ตอนที่2. กุญแจดอกแรก
หลังจากที่สองสาวซึ่งไม่รู้ว่าที่เข้ามานั้นตั้งใจจะมาเป็นลูกค้าหรือไม่ และจากการพิจารณาเจ้าของร้านโดยถ้วนถี่ของเจียว ๆ จากศีรษะจดปลายเท้าแล้วไล่ย้อนขึ้นไปอีกที เธอค่อย ๆ ฉากตัวหลบหลังเพื่อน สะกิดแขนยิก ๆ กระซิบแผ่วเบา
“ย่าหยา ฉันว่าเราไปกันเถอะ ตาลุงคนนี้เขาดูแปลก ๆ ร้านก็แปลก ดูเสื้อผ้าหน้าผมสิ นี่มันทศวรรษ 2020 นะไม่ใช่ยุคราชวงศ์ฮั่น ไปเถอะก่อนจะมีซูสีไทเฮาออกมาร่วมวงด้วยอีกคน มองแวบเดียวก็รู้ว่าไม่บ้านิยายก็หนังเก่าสมัยพระเจ้าจิ๋นซีฯแน่ ๆ”
ทั้งที่กระซิบแผ่วแสนแผ่วจนแทบจะเป็นแค่ลมไม่มีเสียง แต่เจ้าของร้านที่แปลกแสนแปลกซ้ำยังยืนห่างหลายช่วงตัวกลับได้ยิน เขาเหลือบตามองเจียวเจียวผ่านกรอบแว่นยิ้มมุมปากน้อย ๆ ก่อนเดินเอามือไขว้หลังเลียบไปตามตู้กระจกที่มีแต่ของเก่าของโบราณ กระทั่งไปถึงมุมตู้
ด้านบนมีโต๊ะไม้เคลือบเงาวางเตาเครื่องหอมขนาดสองมือโอบแบบโบราณ ทั้งลักษณะและสีทองเหลืองหม่น ๆ บ่งบอกถึงอายุของมันได้แม้จะไม่ถึงกับชี้ชัด แต่ก็รู้เลยว่าเก่า จัดการเปิดฝาครอบ ตักผงเครื่องหอมจากภาชนะอีกใบที่วางอยู่ข้างกันใส่ลงไป บรรจงใช้ช้อนเกลี่ยให้เรียบเสมอกัน ทุกการกระทำนั้นแสนจะพิถีพิถัน มันเกิดขึ้นพร้อมกับเจ้าของร้านเริ่มพรรณนาบทกวีอีกครั้ง
“โบราณว่าปัญญาชนมักหลีกหนีคนหมู่มาก บ้างแอบแฝงเร้นกายตามเขาใหญ่ป่าลึก ปลูกกระท่อมข้างธารน้ำใส แต่งกลอนพร่ำกวีทุกวี่วัน คร่ำเคร่งกับตำรามิเหินห่าง ปรารถนาเพียงความเงียบ ยิ่งสงบยิ่งเกิดปัญญา...ยิ่งมีปัญญายิ่งมากความรู้...ยิ่งมากความรู้ สิ่งใดก็ทำได้ทั้งนั้น”
เพียงเขาแตะปลายนิ้วชี้ลงที่ขอบเตาเครื่องหอม ปรากฏประกายไฟพรึ่บเบา ๆ พร้อมควันและกลิ่มหอมเอียน ๆ ลอยคลุ้ง
“ห๊ะ! อะ...อ้า...! เขาเป็นนักมายากล!” เจียวเจียวตะโกนลั่นเมื่อเห็นว่าเจ้าของร้านผู้ทำตัวประหลาดทำสิ่งที่น่าอัศจรรย์ได้ราวกับเล่นกล เธอผงะถอยหลังกรูดจนชนเข้ากับชั้นวางของเพราะความตกใจ
ทว่าย่าหยากลับไม่ขยับไปไหนเลยสักก้าว ไม่ใช่ว่าตกใจจนขาแข็ง เพียงแต่เธอไม่รู้สึกถึงความกลัวเลยแม้แต่น้อย และเธอยังมองเห็นอย่างอื่นด้านหลังเจ้าของร้านอีกด้วย มันถูกปกปิดไว้ด้วยผ้าแพรสีแดงสด แม้จะเห็นได้ลาง ๆ แต่อะไรบางอย่างกลับชี้นำให้รู้สึกคุ้นเคย
“โอ้! สมแล้ว ๆ ครานั้นเป็นเช่นไร ครานี้ก็ยังไม่เปลี่ยน ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญเยี่ยงบุรุษพึงมีที่แม้แต่บุรุษแท้ ๆ ยังเกรง สตรีทั่วหล้าต่างอิจฉา ไม่เคยหายไปไหนเลยจริง ๆ สมแล้ว...สมแล้ว นับถือ...นับถือ”
“นี่ลุง!” พอตั้งสติได้เจียวเจียวก็ก้าวพรวดกลับมายืนที่เดิม คล้องแขนเพื่อนสาวที่เอาแต่ยืนนิ่งกอดไว้แน่น “สติยังดีอยู่รึเปล่า? พูดอะไรไม่เห็นจะรู้เรื่อง เดี๋ยวใช้ภาษาปัจจุบัน เดี๋ยววกกลับไปใช้คำพูดแบบโบราณ ถามจริง ลุง...เพี้ยนใช่ป่ะ?”
เงียบ...ไม่มีคำตอบใด ๆ จากเจ้าของร้าน สายตาที่จ้องผ่านเลนส์แว่นทรงกลมสีน้ำตาลแก่ จ้องย่าหยาเขม็ง
“นี่ ย่าหยาเราไปกันเถอะ” เจียวเจียว กึ่งอ้อนวอนกึ่งออกคำสั่งพลางล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา “ถ้าช้ากว่านี้อีกครึ่งชั่วโมง มีหวังที่นั่งเต็มแน่ ร้านบะหมี่นั่นดังจะตาย”
“เธอไปรอฉันก่อนเลย พอดีฉันอยากดูของที่นี่สักหน่อย” คำตอบของย่าหยาทำเอาหัวคิ้วเจียวเจียวผูกกัน ไม่เข้าใจในสิ่งที่เพื่อนสาวบอก
“ดู? ดูอะไรที่นี่มีแต่ของเก่า ทำยังกะคนแก่ชอบสะสมของโบราณไปได้!”
ถึงจะพูดแบบนั้นแต่เจียวเจียวก็ยอมออกไปแต่โดยดี เธอรู้จักนิสัยเพื่อนคนนี้ทุกอย่าง ลงว่าอยากอยู่ต่อให้เอาอะไรมาฉุดก็ไม่ไป และถ้าบอกว่าไม่ ใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจย่าหยาได้
“งั้นฉันไปจองโต๊ะไว้รอก็แล้วกัน รีบไปล่ะ” ว่าแล้วเจียวเจียวก็ออกจากร้านไป เวลานี้มีเพียงความเงียบ กลิ่นหอมเอียน ๆ ควันจากเครื่องหอมที่ถูกเผาไหม้ช้า ๆ ลอยเอื่อย ย่าหยาและเจ้าของร้านเท่านั้น
(มีต่อ)
ลำนำรักกระเรียนพันปี ตอนที่2.
หลังจากที่สองสาวซึ่งไม่รู้ว่าที่เข้ามานั้นตั้งใจจะมาเป็นลูกค้าหรือไม่ และจากการพิจารณาเจ้าของร้านโดยถ้วนถี่ของเจียว ๆ จากศีรษะจดปลายเท้าแล้วไล่ย้อนขึ้นไปอีกที เธอค่อย ๆ ฉากตัวหลบหลังเพื่อน สะกิดแขนยิก ๆ กระซิบแผ่วเบา
“ย่าหยา ฉันว่าเราไปกันเถอะ ตาลุงคนนี้เขาดูแปลก ๆ ร้านก็แปลก ดูเสื้อผ้าหน้าผมสิ นี่มันทศวรรษ 2020 นะไม่ใช่ยุคราชวงศ์ฮั่น ไปเถอะก่อนจะมีซูสีไทเฮาออกมาร่วมวงด้วยอีกคน มองแวบเดียวก็รู้ว่าไม่บ้านิยายก็หนังเก่าสมัยพระเจ้าจิ๋นซีฯแน่ ๆ”
ทั้งที่กระซิบแผ่วแสนแผ่วจนแทบจะเป็นแค่ลมไม่มีเสียง แต่เจ้าของร้านที่แปลกแสนแปลกซ้ำยังยืนห่างหลายช่วงตัวกลับได้ยิน เขาเหลือบตามองเจียวเจียวผ่านกรอบแว่นยิ้มมุมปากน้อย ๆ ก่อนเดินเอามือไขว้หลังเลียบไปตามตู้กระจกที่มีแต่ของเก่าของโบราณ กระทั่งไปถึงมุมตู้
ด้านบนมีโต๊ะไม้เคลือบเงาวางเตาเครื่องหอมขนาดสองมือโอบแบบโบราณ ทั้งลักษณะและสีทองเหลืองหม่น ๆ บ่งบอกถึงอายุของมันได้แม้จะไม่ถึงกับชี้ชัด แต่ก็รู้เลยว่าเก่า จัดการเปิดฝาครอบ ตักผงเครื่องหอมจากภาชนะอีกใบที่วางอยู่ข้างกันใส่ลงไป บรรจงใช้ช้อนเกลี่ยให้เรียบเสมอกัน ทุกการกระทำนั้นแสนจะพิถีพิถัน มันเกิดขึ้นพร้อมกับเจ้าของร้านเริ่มพรรณนาบทกวีอีกครั้ง
“โบราณว่าปัญญาชนมักหลีกหนีคนหมู่มาก บ้างแอบแฝงเร้นกายตามเขาใหญ่ป่าลึก ปลูกกระท่อมข้างธารน้ำใส แต่งกลอนพร่ำกวีทุกวี่วัน คร่ำเคร่งกับตำรามิเหินห่าง ปรารถนาเพียงความเงียบ ยิ่งสงบยิ่งเกิดปัญญา...ยิ่งมีปัญญายิ่งมากความรู้...ยิ่งมากความรู้ สิ่งใดก็ทำได้ทั้งนั้น”
เพียงเขาแตะปลายนิ้วชี้ลงที่ขอบเตาเครื่องหอม ปรากฏประกายไฟพรึ่บเบา ๆ พร้อมควันและกลิ่มหอมเอียน ๆ ลอยคลุ้ง
“ห๊ะ! อะ...อ้า...! เขาเป็นนักมายากล!” เจียวเจียวตะโกนลั่นเมื่อเห็นว่าเจ้าของร้านผู้ทำตัวประหลาดทำสิ่งที่น่าอัศจรรย์ได้ราวกับเล่นกล เธอผงะถอยหลังกรูดจนชนเข้ากับชั้นวางของเพราะความตกใจ
ทว่าย่าหยากลับไม่ขยับไปไหนเลยสักก้าว ไม่ใช่ว่าตกใจจนขาแข็ง เพียงแต่เธอไม่รู้สึกถึงความกลัวเลยแม้แต่น้อย และเธอยังมองเห็นอย่างอื่นด้านหลังเจ้าของร้านอีกด้วย มันถูกปกปิดไว้ด้วยผ้าแพรสีแดงสด แม้จะเห็นได้ลาง ๆ แต่อะไรบางอย่างกลับชี้นำให้รู้สึกคุ้นเคย
“โอ้! สมแล้ว ๆ ครานั้นเป็นเช่นไร ครานี้ก็ยังไม่เปลี่ยน ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญเยี่ยงบุรุษพึงมีที่แม้แต่บุรุษแท้ ๆ ยังเกรง สตรีทั่วหล้าต่างอิจฉา ไม่เคยหายไปไหนเลยจริง ๆ สมแล้ว...สมแล้ว นับถือ...นับถือ”
“นี่ลุง!” พอตั้งสติได้เจียวเจียวก็ก้าวพรวดกลับมายืนที่เดิม คล้องแขนเพื่อนสาวที่เอาแต่ยืนนิ่งกอดไว้แน่น “สติยังดีอยู่รึเปล่า? พูดอะไรไม่เห็นจะรู้เรื่อง เดี๋ยวใช้ภาษาปัจจุบัน เดี๋ยววกกลับไปใช้คำพูดแบบโบราณ ถามจริง ลุง...เพี้ยนใช่ป่ะ?”
เงียบ...ไม่มีคำตอบใด ๆ จากเจ้าของร้าน สายตาที่จ้องผ่านเลนส์แว่นทรงกลมสีน้ำตาลแก่ จ้องย่าหยาเขม็ง
“นี่ ย่าหยาเราไปกันเถอะ” เจียวเจียว กึ่งอ้อนวอนกึ่งออกคำสั่งพลางล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา “ถ้าช้ากว่านี้อีกครึ่งชั่วโมง มีหวังที่นั่งเต็มแน่ ร้านบะหมี่นั่นดังจะตาย”
“เธอไปรอฉันก่อนเลย พอดีฉันอยากดูของที่นี่สักหน่อย” คำตอบของย่าหยาทำเอาหัวคิ้วเจียวเจียวผูกกัน ไม่เข้าใจในสิ่งที่เพื่อนสาวบอก
“ดู? ดูอะไรที่นี่มีแต่ของเก่า ทำยังกะคนแก่ชอบสะสมของโบราณไปได้!”
ถึงจะพูดแบบนั้นแต่เจียวเจียวก็ยอมออกไปแต่โดยดี เธอรู้จักนิสัยเพื่อนคนนี้ทุกอย่าง ลงว่าอยากอยู่ต่อให้เอาอะไรมาฉุดก็ไม่ไป และถ้าบอกว่าไม่ ใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจย่าหยาได้
“งั้นฉันไปจองโต๊ะไว้รอก็แล้วกัน รีบไปล่ะ” ว่าแล้วเจียวเจียวก็ออกจากร้านไป เวลานี้มีเพียงความเงียบ กลิ่นหอมเอียน ๆ ควันจากเครื่องหอมที่ถูกเผาไหม้ช้า ๆ ลอยเอื่อย ย่าหยาและเจ้าของร้านเท่านั้น
(มีต่อ)