กระทู้นี้คงต้องแท็กผู้สูงวัยแหละ ... ฮ่า ฮ่า
วัยได้ อะไรได้แล้วจริง ๆ
วันนี้ จะมาขอรีวิวชีวิตแต่งงานอายุ 20 up ของตัวเอง และของคนรอบข้างที่เห็นและเป็นอยู่กันให้ฟังพอสนุก ๆ ถือว่าแลกเปลี่ยนมุมมองกับน้อง ๆ หลาน ๆ เพื่อน ๆ พี่ป้าน้าอาด้วยก็แล้วกันค่ะ
ถ้าอันไหน มันจะฟังดู เชย ๆ ฟังดู “เฮ้ยยยย ... จริงเหรอ ?” หรือ “เฮ้ยยยยย...ไม่ใช่อ่ะ”

ฟังดู judgy หรือฟังดูแล้วไม่เห็นจะโรแมนติคอะไรเล้ย... ไปบ้าง
ก็คิดซะว่า เสียเวลาไปสัก 20 นาทีก็แล้วกัน (ฮา)
เจ้าของกระทู้แต่งงานตอนอายุ 27 ค่ะ เทียบกับมาตรฐานสมัยนี้คงถือว่าเร็ว
คบกับสามีมาประมาณปีสองปีก็แต่งแล้วค่ะ
จะบอกว่าเร็วที่สุดในรุ่นก็ไม่ใช่ มีเพื่อนร่วมรุ่นแต่งก่อนหน้าไปเล็กน้อย เพราะว่าท้อง (อันนี้ เพื่อนบอกเอง ตอนเธอน้ำตาไหลพรากเล่าเรื่องความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับสามีว่า “ถ้าไม่ท้อง ก็ไม่แต่งหรอก”)
พอตอนเราแต่งบ้าง ก็มีเพื่อนบางคนแอบนับนิ้ว
นี่หัวเราะก๊ากเลยบอกว่า “ไม่ต้องนับจ้ะ...ชั้นไม่ได้ท้อง”
การอยู่กับใครสักคนมา 20 กว่าปีสำหรับตัวเองแล้วถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ เพราะนี่เป็นคนที่ดูเหมือนง่าย ๆ สบาย ๆ แต่จริง ๆ แล้วก็แอบเยอะ เรื่องมาก ขี้เบื่อ เอาแต่ใจอยู่พอสมควร
ตั้งแต่เด็กจนโตมา ... หมอดูกี่คน กี่คน ก็บอกว่า ต้องแต่งงานตอนอายุมาก ๆ เอาสักสี่สิบขึ้นไปนะ ไม่งั้น ต้องเลิกกันไปแน่ ๆ ทั้งดวงและโหงวเฮ้ง น่าจะไม่ถูกสเป็คเป็นหญิงในดวงใจหรือเป็นศรีสะใภ้ของตระกูลไหนเลย เกิดวันเสาร์ ปีเสือ ตอนกลางคืน โหนกแก้มสูงค่ะ ครบสูตรของคนที่จะถูกมองว่า “ร้าย”
ตอนเด็ก ๆ ป่าป๊าเคยว่าดิฉันตอนโกรธว่า “อย่างเธอนี่ ถ้าแต่งไปเข้าบ้านใคร ก็เห็นทีว่าแม่สามีจะต้องตะเพิดออกจากบ้านไปอย่างไวเลยแน่ ๆ”
ดิฉันได้แต่หัวเราะ ขำขร่ะ คำด่าน่าเอ็นดูมาก ทำไมต้องเอาชีวิตไปผูกกับสามีและจะต้องไปกลัวเค้าไล่ออกจากบ้านกันขนาดนั้น
ส่วนพี่สาวดิฉันเวลาทำอะไรให้ป่าป๊าไม่พอใจ หัวแข็งเกินไป ก็โดนว่าด้วยคำพูดทำนองนี้เหมือนกัน
ที่บ้านนี่ผู้ชายเป็นใหญ่มาก แบบได้กินข้าวก่อน ไม่ต้องล้างจาน ไม่ต้องทำงานบ้าน และมีสิทธิเหยียดข่มผู้หญิง
มันเหมือนกับความคิดอ่านแบบที่เด็กสมัยนี้ คงจะเรียกว่า toxic masculinity หรือความเป็นพิษของสังคมชายเป็นใหญ่มังคะ
แต่พี่สาวดิฉันไม่ขำด้วย เธอสวนค่ะ ขนาดเธอเป็นลูกรัก เธอยังกล้าสวนกลับไปว่า
“ถ้าได้สามีแบบป่าป๊านี่ ขอโสดดีกว่า”
เชื่อไหมว่า ตอนนั้น ดิฉันนับถือพี่สาวตัวเองขึ้นมาอีก 10 ดีกรี ค่าที่เธอกล้ายืนหยัดและพูดในสิ่งที่เชื่อ
พื้นหลังแบบนี้ มันไม่น่าแต่งงานแล้วอยู่ได้ยืดเนอะ ?
แต่นี่ก็อยู่มาจนยี่สิบกว่าปีผ่านไป ซึ่งแม้ว่า จะไม่ใช่ยี่สิบกว่าปีที่งามหรู โรแมนติค น่าอิจฉา หรือเป็นอุดมคติของใครต่อใคร ก็คงต้องบอกว่า มีความสงบสุข สันติ อิ่มใจเย็นใจ มีพัฒนาการที่ดีตามอัตภาพ ต่างคนต่างแน่ใจได้ว่า ไม่มีใครล้ำเส้นใครหรือบากแผลในใจกันจนมองหน้ากันไม่ได้ เรายังมีเรื่องพูดคุยกันได้ทุกวัน แลกเปลี่ยนทัศนะกันได้ หัวเราะกับเรื่องตลก ๆ ด้วยกันได้ มือถือใครชาร์จแบตอยู่เอาของอีกคนไปเล่นก่อนได้ ไปไหนมาไหนด้วยกันได้ เคารพกันและกันได้ และยังคงหมุนพวงมาลัยชีวิตไปในทิศทางเดียวกันได้อยู่
พอมองไปรอบ ๆ ดูคู่ตัวเอง กับคู่เพื่อน ๆ และผู้ใหญ่ที่เคยเห็นมา
ก็เลยอาจสรุปเหตุผลว่าทำไมคนเราถึงอยู่ด้วยกันได้อย่างราบรื่น และขอตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับชีวิตคู่ไว้ดังนี้ค่ะ
1. ชีวิตคู่ที่ดีควรจะสมประโยชน์กัน
วันก่อนดิฉันเพิ่งคุยกับลูกว่า “ผู้ชายไม่ได้ต้องการผู้หญิงที่ดีตามอุดมคติไปซะทั้งหมดหรอก แค่ต้องการคนที่สมประโยชน์เท่านั้น แต่ลูกจะกลายเป็นคนโชคดี ถ้าความ “สมประโยชน์” ของผู้ชายที่ลูกเลือก มันเป็นความดีงามในอุปนิสัยและการพัฒนาตัวเองในทุก ๆ ด้านของลูก”
คือ อันนี้ มันลางเนื้อชอบลางยาจริง ๆ แต่ละคนมีคนที่ “ตอบโจทย์” ในชีวิตได้ไม่เหมือนกัน บางคนชอบคนสวยแต่งตัวเซ็กซี่ บางคนชอบคนหาเงินเก่ง บางคนชอบคนทำกับข้าวเก่ง บางคนชอบคนอ่อนหวาน บางคนแค่ชอบคนที่ “เข้าใจ”และ “ยอมรับ” เค้าได้อย่างที่เค้าเป็น แค่นั้นจริง ๆ ก็อยู่กันได้อย่างราบรื่นแล้ว
บางที เวลาอายุมากขึ้น คุณจะแยกความแตกต่างออกเองระหว่าง “สเป็คที่แท้จริง” ที่ในใจคุณใฝ่หา กับ “สเป็คที่สังคมบอกว่ามันสำคัญ”
ให้เลือกอย่างแรก แล้วชีวิตมันจะง่ายขึ้นมาก
เช่น ถ้าคุณเองเป็นคนอยากได้คนเข้าใจและยอมรับคุณ เค้าหรือเธอคนนั้น มีคุณสมบัตินี้ แต่อาจจะ ไม่สวย ไม่หล่ออย่างที่คุณฝันไว้ตอนเด็ก หรือ ไม่ได้หาเงินได้มากมายอย่างที่แฟนของเพื่อนคนอื่นเป็น
แล้วไงล่ะคะ ? ถ้าคุณรู้จักตัวเองพอที่จะรู้ความต้องการหลักของตัวเอง ตัดความคาดหวังของคนอื่นทิ้งไปเสียเถอะ ไม่มีประโยชน์เลยจริง ๆ
2. มีการสื่อสารที่ดีและเปิดเผยระหว่างกัน
คนข้างตัวดิฉันเคยบอกตอนเราแต่งงานกันใหม่ ๆ ว่า มีอะไรขอให้คุยกัน พูดกัน บอกกัน “ทุกเรื่อง” ว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร
ขอบคุณสำหรับไฟเขียวค่ะ
สำหรับคนที่เติบโตมาในบ้านที่การสื่อสารระหว่างกันไม่ค่อยจะราบรื่นสวยงามนัก ดิฉันพบว่า การที่จะกล้าพูดออกไปถึงสิ่งที่เราคิด รู้สึก หรือไม่พอใจ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
แต่ถ้าไม่พูดออกไป อีกฝ่ายจะรู้ได้อย่างไรว่าเราพอใจ หรือไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ใหม่ ๆ มันอาจจะไม่ง่ายนัก แม้ดิฉันจะห้าวขนาดไหน บางทีก็ยังมีติดนิสัยผู้หญิงอยู่บ้างตรงที่ชอบบอกว่า “ไม่มีอะไรค่ะ”
บางที คำว่า “ไม่มีอะไร” มันอาจจะไม่มีจริง ๆ ถ้าคุณลืมเรื่องนั้นได้สนิทและมันไม่เหมือนสิวเล็ก ๆ บนหน้าที่ไม่สุกสักที แต่มันเจ็บนิด ๆ เวลาคุณลูบผ่าน
แต่ถ้ามี ขอให้พูดออกไป
ดิฉันรู้ตัวดีว่า เป็นคนปากจัดและใจร้อน (จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ จะพูดออกมาจากจิตสำนึกหรือจิตใต้สำนึกก็ตาม) ก็มักพูดไปก่อนว่า “ไม่มีอะไรค่ะ” หลังจากไปสงบใจสักวันสองวัน และคิดทบทวนว่าจะเรียบเรียงคำพูดอย่างไร (หลายครั้งก็ใช้เขียนนะคะ ถ้ามันดูจะดราม่ามากนัก) พูดประเด็นไหน แล้วจะวาดบทสรุปอย่างไร ก็จะเผชิญหน้าแล้วเปิดบทสนทนาทันทีว่า
“...ที่วันนั้นบอกว่า ไม่มี จริง ๆ มีนะคะ ...”
แล้วทีนี้ก็จะยาวเลยค่ะ การไม่พูดออกไปทันที มีข้อดีตรงที่คุณจะได้มีโอกาสกลั่นกรองคำพูดในหัว ให้มันไม่ฟังดูกล่าวหา ไม่ตีโพยตีพาย และเป็นกลางที่สุด
ทุกอย่างมันคงจะพังลงและความสัมพันธ์อาจจะเย็นชากันจนเหมือนคนแปลกหน้า ถ้าไม่มีการสื่อสาร ถ้ามีคนพูด แต่ไม่มีคนเปิดใจรับฟัง หรือ หากมีคนเปิดใจรับฟัง แต่อีกฝ่ายไม่พูด
เวลาความสัมพันธ์มันจะพัง มันใช้เวลาก่อตัวสะสม การสื่อสารบอกกล่าวช่วยลดความกดดันตรงนี้ลงไปได้มาก เวลาเราพูดคุยกันและฟังกันด้วยหัวใจ มันทำให้เรายังรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกันไว้ได้
เคยมีงานวิจัยชี้ออกมาว่า คนที่ไม่นอกใจจะคุยกับคู่ของตัวเองเฉลี่ยวันละ 30-60 นาที ถ้าคุยกันน้อย โอกาสที่ความเย็นชาจะมาเยือนมีสูงค่ะ แล้วเวลาความเย็นชามาเยือนเพราะไม่เคยคุยกันเลย บางที คุณหาสาเหตุไม่ได้เลยนะคะว่า ทำไมถึงอยากเลิกกัน เพราะมันสะสมมาจนไม่สามารถ single out สาเหตุได้แล้วว่าเพราะอะไร รู้แต่ว่า “อยู่กับคนนี้ไม่ได้อีกแล้ว ไม่ชอบ ไม่อยากร่วมบ้าน ไม่อยากคุย แต่เพราะอะไรก็ไม่รู้”
เคยเขียนกระทู้เรื่องทำไมคนเราถึงนอกใจไว้นะคะ
https://pantip.com/topic/37319557
3. เว้นช่องว่างให้กันและกันบ้าง แต่ก็อย่าให้ถึงขนาดปล่อยมือกันไปในทุกงาน ไม่งั้น เดี๋ยวอาจเกิดการพลัดหลง
พอถึงวัยหนึ่งแล้ว คุณก็รู้สึกไม่ได้อยากตัวติดกันตลอดเวลาแล้วค่ะ ทุกคนเกิดมาพร้อมความสนใจเฉพาะตัวจริง ๆ บางคนชอบกีฬา บางคนชอบหนังสือ บางคนชอบเต้นรำ บางคนชอบเล่นกอล์ฟ มันจะดีกว่า ถ้าคุณปล่อยให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสทำสิ่งที่อีกฝ่ายชอบ แต่บางที update กันหน่อย หรือไปด้วยกันบ้างก็ดีนะคะ ถ้าไม่มีการถามไถ่ในงานอดิเรกหรือความชอบของอีกฝ่ายเลย บางที มันก็มีโอกาสล่ะค่ะ ที่อีกฝ่ายจะหันไปสนิทกับคนที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกันจนเลยเถิด
4. พอคุณอายุถึงวัยหนึ่ง คุณอาจไม่ตั้งคำถามมากนัก กับเหตุการณ์ประเภท “แต่งกันได้ 4 เดือน เลิกกัน” หรือ “อยู่กันมาตั้ง 30 กว่าปี ทำไมถึงเลิก” เพราะคุณเห็นอะไร ๆ มาเยอะมากจนคุณจะเลิกวิจารณ์เสีย ๆ หาย ๆ ไปเลย ถือคติว่า “เก็บปากไว้แตกหน้าหนาวดีกว่า”
โตมาในบ้านที่ผู้หญิงมักจะต้องอดทนมานานค่ะ เวลาเห็นใครทนนี่ ไม่ค่อยสงสัยในตรรกะความคิดเธอเหล่านั้นมากนัก เพราะนี่อยู่ในครอบครัวเครือญาติประเภทผู้หญิงเป็นตัวประกอบอดทนทั้งนั้น
ทนทำไม ?
กลัวอายเค้า
กลัวเสียหน้า
กลัวไม่มีใคร
กลัว.............
แต่ชีวิต ณ จุดนี้ เห็นใครกล้าเลิก แล้วมีบางแว่บที่รู้สึกนับถือในความเด็ดเดี่ยวนะคะ
ลูกสาวเพื่อนคุณแม่ดิฉัน เป็นเด็กนักเรียนทุนมาตั้งแต่เด็กค่ะ ตอนนี้ เธอรับสอนภาษาให้กับคนต่างชาติ (ส่วนใหญ่จะเป็นระดับนักการทูตทั้งนั้น) และรับเชิญพิเศษสอนมหาวิทยาลัยในคอร์ส advanced มาก ๆ ที่หาคนสอนไม่ค่อยได้ พี่คนนี้สมัยรุ่น ๆ แต่งงานได้ 4 เดือน แล้วก็เลิก ตอนอายุน้อย ๆ ดิฉันก็เคยนึกเสียดายว่า “ทำไมเลิกกันเร็วจัง ทำไมไม่อดทน”
ตอนนี้นี่ นึกมองเธอในอีกแง่ด้วยซ้ำว่า เด็ดขาด และรู้ตัวเองชัดเจนว่าต้องการอะไร
หรือบางคนอยู่ด้วยกันมา 30 40 หรือ กระทั่ง 50 ปีแล้วกล้าเลิก
ดิฉันยังคิดเลยว่า ช่างเป็นคนที่เข้มแข็ง และกล้าใช้ชีวิต กล้าเปลี่ยนความเคยชินจริง ๆ หลายคนอยู่กันไปแกน ๆ ไม่ได้มีความสุข แต่ไม่เลิก เพราะเลิกไม่ได้ อาจมีเหตุให้ต้องเกี่ยวพัน พึ่งพิง หรือแค่กลัวการต้องอยู่คนเดียว คนที่ไม่มีความสุขแล้วกล้า break free ไปในอายุขนาดนี้ เป็นเรื่องที่น่าทึ่งในความชัดเจนเด็ดเดี่ยวจริง ๆ
5. ชีวิตที่อยู่ด้วยกันไปนาน ๆ ความเป็นเพื่อนสำคัญมาก ในวัยขนาดนี้ หลังจากผ่านอะไรต่ออะไรด้วยกันมาสารพัด คุณมองไปที่คนข้าง ๆ แล้วจะมีแว่บหนึ่งที่คุณรู้สึกว่า “นี่ไม่ใช่แค่สามี / ภรรยา แต่ยังเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณด้วย” คุยกันได้ทุกเรื่อง ยอมรับข้อเสียของกันและกันได้
ข้อดีไม่ต้องพูดถึงเนอะ ... ความดีมันเหมือนแสงสว่าง ยังไงก็มองเห็นได้ชัดเจน ถ้าคุณมองเห็นข้อดีของอีกฝ่ายได้ ใคร ๆ ก็มองเห็นได้ แต่ข้อเสียนี่สิ ถ้ามองเห็นและยอมรับด้วยได้นี่ ปัญหามันก็เบาลงไปได้มากแล้ว
6. “บัญชีออมใจ” เป็นเรื่องสำคัญ
เพื่อนสนิทดิฉันเคยอธิบาย concept เรื่องบัญชีออมใจในความสัมพันธ์ให้ดิฉันฟัง
แล้วดิฉันชอบมาก เธอบอกว่า ในทุกความสัมพันธ์มันก็เหมือนเราเปิดบัญชีในธนาคาร เวลาอีกฝ่ายทำอะไรดี ๆ ให้ มันก็เหมือนคุณฝากเงินเข้าไป เวลาอีกฝ่ายทำอะไรให้คุณไม่พอใจ มันก็เหมือนคุณถอนเงินออกมา
ทีนี้ ถ้าดีต่อกันมาก ๆ เข้า บัญชีนี้ก็เพิ่มพูน คุณจะรู้สึกว่า มันเป็น “สมบัติ” เป็นของมีค่า
แต่ถ้าบัญชีติดลบบ่อย ๆ บัญชีนี้ก็จะกลายเป็น “หนี้สิน” เป็นภาระที่คุณรู้สึกอยากสลัดทิ้ง
การอยู่ด้วยกันไปนาน ๆ ถ้าบัญชีมันเพิ่มพูนขึ้นมาเรื่อย ๆ แล้วคู่ของคุณก็ให้ “ดอกเบี้ย” ดี คือ ความดีที่คุณทำไป ก็สะท้อนกลับมาในรูปแบบของการให้คืน (ไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปของเงินนะคะ) กลับมายังคุณสูงด้วย แบบนี้ คุณจะรู้สึกราวกับเป็น “นักลงทุนเน้นคุณค่า”
7. สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำอย่างสม่ำเสมอแต่จริงใจ กลับมีความหมายที่ยิ่งใหญ่เมื่อระลึกถึง
มันตลกดีเวลามาคิดย้อนหลังหรือถามตัวเองว่าอยากขอบคุณสามีตัวเองเรื่องอะไร
ปรากฎว่า เรื่องที่คิดได้มักเป็นเรื่องมโนสาเร่ประเภท
เวลาเจอแมลงสาบ เจอจิ้งจก ช่วยจับออกไปทิ้งข้างนอกให้โดยไม่ฆ่า คือ นี่เป็นคนกลัวแมลงสาบมาก แต่จะให้ฆ่า ก็รู้สึกว่า ขี้เกียจผิดศีลอีก เวลานึกถึงความดีของสามีก็จะมีเรื่องนี้ขึ้นเป็นอันดับแรก ๆ หรือ
เวลาตอนกลางคืน เท้าเย็นสามารถเอาเท้าเย็น ๆ ไปแปะตรงน่องอุ่น ๆ ของคนข้างตัวได้โดยไม่โดนดีด ทำให้เรานอนสบายขึ้น
มันฟังดูแบบ... เอิ่ม...อะไรของแกฟระ ?

แต่นั่นแหละค่ะ ที่ฝรั่งชอบพูดว่า Little things mean a lot. นี่เรื่องจริง
รีวิวชีวิตแต่งงาน 20 ปี ++
วัยได้ อะไรได้แล้วจริง ๆ
วันนี้ จะมาขอรีวิวชีวิตแต่งงานอายุ 20 up ของตัวเอง และของคนรอบข้างที่เห็นและเป็นอยู่กันให้ฟังพอสนุก ๆ ถือว่าแลกเปลี่ยนมุมมองกับน้อง ๆ หลาน ๆ เพื่อน ๆ พี่ป้าน้าอาด้วยก็แล้วกันค่ะ
ถ้าอันไหน มันจะฟังดู เชย ๆ ฟังดู “เฮ้ยยยย ... จริงเหรอ ?” หรือ “เฮ้ยยยยย...ไม่ใช่อ่ะ”
ฟังดู judgy หรือฟังดูแล้วไม่เห็นจะโรแมนติคอะไรเล้ย... ไปบ้าง
ก็คิดซะว่า เสียเวลาไปสัก 20 นาทีก็แล้วกัน (ฮา)
เจ้าของกระทู้แต่งงานตอนอายุ 27 ค่ะ เทียบกับมาตรฐานสมัยนี้คงถือว่าเร็ว
คบกับสามีมาประมาณปีสองปีก็แต่งแล้วค่ะ
จะบอกว่าเร็วที่สุดในรุ่นก็ไม่ใช่ มีเพื่อนร่วมรุ่นแต่งก่อนหน้าไปเล็กน้อย เพราะว่าท้อง (อันนี้ เพื่อนบอกเอง ตอนเธอน้ำตาไหลพรากเล่าเรื่องความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับสามีว่า “ถ้าไม่ท้อง ก็ไม่แต่งหรอก”)
พอตอนเราแต่งบ้าง ก็มีเพื่อนบางคนแอบนับนิ้ว
นี่หัวเราะก๊ากเลยบอกว่า “ไม่ต้องนับจ้ะ...ชั้นไม่ได้ท้อง”
การอยู่กับใครสักคนมา 20 กว่าปีสำหรับตัวเองแล้วถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ เพราะนี่เป็นคนที่ดูเหมือนง่าย ๆ สบาย ๆ แต่จริง ๆ แล้วก็แอบเยอะ เรื่องมาก ขี้เบื่อ เอาแต่ใจอยู่พอสมควร
ตั้งแต่เด็กจนโตมา ... หมอดูกี่คน กี่คน ก็บอกว่า ต้องแต่งงานตอนอายุมาก ๆ เอาสักสี่สิบขึ้นไปนะ ไม่งั้น ต้องเลิกกันไปแน่ ๆ ทั้งดวงและโหงวเฮ้ง น่าจะไม่ถูกสเป็คเป็นหญิงในดวงใจหรือเป็นศรีสะใภ้ของตระกูลไหนเลย เกิดวันเสาร์ ปีเสือ ตอนกลางคืน โหนกแก้มสูงค่ะ ครบสูตรของคนที่จะถูกมองว่า “ร้าย”
ตอนเด็ก ๆ ป่าป๊าเคยว่าดิฉันตอนโกรธว่า “อย่างเธอนี่ ถ้าแต่งไปเข้าบ้านใคร ก็เห็นทีว่าแม่สามีจะต้องตะเพิดออกจากบ้านไปอย่างไวเลยแน่ ๆ”
ดิฉันได้แต่หัวเราะ ขำขร่ะ คำด่าน่าเอ็นดูมาก ทำไมต้องเอาชีวิตไปผูกกับสามีและจะต้องไปกลัวเค้าไล่ออกจากบ้านกันขนาดนั้น
ส่วนพี่สาวดิฉันเวลาทำอะไรให้ป่าป๊าไม่พอใจ หัวแข็งเกินไป ก็โดนว่าด้วยคำพูดทำนองนี้เหมือนกัน
ที่บ้านนี่ผู้ชายเป็นใหญ่มาก แบบได้กินข้าวก่อน ไม่ต้องล้างจาน ไม่ต้องทำงานบ้าน และมีสิทธิเหยียดข่มผู้หญิง
มันเหมือนกับความคิดอ่านแบบที่เด็กสมัยนี้ คงจะเรียกว่า toxic masculinity หรือความเป็นพิษของสังคมชายเป็นใหญ่มังคะ
แต่พี่สาวดิฉันไม่ขำด้วย เธอสวนค่ะ ขนาดเธอเป็นลูกรัก เธอยังกล้าสวนกลับไปว่า
“ถ้าได้สามีแบบป่าป๊านี่ ขอโสดดีกว่า”
เชื่อไหมว่า ตอนนั้น ดิฉันนับถือพี่สาวตัวเองขึ้นมาอีก 10 ดีกรี ค่าที่เธอกล้ายืนหยัดและพูดในสิ่งที่เชื่อ
พื้นหลังแบบนี้ มันไม่น่าแต่งงานแล้วอยู่ได้ยืดเนอะ ?
แต่นี่ก็อยู่มาจนยี่สิบกว่าปีผ่านไป ซึ่งแม้ว่า จะไม่ใช่ยี่สิบกว่าปีที่งามหรู โรแมนติค น่าอิจฉา หรือเป็นอุดมคติของใครต่อใคร ก็คงต้องบอกว่า มีความสงบสุข สันติ อิ่มใจเย็นใจ มีพัฒนาการที่ดีตามอัตภาพ ต่างคนต่างแน่ใจได้ว่า ไม่มีใครล้ำเส้นใครหรือบากแผลในใจกันจนมองหน้ากันไม่ได้ เรายังมีเรื่องพูดคุยกันได้ทุกวัน แลกเปลี่ยนทัศนะกันได้ หัวเราะกับเรื่องตลก ๆ ด้วยกันได้ มือถือใครชาร์จแบตอยู่เอาของอีกคนไปเล่นก่อนได้ ไปไหนมาไหนด้วยกันได้ เคารพกันและกันได้ และยังคงหมุนพวงมาลัยชีวิตไปในทิศทางเดียวกันได้อยู่
พอมองไปรอบ ๆ ดูคู่ตัวเอง กับคู่เพื่อน ๆ และผู้ใหญ่ที่เคยเห็นมา
ก็เลยอาจสรุปเหตุผลว่าทำไมคนเราถึงอยู่ด้วยกันได้อย่างราบรื่น และขอตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับชีวิตคู่ไว้ดังนี้ค่ะ
1. ชีวิตคู่ที่ดีควรจะสมประโยชน์กัน
วันก่อนดิฉันเพิ่งคุยกับลูกว่า “ผู้ชายไม่ได้ต้องการผู้หญิงที่ดีตามอุดมคติไปซะทั้งหมดหรอก แค่ต้องการคนที่สมประโยชน์เท่านั้น แต่ลูกจะกลายเป็นคนโชคดี ถ้าความ “สมประโยชน์” ของผู้ชายที่ลูกเลือก มันเป็นความดีงามในอุปนิสัยและการพัฒนาตัวเองในทุก ๆ ด้านของลูก”
คือ อันนี้ มันลางเนื้อชอบลางยาจริง ๆ แต่ละคนมีคนที่ “ตอบโจทย์” ในชีวิตได้ไม่เหมือนกัน บางคนชอบคนสวยแต่งตัวเซ็กซี่ บางคนชอบคนหาเงินเก่ง บางคนชอบคนทำกับข้าวเก่ง บางคนชอบคนอ่อนหวาน บางคนแค่ชอบคนที่ “เข้าใจ”และ “ยอมรับ” เค้าได้อย่างที่เค้าเป็น แค่นั้นจริง ๆ ก็อยู่กันได้อย่างราบรื่นแล้ว
บางที เวลาอายุมากขึ้น คุณจะแยกความแตกต่างออกเองระหว่าง “สเป็คที่แท้จริง” ที่ในใจคุณใฝ่หา กับ “สเป็คที่สังคมบอกว่ามันสำคัญ”
ให้เลือกอย่างแรก แล้วชีวิตมันจะง่ายขึ้นมาก
เช่น ถ้าคุณเองเป็นคนอยากได้คนเข้าใจและยอมรับคุณ เค้าหรือเธอคนนั้น มีคุณสมบัตินี้ แต่อาจจะ ไม่สวย ไม่หล่ออย่างที่คุณฝันไว้ตอนเด็ก หรือ ไม่ได้หาเงินได้มากมายอย่างที่แฟนของเพื่อนคนอื่นเป็น
แล้วไงล่ะคะ ? ถ้าคุณรู้จักตัวเองพอที่จะรู้ความต้องการหลักของตัวเอง ตัดความคาดหวังของคนอื่นทิ้งไปเสียเถอะ ไม่มีประโยชน์เลยจริง ๆ
2. มีการสื่อสารที่ดีและเปิดเผยระหว่างกัน
คนข้างตัวดิฉันเคยบอกตอนเราแต่งงานกันใหม่ ๆ ว่า มีอะไรขอให้คุยกัน พูดกัน บอกกัน “ทุกเรื่อง” ว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร
ขอบคุณสำหรับไฟเขียวค่ะ
สำหรับคนที่เติบโตมาในบ้านที่การสื่อสารระหว่างกันไม่ค่อยจะราบรื่นสวยงามนัก ดิฉันพบว่า การที่จะกล้าพูดออกไปถึงสิ่งที่เราคิด รู้สึก หรือไม่พอใจ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
แต่ถ้าไม่พูดออกไป อีกฝ่ายจะรู้ได้อย่างไรว่าเราพอใจ หรือไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ใหม่ ๆ มันอาจจะไม่ง่ายนัก แม้ดิฉันจะห้าวขนาดไหน บางทีก็ยังมีติดนิสัยผู้หญิงอยู่บ้างตรงที่ชอบบอกว่า “ไม่มีอะไรค่ะ”
บางที คำว่า “ไม่มีอะไร” มันอาจจะไม่มีจริง ๆ ถ้าคุณลืมเรื่องนั้นได้สนิทและมันไม่เหมือนสิวเล็ก ๆ บนหน้าที่ไม่สุกสักที แต่มันเจ็บนิด ๆ เวลาคุณลูบผ่าน
แต่ถ้ามี ขอให้พูดออกไป
ดิฉันรู้ตัวดีว่า เป็นคนปากจัดและใจร้อน (จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ จะพูดออกมาจากจิตสำนึกหรือจิตใต้สำนึกก็ตาม) ก็มักพูดไปก่อนว่า “ไม่มีอะไรค่ะ” หลังจากไปสงบใจสักวันสองวัน และคิดทบทวนว่าจะเรียบเรียงคำพูดอย่างไร (หลายครั้งก็ใช้เขียนนะคะ ถ้ามันดูจะดราม่ามากนัก) พูดประเด็นไหน แล้วจะวาดบทสรุปอย่างไร ก็จะเผชิญหน้าแล้วเปิดบทสนทนาทันทีว่า
“...ที่วันนั้นบอกว่า ไม่มี จริง ๆ มีนะคะ ...”
แล้วทีนี้ก็จะยาวเลยค่ะ การไม่พูดออกไปทันที มีข้อดีตรงที่คุณจะได้มีโอกาสกลั่นกรองคำพูดในหัว ให้มันไม่ฟังดูกล่าวหา ไม่ตีโพยตีพาย และเป็นกลางที่สุด
ทุกอย่างมันคงจะพังลงและความสัมพันธ์อาจจะเย็นชากันจนเหมือนคนแปลกหน้า ถ้าไม่มีการสื่อสาร ถ้ามีคนพูด แต่ไม่มีคนเปิดใจรับฟัง หรือ หากมีคนเปิดใจรับฟัง แต่อีกฝ่ายไม่พูด
เวลาความสัมพันธ์มันจะพัง มันใช้เวลาก่อตัวสะสม การสื่อสารบอกกล่าวช่วยลดความกดดันตรงนี้ลงไปได้มาก เวลาเราพูดคุยกันและฟังกันด้วยหัวใจ มันทำให้เรายังรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกันไว้ได้
เคยมีงานวิจัยชี้ออกมาว่า คนที่ไม่นอกใจจะคุยกับคู่ของตัวเองเฉลี่ยวันละ 30-60 นาที ถ้าคุยกันน้อย โอกาสที่ความเย็นชาจะมาเยือนมีสูงค่ะ แล้วเวลาความเย็นชามาเยือนเพราะไม่เคยคุยกันเลย บางที คุณหาสาเหตุไม่ได้เลยนะคะว่า ทำไมถึงอยากเลิกกัน เพราะมันสะสมมาจนไม่สามารถ single out สาเหตุได้แล้วว่าเพราะอะไร รู้แต่ว่า “อยู่กับคนนี้ไม่ได้อีกแล้ว ไม่ชอบ ไม่อยากร่วมบ้าน ไม่อยากคุย แต่เพราะอะไรก็ไม่รู้”
เคยเขียนกระทู้เรื่องทำไมคนเราถึงนอกใจไว้นะคะ
https://pantip.com/topic/37319557
3. เว้นช่องว่างให้กันและกันบ้าง แต่ก็อย่าให้ถึงขนาดปล่อยมือกันไปในทุกงาน ไม่งั้น เดี๋ยวอาจเกิดการพลัดหลง
พอถึงวัยหนึ่งแล้ว คุณก็รู้สึกไม่ได้อยากตัวติดกันตลอดเวลาแล้วค่ะ ทุกคนเกิดมาพร้อมความสนใจเฉพาะตัวจริง ๆ บางคนชอบกีฬา บางคนชอบหนังสือ บางคนชอบเต้นรำ บางคนชอบเล่นกอล์ฟ มันจะดีกว่า ถ้าคุณปล่อยให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสทำสิ่งที่อีกฝ่ายชอบ แต่บางที update กันหน่อย หรือไปด้วยกันบ้างก็ดีนะคะ ถ้าไม่มีการถามไถ่ในงานอดิเรกหรือความชอบของอีกฝ่ายเลย บางที มันก็มีโอกาสล่ะค่ะ ที่อีกฝ่ายจะหันไปสนิทกับคนที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกันจนเลยเถิด
4. พอคุณอายุถึงวัยหนึ่ง คุณอาจไม่ตั้งคำถามมากนัก กับเหตุการณ์ประเภท “แต่งกันได้ 4 เดือน เลิกกัน” หรือ “อยู่กันมาตั้ง 30 กว่าปี ทำไมถึงเลิก” เพราะคุณเห็นอะไร ๆ มาเยอะมากจนคุณจะเลิกวิจารณ์เสีย ๆ หาย ๆ ไปเลย ถือคติว่า “เก็บปากไว้แตกหน้าหนาวดีกว่า”
โตมาในบ้านที่ผู้หญิงมักจะต้องอดทนมานานค่ะ เวลาเห็นใครทนนี่ ไม่ค่อยสงสัยในตรรกะความคิดเธอเหล่านั้นมากนัก เพราะนี่อยู่ในครอบครัวเครือญาติประเภทผู้หญิงเป็นตัวประกอบอดทนทั้งนั้น
ทนทำไม ?
กลัวอายเค้า
กลัวเสียหน้า
กลัวไม่มีใคร
กลัว.............
แต่ชีวิต ณ จุดนี้ เห็นใครกล้าเลิก แล้วมีบางแว่บที่รู้สึกนับถือในความเด็ดเดี่ยวนะคะ
ลูกสาวเพื่อนคุณแม่ดิฉัน เป็นเด็กนักเรียนทุนมาตั้งแต่เด็กค่ะ ตอนนี้ เธอรับสอนภาษาให้กับคนต่างชาติ (ส่วนใหญ่จะเป็นระดับนักการทูตทั้งนั้น) และรับเชิญพิเศษสอนมหาวิทยาลัยในคอร์ส advanced มาก ๆ ที่หาคนสอนไม่ค่อยได้ พี่คนนี้สมัยรุ่น ๆ แต่งงานได้ 4 เดือน แล้วก็เลิก ตอนอายุน้อย ๆ ดิฉันก็เคยนึกเสียดายว่า “ทำไมเลิกกันเร็วจัง ทำไมไม่อดทน”
ตอนนี้นี่ นึกมองเธอในอีกแง่ด้วยซ้ำว่า เด็ดขาด และรู้ตัวเองชัดเจนว่าต้องการอะไร
หรือบางคนอยู่ด้วยกันมา 30 40 หรือ กระทั่ง 50 ปีแล้วกล้าเลิก
ดิฉันยังคิดเลยว่า ช่างเป็นคนที่เข้มแข็ง และกล้าใช้ชีวิต กล้าเปลี่ยนความเคยชินจริง ๆ หลายคนอยู่กันไปแกน ๆ ไม่ได้มีความสุข แต่ไม่เลิก เพราะเลิกไม่ได้ อาจมีเหตุให้ต้องเกี่ยวพัน พึ่งพิง หรือแค่กลัวการต้องอยู่คนเดียว คนที่ไม่มีความสุขแล้วกล้า break free ไปในอายุขนาดนี้ เป็นเรื่องที่น่าทึ่งในความชัดเจนเด็ดเดี่ยวจริง ๆ
5. ชีวิตที่อยู่ด้วยกันไปนาน ๆ ความเป็นเพื่อนสำคัญมาก ในวัยขนาดนี้ หลังจากผ่านอะไรต่ออะไรด้วยกันมาสารพัด คุณมองไปที่คนข้าง ๆ แล้วจะมีแว่บหนึ่งที่คุณรู้สึกว่า “นี่ไม่ใช่แค่สามี / ภรรยา แต่ยังเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณด้วย” คุยกันได้ทุกเรื่อง ยอมรับข้อเสียของกันและกันได้
ข้อดีไม่ต้องพูดถึงเนอะ ... ความดีมันเหมือนแสงสว่าง ยังไงก็มองเห็นได้ชัดเจน ถ้าคุณมองเห็นข้อดีของอีกฝ่ายได้ ใคร ๆ ก็มองเห็นได้ แต่ข้อเสียนี่สิ ถ้ามองเห็นและยอมรับด้วยได้นี่ ปัญหามันก็เบาลงไปได้มากแล้ว
6. “บัญชีออมใจ” เป็นเรื่องสำคัญ
เพื่อนสนิทดิฉันเคยอธิบาย concept เรื่องบัญชีออมใจในความสัมพันธ์ให้ดิฉันฟัง
แล้วดิฉันชอบมาก เธอบอกว่า ในทุกความสัมพันธ์มันก็เหมือนเราเปิดบัญชีในธนาคาร เวลาอีกฝ่ายทำอะไรดี ๆ ให้ มันก็เหมือนคุณฝากเงินเข้าไป เวลาอีกฝ่ายทำอะไรให้คุณไม่พอใจ มันก็เหมือนคุณถอนเงินออกมา
ทีนี้ ถ้าดีต่อกันมาก ๆ เข้า บัญชีนี้ก็เพิ่มพูน คุณจะรู้สึกว่า มันเป็น “สมบัติ” เป็นของมีค่า
แต่ถ้าบัญชีติดลบบ่อย ๆ บัญชีนี้ก็จะกลายเป็น “หนี้สิน” เป็นภาระที่คุณรู้สึกอยากสลัดทิ้ง
การอยู่ด้วยกันไปนาน ๆ ถ้าบัญชีมันเพิ่มพูนขึ้นมาเรื่อย ๆ แล้วคู่ของคุณก็ให้ “ดอกเบี้ย” ดี คือ ความดีที่คุณทำไป ก็สะท้อนกลับมาในรูปแบบของการให้คืน (ไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปของเงินนะคะ) กลับมายังคุณสูงด้วย แบบนี้ คุณจะรู้สึกราวกับเป็น “นักลงทุนเน้นคุณค่า”
7. สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำอย่างสม่ำเสมอแต่จริงใจ กลับมีความหมายที่ยิ่งใหญ่เมื่อระลึกถึง
มันตลกดีเวลามาคิดย้อนหลังหรือถามตัวเองว่าอยากขอบคุณสามีตัวเองเรื่องอะไร
ปรากฎว่า เรื่องที่คิดได้มักเป็นเรื่องมโนสาเร่ประเภท
เวลาเจอแมลงสาบ เจอจิ้งจก ช่วยจับออกไปทิ้งข้างนอกให้โดยไม่ฆ่า คือ นี่เป็นคนกลัวแมลงสาบมาก แต่จะให้ฆ่า ก็รู้สึกว่า ขี้เกียจผิดศีลอีก เวลานึกถึงความดีของสามีก็จะมีเรื่องนี้ขึ้นเป็นอันดับแรก ๆ หรือ
เวลาตอนกลางคืน เท้าเย็นสามารถเอาเท้าเย็น ๆ ไปแปะตรงน่องอุ่น ๆ ของคนข้างตัวได้โดยไม่โดนดีด ทำให้เรานอนสบายขึ้น
มันฟังดูแบบ... เอิ่ม...อะไรของแกฟระ ?
แต่นั่นแหละค่ะ ที่ฝรั่งชอบพูดว่า Little things mean a lot. นี่เรื่องจริง