ละครเรื่องหมอหลวงที่ออกอากาศเป็นตอนแรก(Ep.1)ทางช่อง 3 ในวันอังคารที่ผ่านมา ( 21 มี.ค. 2566) มีเรื่องราวที่
ชาวบ้านถูกกลุ่มซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “ พวกจีนตั้วเหี่ย ” ซึ่งเป็นกลุ่มโจรผู้ร้ายมารังควานบุกปล้น
คำว่า “ตั้วเหี่ย” น่าจะหมายถึง –ตั่วเฮีย— ในภาษาจีนแต๊จิ๋วที่แปลว่าพี่ใหญ่(พี่ชายใหญ่) แต่คำ “ตั้วเหี่ย” เป็นการออกเสียง
ตามรูปที่เขียนอันปรากฏในบันทึกพระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 3 ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค)
ซึ่งในที่นี้ ตั้วเหี่ย หมายถึง ผู้นำ หรือหัวหน้ากลุ่ม
เรื่องกลุ่มจีนตั้วเหี่ยเป็นมาอย่างไร
รัชกาลที่ 3 หรือ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ครองราชย์ในช่วงพ.ศ.2367-2394
เรื่องจีนตั้วเหี่ยจากพระราชพงศาวดาร ฯ ของร.3 มีบันทึกไว้หลายครั้ง คือ
(1) ครั้งแรก ในปีพ.ศ.2367 เรื่องจีนตั้วเหี่ยที่บ้านหนองปรือ (ชลบุรี)
ตั้วเหี่ยคือจีนช่วง ยี่เหี่ยคือจีนเภา บ้านบางกะจะ (จ.จันทบุรี)เป็นกลุ่มคนจีนแต๊จิ๋ว(700-800คน) มาก่อการวิวาทกับ
กลุ่มจีนฮกเกี้ยนพวกพระยาสุนทรเศรษฐี ซึ่งจัดงิ้วที่บ้านหนองปรือ (จ.ชลบุรี)
จุดเริ่มจากการวิวาทในงานดูงิ้ว กลายเป็นสงครามขนาดย่อมๆ เพราะต่างฝ่ายต่างมีขุมกำลังและมีขุนนางใหญ่เป็นพรรคพวก
ลองมาดูแผนที่กันว่าบริเวณพื้นที่ที่เกิดเรื่องราวการวิวาทอยู่ที่ไหน

(2) ในปีพ.ศ.2385 เกิดจีนตั้วเหี่ยขึ้นที่เมืองนครชัยศรี(นครปฐม)และสาครบุรี(สมุทรสาคร)
ตามบันทึกที่ปรากฏเรื่องจีนตั้วเหี่ยเป็นครั้งที่สองนี้ มีกลุ่มคนจีน 3 กลุ่ม อันได้แก่ กลุ่มจีนคิม , กลุ่มจีนเอีย
และกลุ่มจีนเปียวซึ่งเป็นขุนวิจิตรภักดี แต่ละกลุ่มมีประมาณ 1,000 คนเศษ ครั้งนี้จีนคิมและจีนเปียวถูกพระราชอาญาจำคุก
แต่จีนเอียหนีไปได้
(3) ในปีพ.ศ.2388 เกิดจีนตั้วเหี่ยที่หัวเมืองตะวันตก
ในครั้งที่สามนี้ กลุ่มจีนไหหลำเป็นตั้วเหี่ย เป็นกลุ่มจีนที่ตั้งตัวเป็นโจรสลัด ปล้นเรือในแถบเมืองปราณ(จ.ประจวบคีรีขันธ์)
จนถึงเมืองหลังสวน(จ.ชุมพร) อันประกอบด้วยจีนชังบุญ บ้านตากแดด เมืองชุมพร จีนก๊กเส็ง บ้านท่าตะเภา(จ.ชุมพร)
สมทบด้วยจีนหน่าย ฮกเกี้ยน (ยี่เหี่ย) จีนเงา แคะ (ซาเหี่ย) และจีนสี หมาเก๊า เป็นตั้วเหี่ยอยู่เมืองนคร(จ.นครศรีธรรมราช)
ชักชวนกลุ่มจีนต่างๆทั้งแต๊จิ๋ว ฮกเกี้ยนมาเข้าพวก ตีเรือลูกค้าและฆ่าคนตายไปหลายลำ
โปรดเกล้าฯให้
จมื่นราชามาตย์ ไปชำระที่เมืองประทิว เมืองชุมพรและเมืองไชยา
จมื่นสมุหพิมาน ไปชำระเมืองบางตะพาน คลองวาน เมืองกำเนิดนพคุณและเมืองท่าทอง
พระยานคร ชำระที่เมืองนคร
การปราบปรามครั้งนี้ทำให้โจรสลัดฝ่ายท้องทะเลตะวันตกสงบลง
(4) ในปีพ.ศ.2390 เกิดจีนตั้วเหี่ยที่เมืองสาครบุรี
ในครั้งที่สี่จุดเริ่มต้นเกิดจากความผูกใจเจ็บของจีนเผียวที่มีต่อพระยามหาเทพ เหตุเพราะจีนเผียวเคยเป็นบ่าว
ของพระยามหาเทพ แต่ออกมาค้าฝิ่นจนมีฐานะร่ำรวย ต่อเมื่อถูกจับไปรีดทรัพย์เพื่อแลกกับการปล่อยตัวอยู่เนืองๆ
จีนเผียวจึงคิดตั้งตนเป็นตั้วเหี่ย การปราบปรามครั้งนี้ไล่ล่ากันจนถึงจ.ราชบุรี จีนเผียวถูกจับได้และถูกส่งตัวมา
ชำระความที่กรุงเทพฯ พระยามหาเทพถูกปืนในระหว่างการปราบปรามหลังจากนั้น 3 วันก็ถึงแก่อนิจกรรม
พรรคพวกจีนตั้วเหี่ยตายในการปราบปรามครั้งนี้ 300 คนเศษ
(5) ในปีพ.ศ.2391 เกิดจีนตั้วเหี่ยที่เมืองฉะเชิงเทรา
จีนเชียงทองและจีนบู๊ คบคิดกันตั้งตนเป็นตั้วเหี่ยที่เมืองฉะเชิงเทรา
ครั้งนี้กลุ่มโจรตั้วเหี่ยสังหารพระยาวิเศษฤาไชยเจ้าเมืองฉะเชิงเทราและยึดเมืองฉะเชิงเทราไว้ได้
โปรดเกล้าฯให้เจ้าพระยาพระคลัง(ดิศ บุนนาค)ปราบปราม
ครั้งที่ 5 นี้เป็นการปราบปรามครั้งใหญ่ มีพวกตั้วเหี่ยตายถึง 3,000 คนเศษ
อ่านเพิ่มเติมได้ที่
ย้อนอดีต จลาจลจีนตั้วเหี่ย เมืองฉะเชิงเทรา สมัยรัชกาลที่ 3 ชาวจีนล้มตายกว่า 3,000
เรียกได้ว่ามีเรื่องราวเกี่ยวกับจีนตั้วเหี่ยตลอดรัชกาล(ที่3)ก็ว่าได้ ต้นเหตุของการนำมาซึ่งการปราบปรามจีนตั้วเหี่ยนั้น
มาจากทั้งการวิวาทระหว่างกลุ่มคนจีนด้วยกัน , การก่อการจลาจลสร้างปัญหา สร้างความวุ่นวาย เหตุเพราะไม่พอใจคนของรัฐ
การทำงานของรัฐ ไปจนถึงการดำรงตนเป็นโจรก่อเหตุฆาตกรรม ชิงปล้นอย่างอุกอาจร้ายแรง
ก่อนจะเกิดกลุ่มตั้วเหี่ย คนจีนเข้ามาทำอะไรในประเทศไทย ในช่วงรัชกาลที่ 3
ดังที่ทราบกันว่าในรัชสมัยของรัชกาลที่ 3 การค้ากับจีนนั้นเจริญรุ่งเรืองต่อเนื่องมาจากครั้งรัชสมัยของรัชกาลที่ 2
ดังนั้นจึงมีกลุ่มคนจีนเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อมาทำการค้า เข้ามาเป็นแรงงาน ก่อร่างสร้างตัวอยู่ในหลายกิจการ
ทั้งกิจการของตัวเอง จวบจนดูแลกิจการของรัฐในฐานะ “ข้าราชการ” แต่มีกิจการหนึ่งที่รุ่งเรืองขยายตัวอย่างพุ่งพรวดแบบขีดสุด
นั่นคืออุตสาหกรรมการทำน้ำตาล
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) มีปรากฏหลักฐานในปีพ.ศ.2353 เรื่องการปลูกอ้อย
เพื่อทำน้ำตาลส่งออกว่า ได้กว่า 6,000 หาบ ต่อมาในปีพ.ศ.2387 ซึ่งอยู่ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 3 ปริมาณการส่งออกน้ำตาล
กลายเป็น 110,000 หาบ
แหล่งผลิตน้ำตาลได้แก่บริเวณลุ่มน้ำแม่กลอง ลุ่มแม่น้ำท่าจีน ในแถบนครชัยศรีและสมุทรสาคร รวมถึงลุ่มแม่น้ำบางปะกง
ในจังหวัดฉะเชิงเทรา
ทำให้ในพื้นที่บริเวณนี้เต็มไปด้วยกลุ่มแรงงานจีนและกลุ่มพ่อค้า คหบดี เจ้าของโรงหีบอ้อย โรงงานน้ำตาลชาวจีน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ตัวแทนเจ้าของกิจการ ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลโรงงานหรือคลังสินค้า อาจสามารถมีสิทธิ์เจรจาต่อรองในการซื้อ-ขายได้
ถ้าได้รับมอบหมาย เรียกว่า “หลงจู๊”
ถ้าอ่านเพิ่มเติมเรื่องจีนตั้วเหี่ย อาจพบกับชื่อ หลงจู๊ เช่น หลงจู๊ชี หลงจู๊อะ เป็นต้น
ดังนั้นคำว่าจีนตั้วเหี่ยที่เราได้ยินในละครหมอหลวง จัดเป็นกลุ่มคนจีนที่สร้างปัญหากับสังคมในช่วงรัชสมัยรัชกาลที่ 3 ที่มีเรื่องราวอยู่จริงที่ละครนำมาอ้างอิงเป็นส่วนหนึ่งของละคร
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ซึ่งในรัชสมัยต่อมา(รัชกาลที่4)ก็ยังคงมีเรื่องราวของกลุ่มจีนตั้วเหี่ยให้ต้องปราบปรามอยู่อีก ครั้นมาในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 จึงเรียกเป็น กลุ่มอั้งยี่
ละครหมอหลวง เรื่องจีนตั้วเหี่ย
ชาวบ้านถูกกลุ่มซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “ พวกจีนตั้วเหี่ย ” ซึ่งเป็นกลุ่มโจรผู้ร้ายมารังควานบุกปล้น
คำว่า “ตั้วเหี่ย” น่าจะหมายถึง –ตั่วเฮีย— ในภาษาจีนแต๊จิ๋วที่แปลว่าพี่ใหญ่(พี่ชายใหญ่) แต่คำ “ตั้วเหี่ย” เป็นการออกเสียง
ตามรูปที่เขียนอันปรากฏในบันทึกพระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 3 ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค)
ซึ่งในที่นี้ ตั้วเหี่ย หมายถึง ผู้นำ หรือหัวหน้ากลุ่ม
เรื่องกลุ่มจีนตั้วเหี่ยเป็นมาอย่างไร
รัชกาลที่ 3 หรือ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ครองราชย์ในช่วงพ.ศ.2367-2394
เรื่องจีนตั้วเหี่ยจากพระราชพงศาวดาร ฯ ของร.3 มีบันทึกไว้หลายครั้ง คือ
(1) ครั้งแรก ในปีพ.ศ.2367 เรื่องจีนตั้วเหี่ยที่บ้านหนองปรือ (ชลบุรี)
ตั้วเหี่ยคือจีนช่วง ยี่เหี่ยคือจีนเภา บ้านบางกะจะ (จ.จันทบุรี)เป็นกลุ่มคนจีนแต๊จิ๋ว(700-800คน) มาก่อการวิวาทกับ
กลุ่มจีนฮกเกี้ยนพวกพระยาสุนทรเศรษฐี ซึ่งจัดงิ้วที่บ้านหนองปรือ (จ.ชลบุรี)
จุดเริ่มจากการวิวาทในงานดูงิ้ว กลายเป็นสงครามขนาดย่อมๆ เพราะต่างฝ่ายต่างมีขุมกำลังและมีขุนนางใหญ่เป็นพรรคพวก
ลองมาดูแผนที่กันว่าบริเวณพื้นที่ที่เกิดเรื่องราวการวิวาทอยู่ที่ไหน
(2) ในปีพ.ศ.2385 เกิดจีนตั้วเหี่ยขึ้นที่เมืองนครชัยศรี(นครปฐม)และสาครบุรี(สมุทรสาคร)
ตามบันทึกที่ปรากฏเรื่องจีนตั้วเหี่ยเป็นครั้งที่สองนี้ มีกลุ่มคนจีน 3 กลุ่ม อันได้แก่ กลุ่มจีนคิม , กลุ่มจีนเอีย
และกลุ่มจีนเปียวซึ่งเป็นขุนวิจิตรภักดี แต่ละกลุ่มมีประมาณ 1,000 คนเศษ ครั้งนี้จีนคิมและจีนเปียวถูกพระราชอาญาจำคุก
แต่จีนเอียหนีไปได้
(3) ในปีพ.ศ.2388 เกิดจีนตั้วเหี่ยที่หัวเมืองตะวันตก
ในครั้งที่สามนี้ กลุ่มจีนไหหลำเป็นตั้วเหี่ย เป็นกลุ่มจีนที่ตั้งตัวเป็นโจรสลัด ปล้นเรือในแถบเมืองปราณ(จ.ประจวบคีรีขันธ์)
จนถึงเมืองหลังสวน(จ.ชุมพร) อันประกอบด้วยจีนชังบุญ บ้านตากแดด เมืองชุมพร จีนก๊กเส็ง บ้านท่าตะเภา(จ.ชุมพร)
สมทบด้วยจีนหน่าย ฮกเกี้ยน (ยี่เหี่ย) จีนเงา แคะ (ซาเหี่ย) และจีนสี หมาเก๊า เป็นตั้วเหี่ยอยู่เมืองนคร(จ.นครศรีธรรมราช)
ชักชวนกลุ่มจีนต่างๆทั้งแต๊จิ๋ว ฮกเกี้ยนมาเข้าพวก ตีเรือลูกค้าและฆ่าคนตายไปหลายลำ
โปรดเกล้าฯให้
จมื่นราชามาตย์ ไปชำระที่เมืองประทิว เมืองชุมพรและเมืองไชยา
จมื่นสมุหพิมาน ไปชำระเมืองบางตะพาน คลองวาน เมืองกำเนิดนพคุณและเมืองท่าทอง
พระยานคร ชำระที่เมืองนคร
การปราบปรามครั้งนี้ทำให้โจรสลัดฝ่ายท้องทะเลตะวันตกสงบลง
(4) ในปีพ.ศ.2390 เกิดจีนตั้วเหี่ยที่เมืองสาครบุรี
ในครั้งที่สี่จุดเริ่มต้นเกิดจากความผูกใจเจ็บของจีนเผียวที่มีต่อพระยามหาเทพ เหตุเพราะจีนเผียวเคยเป็นบ่าว
ของพระยามหาเทพ แต่ออกมาค้าฝิ่นจนมีฐานะร่ำรวย ต่อเมื่อถูกจับไปรีดทรัพย์เพื่อแลกกับการปล่อยตัวอยู่เนืองๆ
จีนเผียวจึงคิดตั้งตนเป็นตั้วเหี่ย การปราบปรามครั้งนี้ไล่ล่ากันจนถึงจ.ราชบุรี จีนเผียวถูกจับได้และถูกส่งตัวมา
ชำระความที่กรุงเทพฯ พระยามหาเทพถูกปืนในระหว่างการปราบปรามหลังจากนั้น 3 วันก็ถึงแก่อนิจกรรม
พรรคพวกจีนตั้วเหี่ยตายในการปราบปรามครั้งนี้ 300 คนเศษ
(5) ในปีพ.ศ.2391 เกิดจีนตั้วเหี่ยที่เมืองฉะเชิงเทรา
จีนเชียงทองและจีนบู๊ คบคิดกันตั้งตนเป็นตั้วเหี่ยที่เมืองฉะเชิงเทรา
ครั้งนี้กลุ่มโจรตั้วเหี่ยสังหารพระยาวิเศษฤาไชยเจ้าเมืองฉะเชิงเทราและยึดเมืองฉะเชิงเทราไว้ได้
โปรดเกล้าฯให้เจ้าพระยาพระคลัง(ดิศ บุนนาค)ปราบปราม
ครั้งที่ 5 นี้เป็นการปราบปรามครั้งใหญ่ มีพวกตั้วเหี่ยตายถึง 3,000 คนเศษ
อ่านเพิ่มเติมได้ที่
ย้อนอดีต จลาจลจีนตั้วเหี่ย เมืองฉะเชิงเทรา สมัยรัชกาลที่ 3 ชาวจีนล้มตายกว่า 3,000
เรียกได้ว่ามีเรื่องราวเกี่ยวกับจีนตั้วเหี่ยตลอดรัชกาล(ที่3)ก็ว่าได้ ต้นเหตุของการนำมาซึ่งการปราบปรามจีนตั้วเหี่ยนั้น
มาจากทั้งการวิวาทระหว่างกลุ่มคนจีนด้วยกัน , การก่อการจลาจลสร้างปัญหา สร้างความวุ่นวาย เหตุเพราะไม่พอใจคนของรัฐ
การทำงานของรัฐ ไปจนถึงการดำรงตนเป็นโจรก่อเหตุฆาตกรรม ชิงปล้นอย่างอุกอาจร้ายแรง
ก่อนจะเกิดกลุ่มตั้วเหี่ย คนจีนเข้ามาทำอะไรในประเทศไทย ในช่วงรัชกาลที่ 3
ดังที่ทราบกันว่าในรัชสมัยของรัชกาลที่ 3 การค้ากับจีนนั้นเจริญรุ่งเรืองต่อเนื่องมาจากครั้งรัชสมัยของรัชกาลที่ 2
ดังนั้นจึงมีกลุ่มคนจีนเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อมาทำการค้า เข้ามาเป็นแรงงาน ก่อร่างสร้างตัวอยู่ในหลายกิจการ
ทั้งกิจการของตัวเอง จวบจนดูแลกิจการของรัฐในฐานะ “ข้าราชการ” แต่มีกิจการหนึ่งที่รุ่งเรืองขยายตัวอย่างพุ่งพรวดแบบขีดสุด
นั่นคืออุตสาหกรรมการทำน้ำตาล
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) มีปรากฏหลักฐานในปีพ.ศ.2353 เรื่องการปลูกอ้อย
เพื่อทำน้ำตาลส่งออกว่า ได้กว่า 6,000 หาบ ต่อมาในปีพ.ศ.2387 ซึ่งอยู่ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 3 ปริมาณการส่งออกน้ำตาล
กลายเป็น 110,000 หาบ
แหล่งผลิตน้ำตาลได้แก่บริเวณลุ่มน้ำแม่กลอง ลุ่มแม่น้ำท่าจีน ในแถบนครชัยศรีและสมุทรสาคร รวมถึงลุ่มแม่น้ำบางปะกง
ในจังหวัดฉะเชิงเทรา
ทำให้ในพื้นที่บริเวณนี้เต็มไปด้วยกลุ่มแรงงานจีนและกลุ่มพ่อค้า คหบดี เจ้าของโรงหีบอ้อย โรงงานน้ำตาลชาวจีน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ดังนั้นคำว่าจีนตั้วเหี่ยที่เราได้ยินในละครหมอหลวง จัดเป็นกลุ่มคนจีนที่สร้างปัญหากับสังคมในช่วงรัชสมัยรัชกาลที่ 3 ที่มีเรื่องราวอยู่จริงที่ละครนำมาอ้างอิงเป็นส่วนหนึ่งของละคร
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้