เมื่อวาน นายสุพจน์ ไข่มุก รองประธานกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ 2560
วันนี้ นายชาติชาย ณ เชียงใหม่ กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ 2560
ให้สัมภาษณ์สื่อ รายการ
เจาะลึกทั่วไทย inside thailand หมาแก่ แมวสาว
ในท่วงทำนองเดียวกันเด๊ะ ๆ โดยมีประเด็นหลักสี่ประเด็น ที่ผิดข้อเท็จจริงอย่างยิ่ง
บ้านเมืองถึงวุ่นไม่เลิกไงครับ เพราะการใช้ข้อเท็จ บิดเบือนความจริง ตอบสนองทางการเมือง

.
จากคลิป นาทีที่ 7 เป็นต้นไป
.
จากบทสัมภาษณ์ ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ 2560 อ้าง 4 ประเด็น ที่ผิดจากข้อเท็จจริง คือ
1. อ้างว่า ตอนร่างรัฐธรรมนูญนั้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครจะมาเป็นนายกฯคนต่อไป
ข้อเท็จจริง คือ รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 107 กำหนดที่มา ส.ว. 250 คน
ชัดยิ่งกว่าชัด ว่ามาเพื่ออะไร ใครสรรหา ใครคัดเลือก ใครแต่งตั้ง
และการทำประชามติในปี 2559 ก็ยังมีการ "ยัด" คำถามพ่วง ว่าให้ ส.ว. เลือกนายกฯได้
อย่างนี้ กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญอย่างนายสุพจน์ อย่างนายชาติชาย พูดได้ไงว่าไม่รู้ใครจะมาเป็นนายกฯในตอนนั้น
มันชัดว่า "นอนมา" ตั้งแต่รัฐธรรมนูญยังไม่ประกาศใช้ด้วยซ้ำไป
.
2. อ้างว่า ต้องดูที่มาของนายกฯ อย่ายึดแค่เรื่องไม่เกิน 8 ปีในมาตรา 158 ต้องดูที่มาในมาตรา 159 ด้วย
เมื่อประยุทธ์มาตาม รธน.60 มาตรา 159 ย่อมเริ่มนับวาระตั้งแต่การได้รับการโปรดเกล้าฯเข้ารับตำแหน่ง
ข้อเท็จจริง คือ จะมีที่อย่างไร เหาะเหินเดินอากาศมาก็ตาม
แต่บทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญ 60 มาตรา 264 บัญญัติไว้ว่า
ให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้เป็นคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้...
เมื่อบทเฉพาะกาลกำหนดให้มีสถานะเป็นรัฐบาลเหมือนมาจากรัฐธรรมนูญ 2560
นั่นย่อมส่งผลให้คุณสมบัติทุกอย่างเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ 2560 คือ นายกฯดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน 8 ปี
อย่างนี้ คนร่างรัฐธรรมนูญอย่างนายชาติชาย นายสุพจน์ ไม่รู้ได้ไง ?
.
3. อ้างว่า ผลของการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 ก็เหมือนหลักกฎหมายอาญาทั่วไป
ที่มีผลย้อนหลังเฉพาะเรื่องที่เป็นคุณ เรื่องที่เป็นผลร้ายไม่มีผลย้อนหลัง
ข้อเท็จจริง ไม่ต้องดูอื่นไกล ดูกรณีนายสิระ เจนจาคะ เป็นตัวอย่าง
โดนจำคุกตั้งแต่ปี 2538 แต่ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ 2560 ถ้าไม่มีผลย้อนหลัง แล้วโดนได้ไง
อย่างนี้ นายชาติชาย นายสุพจน์ ไม่รู้ได้ไง ?
.
4. อ้างว่า บันทึกการประชุมเมื่อ 7 ก.ย. 2561
ที่บันทึกความเห็นของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมาธิการ และของนายสุพจน์ ไข่มุกด์ รองประธานคนที่ 1
ลงความเห็นไว้ว่า ควรนับวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯรวมถึงการดำรงตำแหน่งก่อนรัฐธรรมนูญ 2560 ประกาศใช้
ว่าไม่ใช่มติของที่ประชุม เป็นแค่ความเห็น ยึดถือเป็นหลักไม่ได้
ข้อเท็จจริง คือ เจตนารมณ์ของกฎหมายใด ๆ นั้น ย่อมยึดถือจากความเห็นของผู้ร่าง ว่าผู้ร่างต้องการให้กฎหมายมีผลอย่างไร
ไม่จำเป็นต้องมีมติ เพราะไม่ใช่เรื่องที่ต้องมีมติ หรือลงมติ เมื่อผู้ร่างแสดงเจตจำนงไว้อย่างไร นั่นแหละคือเจตนารมณ์ของกฎหมาย
(หากจะอ้างเรื่อง "มติ" ของการประชุมในวันนั้น ก็สามารถือเป็น "มติ" ได้ เพราะไม่มีคำคัดค้าน นั่นหมายถึงเห็นด้วยทุกคนที่ร่วมประชุม)
เมื่อเจตนารมณ์ของกฎหมายชัดเจน แล้วจะมาอ้างว่า ยึดถือเป็นหลักไม่ได้ ก็คือการบิดเบือนที่ร้ายกาจสุด ๆ
.
ไม่มีทางออกหรอกครับ ต้องยอมรับความจริง เคารพตัวบทรัฐธรรมนูญ
อย่าทำให้หลักนิติรัฐของบ้านเมืองเสียหายยับเยินไปมากกว่านี้เลย
จะอ้างเรื่องที่มาเพื่อเลี่ยงผลของการดำรงตำแหน่งมาตั้งแต่ปี 2557
ก็มีบทเฉพาะกาล มาตรา 264 บังคับอยู่
จะอ้างเรื่องผลร้ายไม่ย้อนหลัง ก็มีคนอื่น ๆ ที่โดนไปแล้วหลายคน ผลร้ายย้อนหลังทั้งนั้น
จะอ้างเรื่องความเห็นไม่ใช่เจตนารมณ์ ยิ่งดูตลก เพราะความเห็นของผู้ร่างนั่นแหละคือเจตนารมณ์ของกฎหมาย
.
อย่าดันทุรังเลยครับ
ก็อ้างเองนี่ ว่าการกำหนดวาระ 8 ปีนั้น เพื่อป้องกันการผูกขาดอำนาจอันนำไปสู่วิกฤตในบ้านเมือง
แล้วจะมาดันทุรังเอออวยให้เกิน 8 ปีให้เกิดวิกฤตซะเองทำไม
ร่างมาเองกับมือแท้ ๆ จะมาลบด้วยเท้าอย่างนั้นหรือ
เสียคนครับ
ชักจะน่าเกลียดน่าสะอิดสะเอียนเกินไปแล้วครับ
เมื่อวาน นายสุพจน์ ไข่มุก รองประธานกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ 2560
วันนี้ นายชาติชาย ณ เชียงใหม่ กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ 2560
ให้สัมภาษณ์สื่อ รายการ เจาะลึกทั่วไทย inside thailand หมาแก่ แมวสาว
ในท่วงทำนองเดียวกันเด๊ะ ๆ โดยมีประเด็นหลักสี่ประเด็น ที่ผิดข้อเท็จจริงอย่างยิ่ง
บ้านเมืองถึงวุ่นไม่เลิกไงครับ เพราะการใช้ข้อเท็จ บิดเบือนความจริง ตอบสนองทางการเมือง