ทักษิณ งงมาก ‘ชูวิทย์’ ปูดดีลลับ ผลักก้าวไกลไปฝ่ายค้าน ปัดโทร-พบตัวแทนพรรคไหนเลย
https://www.matichon.co.th/politics/news_4001982
ทักษิณ งงมาก ‘ชูวิทย์’ ปูดดีลลับ ผลักก้าวไกลไปฝ่ายค้าน ปัดโทร-พบตัวแทนพรรคไหนเลย
จากกรณีที่ นาย
ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง อ้างถึง ดีลลับรัฐบาลใหม่ โดยไม่มี พรรคก้าวไกล ที่มีคะแนนมากเป็นอันดับ 1 เบื้องต้นดีลรัฐบาลใหม่ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ และ พรรคชาติไทยพัฒนา เชื่อว่าเมื่อต้องเลือกนายกฯ ส.ว.จะโหวตผ่านแบบฉลุย ส่วนพรรคก้าวไกลจะถูกผลักไปเป็นฝ่ายค้านแทน นอกจากนี้ ยังอ้างถึงแพคเกจพิเศษ “
กลับบ้าน” ของ นาย
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯด้วย
ล่าสุด เมื่อเวลา 21.56 น. วันที่ 28 พฤษภาคม (ตามเวลาประเทศไทย) นาย
ทักษิณทวีตข้อความตอบโต้นายชูวิทย์ โดยระบุว่า
ผมงงมากกับดีลลับที่คุณชูวิทย์พูด ทั้งๆ ที่น้องอิ๊ง (น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยและแคนดิเดตนายกฯพรรคเพื่อไทย) ก็ยืนยันที่สนับสนุนคุณพิธา (นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกฯพรรคก้าวไกล) เป็นนายกฯ และผมเองก็ไม่ได้พบตัวแทนพรรคไหนเลย แม้กระทั่งโทรศัพท์ก็ไม่มี งงจริงๆ ครับ
https://twitter.com/ThaksinLive/status/1662835213880414209
'ณัฐวุฒิ' ลั่น หนุน พิธา นั่งนายกฯ ไม่มีทางอื่น 2 พรรคต้องเดินไปด้วยกัน
https://www.matichon.co.th/heading-news/news_4002012
“ณัฐวุฒิ” ลั่น หนุน พิธา นั่งนายกฯ ไม่มีทางอื่น 2 พรรคต้องเดินไปด้วยกัน ชี้อย่ามัวงัดข้อต่อกรกัน อีกฝ่ายที่เงียบเพราะรอจังหวะขย้ำ
เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม นาย
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยมีรายละเอียดว่า
“การเลือกตั้งจบลงแล้ว แต่การจัดตั้งรัฐบาลยังไม่จบ ปรากฏความเคลื่อนไหวทั้งในทางที่เป็นจริง และข่าวลับ ลือ ลวง มากมายในสถานการณ์
หนึ่งในนั้นคือการยื่นข้อเรียกร้องของกองเชียร์พรรคเพื่อไทยกลุ่มหนึ่ง ขอให้พรรคถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล ประกาศชัดว่านี่เป็นความเห็น ความต้องการในกลุ่มของพวกเขา และพร้อมเคารพต่อการตัดสินใจของพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะตรงกับข้อเรียกร้องหรือไม่
แน่นอนว่าผมไม่เห็นด้วยกับประเด็นนี้ แต่ผมก็เห็นความจริงด้วยว่า กลุ่มที่มายื่นหนังสือเป็นพี่น้องที่ร่วมต่อสู้กันมา และเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยตัวจริง การไม่เห็นด้วยนี้ จึงยืนอยู่บนความเข้าใจ และเคารพในความคิด ความรู้สึกของพวกเขา
การไม่เป็นพรรคอันดับ 1 ในการเลือกตั้งเป็นความสูญเสีย ผิดหวัง และบาดเจ็บครั้งใหญ่ ที่พรรคเพื่อไทยไม่เคยเจอ แต่เราต้องผ่านมันไปให้ได้ ด้วยสติ ปัญญา ความตระหนักรู้ในสถานการณ์ และความศรัทธาเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย เพื่อจะกลับมายืนในที่เดิมที่เคยยืนมาตลอดอีกครั้ง
พรรคเพื่อไทยเผชิญผ่านหลากหลายวิกฤตการณ์ ทุกครั้งเราเอาชนะทุกอุปสรรค ทุกคู่ต่อสู้ ด้วยแนวทางประชาธิปไตย เราเคยสูญเสียอำนาจรัฐเพราะถูกรัฐประหาร สูญเสียกระทั่งพรรคที่เรารักเพราะถูกยุบทำลาย และทุกครั้งเราก็กลับมา
เราเคยสูญเสียอะไรไปมากมาย แต่เราไม่เคยสูญเสียจุดยืนประชาธิปไตย
การพลัดหลงจากชัยชนะในครั้งนี้ เป็นด่านทดสอบสำคัญ ว่าพรรคเพื่อไทยจะผ่าตัดใหญ่ตัวเอง เดินหน้าสู่ความเป็นสถาบันทางการเมือง หรือจะเป็นเพียงเรือร้างอัปปางลง กลางคลื่นลมความเปลี่ยนแปลง
หากหัวใจยังไม่หมดแรงฝัน ก็ขอให้รวมพลังกันลุกขึ้นยืน และทำหน้าที่สำคัญที่สุดของเราวันนี้ คือปกป้องชัยชนะของประชาชน
ร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล สนับสนุน พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี เดินหน้าแก้ปัญหาให้ประชาชน แข่งกันทำงานอย่างสร้างสรรค์ รอวันให้ประชาชนตัดสินใจอีกครั้งในสนามเลือกตั้ง
ไม่มีเกมอื่น ไม่มีทางเดินอื่น สองพรรคต้องเดินไปด้วยกัน สิ่งที่ยังเห็นต่าง ให้ไปจบในวงเจรจา ถ้าปล่อยมือกัน เท่ากับปล่อยมือจากประชาชน
ผมไม่ได้มองโลกสวย เพราะโลกที่ผมสู้มามันเจ็บปวด แต่ผมเชื่อว่าโลกแห่งความเป็นจริง ที่คนส่วนใหญ่ต้องการคือแบบนี้
หากจะขัดใจกองเชียร์ไปบ้าง ก็ขอให้เชื่อว่า ผมเป็นคนหนึ่งที่ทุ่มเททำทุกอย่างสุดความสามารถ แต่เมื่อเกิดความผิดพลาดก็ต้องยืดอกรับ ทั้งที่ในใจก็บอบช้ำไม่น้อยไปกว่าทุกท่าน
สำหรับผู้สนับสนุนของ 2 พรรคหลัก ที่ผลักอกกันอยู่ในโลกออนไลน์ จริงอยู่ว่าหลายคนยืนตรงข้ามกันมาแต่ต้น แต่ก็จริงเช่นกันว่าอีกหลายคน เคยกิน นอน ถูกเขาไล่ฆ่ากลางถนน แม้วันนี้จะไม่ใช่คนพรรคเดียวกันแล้ว ก็ขอให้นึกถึงวัน เวลา ที่เรากอดคอต่อสู้มาด้วยกัน
สิ่งใดที่เคยเจ็บ คำใดที่เคยช้ำร่วมกัน จากการถูกเหยียบย่ำโดยฝ่ายตรงข้าม ละวางไว้บ้างเถิด อย่าได้นำมาใช้ต่อกัน พลังฝ่ายเผด็จการที่เงียบอยู่ เขาไม่ได้ยอมแพ้ แต่รอวัน เวลา จังหวะจะไล่ขย้ำ
แล้วจะใครเสียอีกที่เป็นเป้าหมายถูกกระทำ นอกจากเราผู้เป็นเพื่อนร่วมตายที่เคยต่อสู้เคียงข้างกัน”
https://www.facebook.com/Nattawut.UDD/posts/pfbid0xtQWEjy1mXhQmPNSPSYCs2MhqFegPiu3d6Xqs5U8xLi39AzbgJWKsUsvBiazbY6Kl
‘ดีเซล’ จ่อลิตร 37 บ.โยนกองทุนน้ำมันโปะอุ้ม เหตุพิษคลังเลิกช่วยภาษี ธนารักษ์โละขายคอนโด 2.7 พันห้อง
https://www.matichon.co.th/economy/news_4002031
‘ดีเซล’ จ่อลิตร 37 บาท โยนกองทุนน้ำมันโปะอุ้ม เหตุพิษคลังเลิกช่วยภาษี 5 บ. ธนารักษ์โละขายคอนโด 2.7 พันห้อง-ลดหนี้พันล.
เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม นาย
เกรียงไกร พัฒนาภรณ์ รองอธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต กล่าวว่า มาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซล 5 บาทต่อลิตรจะสิ้นสุดวันที่ 20 กรกฎาคมนี้ หากรัฐบาลและกระทรวงพลังงานต้องการขอขยายมาตรการต่อเนื่องให้ก่อนในวันที่ 21 กรกฎาคมจะต้องเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อเสนอความเห็บชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต่อไปการพิจารณาลดภาษีน้ำมันดีเซลนั้น ถ้ารอรัฐบาลชุดใหม่คงไม่ทันที่จะต่อมาตรการให้ต่อเนื่อง ดังนั้น ต้องให้เสนอที่ ครม. และขอจาก กกต.ได้ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการหารือกันว่าจะขยายต่อมาตรการหรือไม่ คาดว่าสัปดาห์หน้าคงจะมีการหารือในเรื่องดังกล่าว นาย
เกรียงไกรกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2566 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ประกาศกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 34) พ.ศ.2566 สาระสำคัญคือ ยกเลิกประกาศการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป หมายความว่าจะไม่มีการขยายมาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซลลง 5 บาทต่อลิตรที่จะสิ้นสุดวันที่ 20 กรกฎาคมนี้ ตาม ครม.ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี อนุมัติก่อนยุบสภา ดังนั้น หากไม่มีการขยายมาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซล จะทำให้ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม เป็นต้นไป สรรพสามิตจะจัดเก็บภาษีน้ำมันที่อัตราปกติ
แหล่งข่าวจากสำนักงานกองทุนน้ำเชื้อเพลิง (สกนช.) กล่าวถึงกรณีกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ยกเลิกประกาศการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป หรือไม่มีการขยายมาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซลลง 5 บาทต่อลิตร ที่จะสิ้นสุดวันที่ 20 กรกฎาคมนี้ ว่าเบื้องต้น สกนช.อยู่ระหว่างจัดทำแผนรับมือสถานการณ์ หากท้ายที่สุดกระทรวงการคลังไม่ต่ออายุลดภาษีดีเซล โดยจะใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าอุดหนุนแทนส่วนต่างภาษีที่หายไปในอัตรา 5 บาทต่อลิตร เพราะหากไม่ดำเนินการจะทำราคาดีเซลเพิ่มขึ้นสูงระดับ 37 บาทต่อลิตร จากปัจจุบันอยู่ที่ 31.94 บาทต่อลิตร เพื่อรักษาระดับราคาไม่ให้กระทบประชาชนผู้ใช้น้ำมันและภาคขนส่งที่จะมีผลต่อราคาสินค้าปลายทาง
ขณะที่ นาย
จำเริญ โพธิยอด อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวว่า กรมเตรียมนำทรัพย์ที่ได้รับจากคดียึดทรัพย์ให้ตกเป็นของแผ่นดินมาบริหารจัดการ หรือขายทอดตลาดออกไป ได้แก่ คอนโดมิเนียม จำนวน 2,700 ห้อง มูลค่ารวมมากกว่า 2,700 พันล้านบาท เพราะบางห้องชุดมีมูลค่ากว่า 20-30 ล้านบาทครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่กรมจะได้รับทรัพย์ที่เป็นคอนโดมิเนียมที่มีจำนวนมากถึง 2.7 พันรายการออกขายทอดตลาด จึงต้องเตรียมวางแนวทาง ในการจำหน่ายออกไปโดยเร็ว เนื่องจากคอนโดมิเนียมจะมีค่าใช้จ่ายที่เรียกว่าค่าส่วนกลางเข้ามาด้วย ค่าใช้จ่ายตรงนี้หากคิดเป็นเม็ดเงินแล้วถือว่าค่อนข้างสูง ค้างจ่ายค่าส่วนกลางมานาน หากไม่รีบจำหน่ายออกไปภาระค่าใช้จ่ายจะเกิดมากขึ้นไปอีก นายจำเริญกล่าวและว่า ในส่วนค่าใช้จ่ายส่วนกลางดังกล่าวเบื้องต้นกรมประเมินว่าจะมีราว 400-1,000 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายส่วนนี้กรมไม่มีความสามารถในการชำระได้ จึงหารือไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่าจะมีแนวทางอย่างไรที่จะช่วยผ่อนปรนภาระดังกล่าวให้กับกรมได้บ้าง
JJNY : ทักษิณงงมาก ‘ชูวิทย์’ปูดดีลลับ│'ณัฐวุฒิ'ลั่นหนุนพิธา นั่งนายกฯ│‘ดีเซล’ จ่อลิตร 37 บ.│เกาหลีเหนือแจ้งญี่ปุ่น
https://www.matichon.co.th/politics/news_4001982
จากกรณีที่ นาย ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง อ้างถึง ดีลลับรัฐบาลใหม่ โดยไม่มี พรรคก้าวไกล ที่มีคะแนนมากเป็นอันดับ 1 เบื้องต้นดีลรัฐบาลใหม่ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ และ พรรคชาติไทยพัฒนา เชื่อว่าเมื่อต้องเลือกนายกฯ ส.ว.จะโหวตผ่านแบบฉลุย ส่วนพรรคก้าวไกลจะถูกผลักไปเป็นฝ่ายค้านแทน นอกจากนี้ ยังอ้างถึงแพคเกจพิเศษ “กลับบ้าน” ของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯด้วย
ล่าสุด เมื่อเวลา 21.56 น. วันที่ 28 พฤษภาคม (ตามเวลาประเทศไทย) นายทักษิณทวีตข้อความตอบโต้นายชูวิทย์ โดยระบุว่า
ผมงงมากกับดีลลับที่คุณชูวิทย์พูด ทั้งๆ ที่น้องอิ๊ง (น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยและแคนดิเดตนายกฯพรรคเพื่อไทย) ก็ยืนยันที่สนับสนุนคุณพิธา (นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกฯพรรคก้าวไกล) เป็นนายกฯ และผมเองก็ไม่ได้พบตัวแทนพรรคไหนเลย แม้กระทั่งโทรศัพท์ก็ไม่มี งงจริงๆ ครับ
https://twitter.com/ThaksinLive/status/1662835213880414209
'ณัฐวุฒิ' ลั่น หนุน พิธา นั่งนายกฯ ไม่มีทางอื่น 2 พรรคต้องเดินไปด้วยกัน
https://www.matichon.co.th/heading-news/news_4002012
“ณัฐวุฒิ” ลั่น หนุน พิธา นั่งนายกฯ ไม่มีทางอื่น 2 พรรคต้องเดินไปด้วยกัน ชี้อย่ามัวงัดข้อต่อกรกัน อีกฝ่ายที่เงียบเพราะรอจังหวะขย้ำ
เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยมีรายละเอียดว่า
“การเลือกตั้งจบลงแล้ว แต่การจัดตั้งรัฐบาลยังไม่จบ ปรากฏความเคลื่อนไหวทั้งในทางที่เป็นจริง และข่าวลับ ลือ ลวง มากมายในสถานการณ์
หนึ่งในนั้นคือการยื่นข้อเรียกร้องของกองเชียร์พรรคเพื่อไทยกลุ่มหนึ่ง ขอให้พรรคถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล ประกาศชัดว่านี่เป็นความเห็น ความต้องการในกลุ่มของพวกเขา และพร้อมเคารพต่อการตัดสินใจของพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะตรงกับข้อเรียกร้องหรือไม่
แน่นอนว่าผมไม่เห็นด้วยกับประเด็นนี้ แต่ผมก็เห็นความจริงด้วยว่า กลุ่มที่มายื่นหนังสือเป็นพี่น้องที่ร่วมต่อสู้กันมา และเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยตัวจริง การไม่เห็นด้วยนี้ จึงยืนอยู่บนความเข้าใจ และเคารพในความคิด ความรู้สึกของพวกเขา
การไม่เป็นพรรคอันดับ 1 ในการเลือกตั้งเป็นความสูญเสีย ผิดหวัง และบาดเจ็บครั้งใหญ่ ที่พรรคเพื่อไทยไม่เคยเจอ แต่เราต้องผ่านมันไปให้ได้ ด้วยสติ ปัญญา ความตระหนักรู้ในสถานการณ์ และความศรัทธาเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย เพื่อจะกลับมายืนในที่เดิมที่เคยยืนมาตลอดอีกครั้ง
พรรคเพื่อไทยเผชิญผ่านหลากหลายวิกฤตการณ์ ทุกครั้งเราเอาชนะทุกอุปสรรค ทุกคู่ต่อสู้ ด้วยแนวทางประชาธิปไตย เราเคยสูญเสียอำนาจรัฐเพราะถูกรัฐประหาร สูญเสียกระทั่งพรรคที่เรารักเพราะถูกยุบทำลาย และทุกครั้งเราก็กลับมา
เราเคยสูญเสียอะไรไปมากมาย แต่เราไม่เคยสูญเสียจุดยืนประชาธิปไตย
การพลัดหลงจากชัยชนะในครั้งนี้ เป็นด่านทดสอบสำคัญ ว่าพรรคเพื่อไทยจะผ่าตัดใหญ่ตัวเอง เดินหน้าสู่ความเป็นสถาบันทางการเมือง หรือจะเป็นเพียงเรือร้างอัปปางลง กลางคลื่นลมความเปลี่ยนแปลง
หากหัวใจยังไม่หมดแรงฝัน ก็ขอให้รวมพลังกันลุกขึ้นยืน และทำหน้าที่สำคัญที่สุดของเราวันนี้ คือปกป้องชัยชนะของประชาชน
ร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล สนับสนุน พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี เดินหน้าแก้ปัญหาให้ประชาชน แข่งกันทำงานอย่างสร้างสรรค์ รอวันให้ประชาชนตัดสินใจอีกครั้งในสนามเลือกตั้ง
ไม่มีเกมอื่น ไม่มีทางเดินอื่น สองพรรคต้องเดินไปด้วยกัน สิ่งที่ยังเห็นต่าง ให้ไปจบในวงเจรจา ถ้าปล่อยมือกัน เท่ากับปล่อยมือจากประชาชน
ผมไม่ได้มองโลกสวย เพราะโลกที่ผมสู้มามันเจ็บปวด แต่ผมเชื่อว่าโลกแห่งความเป็นจริง ที่คนส่วนใหญ่ต้องการคือแบบนี้
หากจะขัดใจกองเชียร์ไปบ้าง ก็ขอให้เชื่อว่า ผมเป็นคนหนึ่งที่ทุ่มเททำทุกอย่างสุดความสามารถ แต่เมื่อเกิดความผิดพลาดก็ต้องยืดอกรับ ทั้งที่ในใจก็บอบช้ำไม่น้อยไปกว่าทุกท่าน
สำหรับผู้สนับสนุนของ 2 พรรคหลัก ที่ผลักอกกันอยู่ในโลกออนไลน์ จริงอยู่ว่าหลายคนยืนตรงข้ามกันมาแต่ต้น แต่ก็จริงเช่นกันว่าอีกหลายคน เคยกิน นอน ถูกเขาไล่ฆ่ากลางถนน แม้วันนี้จะไม่ใช่คนพรรคเดียวกันแล้ว ก็ขอให้นึกถึงวัน เวลา ที่เรากอดคอต่อสู้มาด้วยกัน
สิ่งใดที่เคยเจ็บ คำใดที่เคยช้ำร่วมกัน จากการถูกเหยียบย่ำโดยฝ่ายตรงข้าม ละวางไว้บ้างเถิด อย่าได้นำมาใช้ต่อกัน พลังฝ่ายเผด็จการที่เงียบอยู่ เขาไม่ได้ยอมแพ้ แต่รอวัน เวลา จังหวะจะไล่ขย้ำ
แล้วจะใครเสียอีกที่เป็นเป้าหมายถูกกระทำ นอกจากเราผู้เป็นเพื่อนร่วมตายที่เคยต่อสู้เคียงข้างกัน”
https://www.facebook.com/Nattawut.UDD/posts/pfbid0xtQWEjy1mXhQmPNSPSYCs2MhqFegPiu3d6Xqs5U8xLi39AzbgJWKsUsvBiazbY6Kl
‘ดีเซล’ จ่อลิตร 37 บ.โยนกองทุนน้ำมันโปะอุ้ม เหตุพิษคลังเลิกช่วยภาษี ธนารักษ์โละขายคอนโด 2.7 พันห้อง
https://www.matichon.co.th/economy/news_4002031
‘ดีเซล’ จ่อลิตร 37 บาท โยนกองทุนน้ำมันโปะอุ้ม เหตุพิษคลังเลิกช่วยภาษี 5 บ. ธนารักษ์โละขายคอนโด 2.7 พันห้อง-ลดหนี้พันล.
เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม นายเกรียงไกร พัฒนาภรณ์ รองอธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต กล่าวว่า มาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซล 5 บาทต่อลิตรจะสิ้นสุดวันที่ 20 กรกฎาคมนี้ หากรัฐบาลและกระทรวงพลังงานต้องการขอขยายมาตรการต่อเนื่องให้ก่อนในวันที่ 21 กรกฎาคมจะต้องเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อเสนอความเห็บชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต่อไปการพิจารณาลดภาษีน้ำมันดีเซลนั้น ถ้ารอรัฐบาลชุดใหม่คงไม่ทันที่จะต่อมาตรการให้ต่อเนื่อง ดังนั้น ต้องให้เสนอที่ ครม. และขอจาก กกต.ได้ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการหารือกันว่าจะขยายต่อมาตรการหรือไม่ คาดว่าสัปดาห์หน้าคงจะมีการหารือในเรื่องดังกล่าว นายเกรียงไกรกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2566 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ประกาศกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 34) พ.ศ.2566 สาระสำคัญคือ ยกเลิกประกาศการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป หมายความว่าจะไม่มีการขยายมาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซลลง 5 บาทต่อลิตรที่จะสิ้นสุดวันที่ 20 กรกฎาคมนี้ ตาม ครม.ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี อนุมัติก่อนยุบสภา ดังนั้น หากไม่มีการขยายมาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซล จะทำให้ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม เป็นต้นไป สรรพสามิตจะจัดเก็บภาษีน้ำมันที่อัตราปกติ
แหล่งข่าวจากสำนักงานกองทุนน้ำเชื้อเพลิง (สกนช.) กล่าวถึงกรณีกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ยกเลิกประกาศการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป หรือไม่มีการขยายมาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซลลง 5 บาทต่อลิตร ที่จะสิ้นสุดวันที่ 20 กรกฎาคมนี้ ว่าเบื้องต้น สกนช.อยู่ระหว่างจัดทำแผนรับมือสถานการณ์ หากท้ายที่สุดกระทรวงการคลังไม่ต่ออายุลดภาษีดีเซล โดยจะใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าอุดหนุนแทนส่วนต่างภาษีที่หายไปในอัตรา 5 บาทต่อลิตร เพราะหากไม่ดำเนินการจะทำราคาดีเซลเพิ่มขึ้นสูงระดับ 37 บาทต่อลิตร จากปัจจุบันอยู่ที่ 31.94 บาทต่อลิตร เพื่อรักษาระดับราคาไม่ให้กระทบประชาชนผู้ใช้น้ำมันและภาคขนส่งที่จะมีผลต่อราคาสินค้าปลายทาง
ขณะที่ นายจำเริญ โพธิยอด อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวว่า กรมเตรียมนำทรัพย์ที่ได้รับจากคดียึดทรัพย์ให้ตกเป็นของแผ่นดินมาบริหารจัดการ หรือขายทอดตลาดออกไป ได้แก่ คอนโดมิเนียม จำนวน 2,700 ห้อง มูลค่ารวมมากกว่า 2,700 พันล้านบาท เพราะบางห้องชุดมีมูลค่ากว่า 20-30 ล้านบาทครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่กรมจะได้รับทรัพย์ที่เป็นคอนโดมิเนียมที่มีจำนวนมากถึง 2.7 พันรายการออกขายทอดตลาด จึงต้องเตรียมวางแนวทาง ในการจำหน่ายออกไปโดยเร็ว เนื่องจากคอนโดมิเนียมจะมีค่าใช้จ่ายที่เรียกว่าค่าส่วนกลางเข้ามาด้วย ค่าใช้จ่ายตรงนี้หากคิดเป็นเม็ดเงินแล้วถือว่าค่อนข้างสูง ค้างจ่ายค่าส่วนกลางมานาน หากไม่รีบจำหน่ายออกไปภาระค่าใช้จ่ายจะเกิดมากขึ้นไปอีก นายจำเริญกล่าวและว่า ในส่วนค่าใช้จ่ายส่วนกลางดังกล่าวเบื้องต้นกรมประเมินว่าจะมีราว 400-1,000 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายส่วนนี้กรมไม่มีความสามารถในการชำระได้ จึงหารือไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่าจะมีแนวทางอย่างไรที่จะช่วยผ่อนปรนภาระดังกล่าวให้กับกรมได้บ้าง