำมันกลุ่มเบนซินแก๊สโซฮอล์ ทุกชนิดมียอดขายรวมกันประมาณ 30 ล้านลิตรต่อวัน อาจอนุมานได้ว่าผู้ใช้น้ำมันกลุ่มนี้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเกินสมควรรวมกันไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาทต่อวัน หรือ 900 ล้านบาทต่อเดือน และหากนับช่วงเวลาตั้งแต่ม.ค.-ก.ค.66 จากที่สภาองค์กรของผู้บริโภคได้เก็บข้อมูลคาดว่าผู้ใช้น้ำมันในกลุ่มนี้ จะต้องเสียประโยชน์จากการกระทำละเลยของกระทรวงพลังงานและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 6,300 ล้านบาท
สภาองค์กรของผู้บริโภคเห็นว่าหน่วยงานรัฐจะต้องจัดให้มีกลไกและวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการดูแลควบคุมไม่ให้ผู้บริโภคไม่ได้รับกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานรัฐ จึงต้องมาร้องขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจสอบเรื่องนี้
การที่กระทรวงพลังงาน อ้างว่าเอากลุ่มเบนซินมาเฉลี่ยกับกลุ่มดีเซลไม่สามารถทำได้ เพราะเมื่อคำนวณค่าเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 2.46 บาท ซึ่งสูงกว่า 2 บาทที่ได้เคยกำหนดเอาไว้ สุดท้ายแล้วการเฉลี่ยค่าการตลาดข้ามกลุ่มจึงเป็นการดำเนินการไม่เหมาะสมเพราะว่ากลุ่มที่รับภาระมากก็คือ กลุ่มของน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์ ซึ่งกลุ่มนี้หมายรวมถึง คนที่ใช้มอเตอร์ไซด์รับจ้าง ภาคการเกษตร ชาวประมงชายฝั่งบางกลุ่มด้วย
กลุ่มเหล่านี้เป็นคนที่ได้รับผลกระทบและเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราต้องมายื่นผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 230 ตรวจสอบทั้งกระทรวงพลังงาน กบง. คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง(กบน.) ซึ่งรมว.พลังงาน เป็นประธานคณะกรรมการทั้ง 2 คณะ รวมถึงกระทรวงการคลัง ว่าได้ละเลยต่อหน้าที่ในการควบคุมราคาค่าการตลาดเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ผู้บริโภคหรือไม่
ส่วนที่มีข้ออ้างว่าค่าการตลาดเป็นไปตามกลไกเสรีนั้น เห็นว่า สิ่งที่สำคัญกว่า คือ บริษัท ปตท. มีส่วนแบ่งของปั๊มน้ำมันขายปลีกอยู่ที่ 40 เปอร์เซ็นต์ของตลาดทั้งหมด และปตท.มีกระทรวงการคลังถือหุ้นเกิน 51 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้น กระทรวงการคลังและครม. ควรกำชับให้ปตท.ปฏิบัติตามค่าการตลาดที่เหมาะสม หากทำได้จะเป็นทางเลือกให้กับประชาชนไม่ต้องใช้น้ำมันราคาแพง เพราะทุกวันนี้น้ำมันปรับขึ้นแทบวันเว้นวัน เฉพาะในช่วงเดือนก.ค.ปรับขึ้นถึง 2.80 บาท และถ้ารวม มาถึงเดือนส.ค. ปรับขึ้นมาเกิน 3 บาทต่อลิตร
จึงเป็นประเด็นที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อนเพราะเมื่อน้ำมันปรับราคาขึ้น ส่งผลให้ราคาสินค้าและค่าครองชีพสูงขึ้นตามไป เรื่องเหล่านี้ เราพยายามเรียกร้องกระทรวงพลังงานมาแล้วแต่ไม่ได้ผล จึงต้องขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจสอบและมีคำแนะนำไปยังหน่วยงานเหล่านี้ให้ปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องต่อไป
ไอติม แถลงบี้เศรษฐา ยืนยันตามสัญญา เคาะนัดแรกครม.ทันที ทำประชามติแก้รธน.
https://www.matichon.co.th/politics/news_4154231
‘พริษฐ์’รับพ่ายเกมสภา จี้’เศรษฐา’ ยืนยันเคาะทำประชามติแก้ รธน. ถก ครม.นัดแรก หวังกำหนดคำถามให้ครอบคลุม 2 หลักการ
เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ที่รัฐสภา นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) แถลงข่าวภายหลังจากที่สภาเสียงข้างมาก ไม่เห็นชอบต่อการเลื่อนระเบียบวาระให้พิจารณาคำถามประชามติในที่ประชุมสภา ว่า ยอมรับในมติของสภาดังกล่าว และยอมรับว่าพรรคได้สูญเสียการดำเนินการตามขั้นตอนในสภา ดังนั้น ขอเรียกร้องไปยังนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ยืนยันให้ชัดเจนว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรก จะถกในประเด็นการทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ขณะที่การตั้งคำถามเพื่อนำไปทำประชามตินั้น ต้องให้ครอบคลุมในหลักการ คือ สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน 100 เปอร์เซ็นต์
แม้จะเคยพูดเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญหลายรอบแล้ว แต่ในการอภิปรายวันนี้มีสมาชิกบางท่านยังคงแสดงท่าทีคัดค้าน และทักท้วง ว่าขอให้รอความชัดเจนจากคณะรัฐมนตรี ซึ่งพรรคก้าวไกลมองว่าไม่เกี่ยวข้อง
นายพริษฐ์กล่าวด้วยว่า การดำเนินการของพรรค ก.ก. ในเรื่องดังกล่าวเป็นการทำคู่ขนานกับสภาประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ หรือ conforall ที่ยื่นรายชื่อประชาชนกว่า 2 แสนรายชื่อ เพื่อเสนอคำถามประชามติแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ในขั้นตอนที่ประชาชนเข้าชื่อ 50,000 รายชื่อ เพื่อยื่นต่อ ครม.จะเป็นอำนาจของ ครม. ว่าจะรับหรือไม่รับไปดำเนินการหรือไม่ ซึ่งหวังว่า ครม.จะรับไปพิจารณา เพื่อให้การตั้งคำถามประชามตินั้นครอบคลุมในหลักการ
เมื่อถามว่า ในกรณีที่ ครม.สร้างคำถามประชามติที่ไม่ครอบคลุมหลักการ จะดำเนินการอย่างใดหรือไม่ นายพริษฐ์กล่าวว่า ต้องใช้กลไกของสภา และประชาชนให้เต็มที่
เมื่อถามว่า พรรค ก.ก.จะเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 272 เพื่อปิดสวิตช์ ส.ว. ต่อหรือไม่ นายพริษฐ์กล่าวว่า จะเดินหน้าต่อ และไม่ถอนวาระดังกล่าวออกจากที่ประชุมรัฐสภา แม้ขั้นตอนดังกล่าวจะเลยช่วงโหวตนายกฯไปแล้วก็ตาม ทั้งนี้เพื่อยืนยันในหลักการว่า ส.ว.ไม่ควรมีอำนาจร่วมเลือกนายกฯ
เมื่อถามถึงกรณีที่ ส.ว.มีแนวคิดแก้รัฐธรรมนูญ ในส่วนของคุณสมบัติ ส.ว. เพื่อปลดล็อกห้าม ส.ว.ชุดปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือลงเลือกตั้ง นายพริษฐ์กล่าวว่า ยืนยันว่าการร่างรัฐธรรมนูญใหม่นั้น ควรต้องมาจาก ส.ส.ร.
โพล “มติชนทีวี”สำรวจผู้นำทางการเมือง- “พิธา” คนนิยมสูงสุดที่ 85%
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_4154385
“มติชนทีวี” ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในเดือนส.ค. 2566 ในหัวข้อ “ใครคือผู้นำทางการเมืองที่คุณนิยมมากที่สุด” โดยมีผู้ส่งความคิดเห็นมาถึง 1.5 แสนตัวอย่าง โดย “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล มีความนิยมสูงถึง 85% #ข่าวการเมืองมติชน ” ติดตามรายละเอียดจากคลิปด้านล่างนี้
HSBC หวั่นแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เพิ่มขาดดุลการคลัง 8.4 แสนล้านบาท
https://www.dailynews.co.th/news/2672594/
แบงก์ต่างชาติ HSBC หวั่นนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท จุดระเบิดเงินเฟ้อจนธปท.ต้องเข้มงวด ชี้ต้องเร่งทำครึ่งแรกปี 67 ก่อนถึงจุดเปลี่ยนการเมืองอีกครั้ง คาดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขาดดุลการคลัง 4.4% ของจีดีพี หรือ 8.4 แสนล้านบาท
นายอาริส ดาคาเนย์ นักเศรษฐศาสตร์ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ธนาคารเอชเอสบีซี เปิดเผยว่า ได้ประเมินการขาดดุลทางการคลังในปีงบประมาณ 67 เพิ่มขึ้นเป็น 4.4% ของจีดีพี จากเดิมที่คาดไว้ 4.1% และลดการคาดการณ์ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 67 ลงเหลือ 2.2% ของจีดีพี เดิมคาด 2.8% เนื่องจากพรรคเพื่อไทยแกนนำจัดตั้งรัฐบาลมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท และคาดว่าจะเร่งทำในช่วงครึ่งปีแรกปี 67 ทำให้มีการใช้จ่ายเพิ่มแต่ความเสี่ยงคือธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)อาจจะกลับมาใช้นโยบายแบบเข้มงวดหรือขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งหากเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่คาด
ทั้งนี้แม้ว่านักลงทุนจะมีความเชื่อมั่นเพิ่มมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่ยังรอจับตาดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นในเดือนพ.ค.67 ก่อน เพราะอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอีกครั้ง ในวันที่ 11 พ.ค.67 ซึ่งเป็นวันที่วุฒิสภาจะไม่มีอำนาจในการลงคะแนนเสียงเลือกนายกรัฐมนตรี โดยอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรีนั้นจะอยู่ที่สภาผู้แทนราษฎรเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งในสภาล่างนี้ พรรคก้าวไกลที่เป็นฝ่ายค้านเป็นพรรคที่มีจำนวนที่นั่งมากที่สุด ดังนั้นพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งนำโดยพรรคเพื่อไทยอาจจะต้องเลือกดำเนินนโยบายต่างๆ ที่สัญญาไว้ในขณะหาเสียงก่อนถึงวันที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับรัฐบาล
นอกจากนี้ในด้านงบประมาณ 67 แม้อาจจะมีความล่าช้าอยู่บ้าง แต่คาดว่าจะมีการกำหนดงบประมาณแบบขยายตัว เพราะในช่วงฤดูหาเสียง ทุกพรรคการเมืองเสนอนโยบายแจกเงินสดและเงินอุดหนุนในลักษณะใกล้เคียงกัน ซึ่งมีมูลค่าสูงจนสร้างความวิตกกังวลว่าจะกระทบกับเสถียรภาพทางการคลังและนำไปสู่ปัญหาเงินเฟ้อ โดยพรรคเพื่อไทยนั้น แคมเปญหลักที่ให้สัญญาไว้คือแจกเงินดิจิทัลให้กับคนไทยทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป ซึ่งมีมูลค่า 3.1% ของจีดีพี และยังมีนโยบายอื่นๆ อีก เช่น เพิ่มรายได้ของเกษตรกร 3 เท่าและประกันรายได้ครัวเรือน 20,000 บาทต่อเดือน
“จากคำมั่นสัญญาเหล่านี้ คาดว่าการขาดดุลทางการคลังในปีงบประมาณ 67 จะอยู่ที่ 4.4% ของจีดีพี หรือ 8.4 แสนล้านบาท ก่อนการเลือกตั้ง รัฐบาลชุดที่แล้วได้จัดสรรงบประมาณเอาไว้ที่ 3.35 ล้านล้านบาท โดยคาดการณ์การขาดดุลที่ 6 แสนล้านบาท หรือ 3% ของจีดีพี การเพิ่มขึ้นของการขาดดุล มาจากค่าใช้จ่ายในการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทที่เพิ่มเข้ามา คาดว่าเพื่อให้จัดสรรงบประมาณได้อย่างเพียงพอ อาจจะมียกเลิกนโยบายสวัสดิการอื่นๆ เช่น เงินอุดหนุนรายเดือนสำหรับผู้มีรายได้น้อยเดือนละ 300 บาท เบี้ยผู้สูงอายุรายเดือน และเงินอุดหนุนน้ำมันดีเซล”
นายอาริส กล่าวว่า นอกจากการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว พรรคเพื่อไทยยังเสนอให้เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจาก 340 บาท เป็น 600 บาทต่อวันให้สำเร็จภายในปี 70 หากอัตราเงินเฟ้อมีการเร่งตัวเร็วกว่าที่คาดเป็นผลมาจากนโยบายการคลังแบบขยายตัวและการขึ้นค่าแรงก็มีความเสี่ยงที่ธปท.จะขึ้นดอกเบี้ยอีก แต่ปัจจุบันมองว่าจะคงอัตราไว้ 2.25% จนถึงปี 68 และต้องติดตามค่าเงินบาทจากนักลงทุนต่างชาติอาจกลับมาลงทุนอีกครั้งหลังความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจลดลง , รัฐบาลชุดใหม่ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจ จึงมีความเป็นไปได้ที่จะมีเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเข้ามาเพิ่มขึ้น และโอกาสที่จะเกิดการประท้วงในประเทศมีน้อยลง ส่งผลให้ค่าเงินบาทน่าจะได้ประโยชน์จากช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว