ผมคิดแล้วคิดอีกว่า สมควรที่จะนำเสนอประสบการณ์นี้ไหม เพราะเกรงว่าจะเกิดดราม่าทุ่มเถียงกันจนผู้อ่านมองว่า เป็นเรื่องไร้สาระ แต่แล้วก็ตัดสินใจที่จะเล่าให้ฟัง อย่างน้อยเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในกลุ่มนักปฏิบัติ หรือเป็นทางเลือกให้นักสมาธิลองไปทำดู ถ้าไม่ถูกจริตท่าน ควรกลับไปใช้แนวทางในรูปแบบหลักที่สอนการนั่งสมาธิซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี
เมื่อปี 62 เป็นปีแรกของการเริ่มนั่งสมาธิอย่างจริงจัง เพราะมีโควิดระบาด ต้อง Work from home อยู่กับบ้าน ตอนนั้นนั่งสมาธิโดยดูลมเข้า - ออก ที่ปลายจมูก แต่ไม่นั่งทุกวัน เฉพาะวันว่างเท่านั้นที่นั่งสมาธิ เป็นการนั่งแบบสบาย ๆ ไม่คิดมาก ไม่หวังผล รู้อย่างเดียว จิตนิ่งสงบ และมีสติ เป็นอันใช้ได้ สรุปรวบยอด ผ่านมา 2 ปี จนถึงปี 64 สมาธิตั้งมั่นไปถึงลมหายใจหยุดนิ่ง จากนั้นก็ฝึกในรูปแบบเดิมมาเรื่อย ๆ จนทุกวันนี้
ส่วนตัวผมได้ทดลองและปฏิบัติจริงในช่วงเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา โดยการใช้สติตัวเดียวได้ผลทุกครั้งที่นั่งสมาธิ จิตรวมถึงลมหายใจหยุดนิ่ง จนผมสรุปได้ว่า " การนั่งสมาธิใช้เพียงสติอย่างเดียว ทำให้เข้าถึงอารมณ์อุเบกขา ได้เช่นกัน "
ต้องบอกว่า นี่ไม่ใช่วิธีการนั่งสมาธิแนวใหม่ แต่มีมานานแล้ว ไม่รู้นานแค่ไหน แต่เชื่อว่านาน ๆ ๆ ทีเดียว เพราะผมเคยฟัง ลพ.ท่านนึง (จำชื่อท่านไม่ได้) เทศก์ในยูตูป ท่านบอกว่า จริง ๆ แล้ว สติอย่างเดียวสำคัญที่สุด ที่ทำให้สมาธิรวมเป็นอุเบกขาได้ คำบริกรรมหรือลมหายใจเป็นเพียงตัวล่อให้สติมั่นคงอยู่กับที่ ดังนั้น ท่านอื่นย่อมทำรูปแบบนี้ได้เช่นกัน
ปัจจุบัน ผมนั่งสมาธิตามนี้ .... ท่านที่จิตรวมมาก่อนแล้วจะทำได้ง่ายขึ้น .... นั่งขัดสมาสพอดีตัวไม่รัดกล้ามเนื้อ หงายมือขวาทับมือซ้าย เหมือนนั่งภาวนาทั่วไป แผ่นหลังตรง ทำใจให้นิ่ง สบาย ๆ ใจว่าง ๆ ไม่ต้องคิดเรื่องใด สติตั้งมั่นเฉย ๆ อย่าถึงกับสติเพ่งเกินไป ร่างกายหายใจรู้ ไม่บังคับลมหายใจ ไม่ตามดูลมหายใจ ลมพัดมากระทบร่างกายรู้ ถ้าเมื่อยขยับไหล่ ขยับหลังได้ นั่งไปเรื่อย ๆ อาการสติตั้งมั่นหรือทำความรู้สึกให้รู้ตัวยังคงอยู่ ผ่านไปราว 10 นาที จิตจะเริ่มรวมเป็นสมาธิขั้นที่ 1 สติจะรับรู้องค์ประกอย 5 อย่างของสมาธิขั้นที่ 1 ได้ ต่อไปอีกราว 5 - 10 นาที สมาธิขั้นที่ 2 และ 3 จะค่อย ๆ ก่อตัวมั่นคงขึ้นค่อนข้างรวดเร็ว สติจะจับปีติและสุขได้ จากนั้น ปีติและสุขจะดับไป พร้อมลมหายใจ เหลืออารมณ์อุเบกขา รวมใช้เวลาราว 20 - 30 นาที ประมาณนี้
ด้วยความเคารพพระศาสดาและครูบาอาจารย์ทุกท่าน ขอให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน หากไม่นำไปปฏิบัติ ขอให้พิจารณาด้วยความแยบยลหรือใช้หลักโยนิโสมนสิการ ... โปรดอย่านำไปโจมตีใครถูก ใครผิด ใครเหนือกว่าหรือเก่งกว่าใคร สำหรับตัวผมยอมรับเลยว่ามีความรู้น้อยมาก ทั้งด้านปริยัติและปฏิบัติ ผิดพลาดประการใดขอน้อมรับความผิดไว้ ณ ที่นี้ ครับ
นั่งสมาธิ ... ใช้สติอย่างเดียว ... ก็เข้าถึงอารมณ์อุเบกขาได้
เมื่อปี 62 เป็นปีแรกของการเริ่มนั่งสมาธิอย่างจริงจัง เพราะมีโควิดระบาด ต้อง Work from home อยู่กับบ้าน ตอนนั้นนั่งสมาธิโดยดูลมเข้า - ออก ที่ปลายจมูก แต่ไม่นั่งทุกวัน เฉพาะวันว่างเท่านั้นที่นั่งสมาธิ เป็นการนั่งแบบสบาย ๆ ไม่คิดมาก ไม่หวังผล รู้อย่างเดียว จิตนิ่งสงบ และมีสติ เป็นอันใช้ได้ สรุปรวบยอด ผ่านมา 2 ปี จนถึงปี 64 สมาธิตั้งมั่นไปถึงลมหายใจหยุดนิ่ง จากนั้นก็ฝึกในรูปแบบเดิมมาเรื่อย ๆ จนทุกวันนี้
ส่วนตัวผมได้ทดลองและปฏิบัติจริงในช่วงเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา โดยการใช้สติตัวเดียวได้ผลทุกครั้งที่นั่งสมาธิ จิตรวมถึงลมหายใจหยุดนิ่ง จนผมสรุปได้ว่า " การนั่งสมาธิใช้เพียงสติอย่างเดียว ทำให้เข้าถึงอารมณ์อุเบกขา ได้เช่นกัน "
ต้องบอกว่า นี่ไม่ใช่วิธีการนั่งสมาธิแนวใหม่ แต่มีมานานแล้ว ไม่รู้นานแค่ไหน แต่เชื่อว่านาน ๆ ๆ ทีเดียว เพราะผมเคยฟัง ลพ.ท่านนึง (จำชื่อท่านไม่ได้) เทศก์ในยูตูป ท่านบอกว่า จริง ๆ แล้ว สติอย่างเดียวสำคัญที่สุด ที่ทำให้สมาธิรวมเป็นอุเบกขาได้ คำบริกรรมหรือลมหายใจเป็นเพียงตัวล่อให้สติมั่นคงอยู่กับที่ ดังนั้น ท่านอื่นย่อมทำรูปแบบนี้ได้เช่นกัน
ปัจจุบัน ผมนั่งสมาธิตามนี้ .... ท่านที่จิตรวมมาก่อนแล้วจะทำได้ง่ายขึ้น .... นั่งขัดสมาสพอดีตัวไม่รัดกล้ามเนื้อ หงายมือขวาทับมือซ้าย เหมือนนั่งภาวนาทั่วไป แผ่นหลังตรง ทำใจให้นิ่ง สบาย ๆ ใจว่าง ๆ ไม่ต้องคิดเรื่องใด สติตั้งมั่นเฉย ๆ อย่าถึงกับสติเพ่งเกินไป ร่างกายหายใจรู้ ไม่บังคับลมหายใจ ไม่ตามดูลมหายใจ ลมพัดมากระทบร่างกายรู้ ถ้าเมื่อยขยับไหล่ ขยับหลังได้ นั่งไปเรื่อย ๆ อาการสติตั้งมั่นหรือทำความรู้สึกให้รู้ตัวยังคงอยู่ ผ่านไปราว 10 นาที จิตจะเริ่มรวมเป็นสมาธิขั้นที่ 1 สติจะรับรู้องค์ประกอย 5 อย่างของสมาธิขั้นที่ 1 ได้ ต่อไปอีกราว 5 - 10 นาที สมาธิขั้นที่ 2 และ 3 จะค่อย ๆ ก่อตัวมั่นคงขึ้นค่อนข้างรวดเร็ว สติจะจับปีติและสุขได้ จากนั้น ปีติและสุขจะดับไป พร้อมลมหายใจ เหลืออารมณ์อุเบกขา รวมใช้เวลาราว 20 - 30 นาที ประมาณนี้
ด้วยความเคารพพระศาสดาและครูบาอาจารย์ทุกท่าน ขอให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน หากไม่นำไปปฏิบัติ ขอให้พิจารณาด้วยความแยบยลหรือใช้หลักโยนิโสมนสิการ ... โปรดอย่านำไปโจมตีใครถูก ใครผิด ใครเหนือกว่าหรือเก่งกว่าใคร สำหรับตัวผมยอมรับเลยว่ามีความรู้น้อยมาก ทั้งด้านปริยัติและปฏิบัติ ผิดพลาดประการใดขอน้อมรับความผิดไว้ ณ ที่นี้ ครับ