ลำนำรักเทพบรรพกาล (1) : Angels and Devils. #บทที่๙ #(สายลมแห่งโชคชะตา.)

สายลมยังคงพัดผ่าน ฤดูกาลเปลี่ยนผัน วันวานล้วนเป็นอดีต มิอาจหวนคืน..

เด็กชายร่างกายผอมบางเติบใหญ่เป็นหนุ่มน้อยร่างสูงโปร่ง แม้เนื้อตัวมอมแมมด้วยดินโคลน แต่ความสง่างามแห่งโอรสสวรรค์ไม่อาจบดบังได้ด้วยสิ่งโสมม และเพราะเหตุนี้ หลายครั้งที่นางเฒ่ามุตตาต้องเอ่ยปากไล่หรือหาสารพัดสิ่งของที่หยิบฉวยใกล้มือขว้างใส่บรรดานางทาสสาวที่มาแอบดูหลานชายเป็นกิจวัตร แม้ยามอาบน้ำก็ไม่เว้น บางครั้งก็พูดจาแทะโลมจนทนไม่ไหว เผลอขว้างตะบันหมากออกไป

“ไปให้พ้นเลยนะ! หลานข้าเพิ่งจะอายุสิบสี่ เหตุใดพวกเจ้าถึงได้สับประดี้สีประดนกันนัก” 

แล้วก็ยืนเหนื่อยหอบให้เหล่านางทาสหัวเราะคิกคัก ก่อนรีบพากันจากไป แต่ไม่กี่วันต่อมา นางทาสเหล่านั้นก็กลับมาใหม่ วนเวียนอยู่เช่นนี้ จนนางเฒ่าเหนื่อยหน่ายหันมาพาลใส่สรษดาที่กำลังมองหากระบอกตำหมากมาคืน

“เห็นที ข้าคงต้องใช้ถ่านทาเจ้าทั้งตัวแล้วกระมัง” 

แล้วก็เดินจากไปด้วยอารมณ์หงุดหงิด ทิ้งให้หลานชายนอกไส้ยืนหน้าจืดเจื่อน ด้วยไม่รู้ว่า ตนนั้นกระทำผิดเรื่องอันใด

เช้าวันหนึ่ง..
สรษดาเห็นนางเฒ่ากระวีกระวาดนำไหเหล้าแสนหวงแหนที่ซุกซ่อนไว้ นำมาบรรจงถ่ายใส่ไหกระเบื้องเคลือบชั้นดีสามไหเล็ก และถึงแม้ไหเหล้านั้นจะสะอาดเอี่ยมอ่องอยู่แล้ว แต่นางเฒ่าก็ยังขัดถูซ้ำๆจนมั่นใจว่าไม่มีแม้แต่ไรฝุ่นก่อนวางเรียงลงตะกร้าหวาย

 เด็กหนุ่มจึงถามด้วยความสงสัย
“ผู้ที่ทำให้ยายเฒ่ายอมมอบสมบัติอันล้ำค่า คงจะเป็นคนสำคัญมากสินะ”

“อืม” นางเฒ่าพยักหน้า พลางชะเง้อมองไปยังเรือนใหญ่อย่างเฝ้ารอ 

“สำคัญกว่าเจ้าเมืองน้อยอีกเรอะ” เพราะตลอดมา ไม่ว่าจะเรื่องใด นางเฒ่าผู้นี้จะยกให้เจ้าเมืองน้อยสำคัญมาเป็นลำดับแรก แต่ก็ไม่เคยมอบเหล้าสามฤดู ซึ่งเป็นเหล้าที่ใช้เวลาหมักนาน ก่อนจะนำมากลั่นอีกครั้ง ซึ่งแต่ละหยดที่ได้นั้นหอมหวน ลุ่มลึก ส่วนประกอบมีทั้งสมุนไพร ดอกไม้ และวัตถุดิบต่างๆที่เป็นสูตรลับของแต่ละฤดู เหล้าที่ได้จึงมีสีและกลิ่นต่างกัน

 ทว่า..ดีกรีความแรง นั้นช่างท้าทายต่อผู้ชอบร่ำเมรัย ซึ่งสามารถล้มพับได้ในจอกเดียว

ซึ่งเขาเห็นมาแล้วในครั้งหนึ่ง เมื่ออาคันตุกะต่างเมืองได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างในฝีมือทำเหล้าของแม่เฒ่าจึงอยากลิ้มลอง พร้อมอวดอ้างว่าตนนั้นคอแข็งเหนือผู้ใด ยายเฒ่ารู้ว่า เจ้าเมืองน้อยหมั่นไส้ในความโอหังนี้จึงมอบเหล้าฤดูร้อนให้ ซึ่งดีกรีนั้นร้อนแรงสมชื่อ อาคันตุกะหนุ่มฟุบหลับโดยที่จอกเหล้ายังคาปาก

และอาจจะเป็นเหตุผลนี้ด้วยกระมัง เจ้าเมืองน้อยถึงไม่คิดอยากได้เหล้าสามฤดูของนางเฒ่านัก

“ความสำคัญนี้เปรียบเทียบกันไม่ได้หรอก..สำหรับผู้นั้น ข้ามีแต่ความนับถืออย่างท่วมท้น”

“น้อยครั้งนักที่เจ้าจะชื่นชมผู้อื่น..คนผู้นี้ยิ่งใหญ่มาจากไหนกัน ข้าชักอยากเห็นหน้านัก”

“เขาไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรหรอก เป็นเพียงหมอยาธรรมดาผู้หนึ่ง แต่ฝีมือรักษานั้นเทียบชั้นเทวดาเชียวล่ะ..ท่านน่ะชอบสันโดษ นานทีปีหนถึงจะมาเยี่ยมดูอาการของท่านเจ้าเมืองเสียที..ข้าไม่มีอะไรมอบให้ นอกจากเหล้าพวกนี้ เพราะพ่อหมอนั้น ชอบสุราเป็นชีวิตจิตใจ”

“เอ๋..ถ้าเช่นนั้น กว่าพ่อหมอจะดื่มหมด ก็คงเมาหลับไปหลายตื่นเลยน่ะสิ” เด็กหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะกับสภาพที่เขาจินตนาการ

นางเฒ่าโบกมือ ตอบอย่างมั่นใจ
“ไม่มีสุราใดในโลกนี้ สามารถล้มพ่อหมอได้หรอก”

สรษดาฉงนในคำตอบ
“หากสุราท่านไม่สามารถล้มเขาได้ เช่นนั้น..เขาคงไม่ใช่มนุษย์สินะ” และเหลือบมองอีกฝ่ายที่ยิ้มอมภูมิ

“ยามใดที่เห็น เจ้าก็จะรู้เอง” พลางหยิบเชี่ยนหมาก และให้ความสนใจกับมัน

เด็กหนุ่มรู้ได้ในทันใดว่า นางเฒ่าเลี่ยงที่จะพูดถึงหมอยาผู้นั้นอีก..เขาจึงได้แต่รอคอย หวังว่าเขาจะรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของหมอยาผู้นั้นอย่างที่นางเฒ่างูดินพูดจริงๆ..แต่รอจนแล้วจนเล่า หมอยาผู้นั้นก็ยังไม่มาสักที จนบ่ายคล้อย สรษดาเบื่อที่จะรอ จึงไปยังบึงใหญ่ หวังจับปลาช่อนมาให้นางเฒ่าแกงในเย็นนี้ ซึ่งรอบๆมีกลุ่มทาสชายนั่งตกปลาอยู่ก่อนแล้ว ทุกสายตาที่มองมาทางเขานั้นเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา เพราะหญิงสาวที่พวกเขาหมายปองนั้น ต่างหันมาให้ความสนใจกับเจ้าบ้าใบ้ผู้นี้กันหมด 

แต่ก็ยังมีบางคนที่ไม่สนใจกับสิ่งเหล่านั้น จึงเข้ามาใกล้ พลางเอ่ยทัก
“ไอ้ไผ่ เอ็งจะมาตกปลา แล้วไหนคันเบ็ดของเอ็งเล่า” เพราะเห็นว่าเขามีเพียงข้องใส่ปลาเท่านั้น

“เดี๋ยวข้าจะดำลงไปจับมันด้วยมือเปล่า น้ำยิ่งลึก ปลาก็จะใหญ่กว่าน้ำตื้น”
พวกที่ยืนฟังห่างออกไปพากันหัวเราะครืน 

“โธ่เอ้ย ไอ้อ่ำ เอ็งจะไปเสวนากับคนบ้าทำไมวะ..มีอย่างที่ไหนจะจับปลาด้วยมือเปล่า..ฮ่า ๆ มันบ้าจริงๆว่ะ”

สรษดาไม่สนใจ แต่เอ่ยถามชายหนุ่มตรงหน้า
“เอ็งจะเอาปลาไปให้นังแดงมันแกงด้วยไหม ข้าจะจับมาเผื่อ”

เจ้าอ่ำอ้ำอึ้ง เพราะคิดว่าอีกฝ่ายนั้นสติไม่สมประกอบดั่งคำที่ผู้อื่นเย้ยหยัน แต่ตัวเขานั้นยังคงพยักหน้าแก้เก้อไปอย่างไม่คาดหวังใดๆ
“ถ้าเอ็งมีน้ำใจ ก็จับมาเผื่อข้าสักตัวก็แล้วกัน”

“งั้นรอข้าสักประเดี๋ยว”
สรษดาวางข้องลงก่อนหันเดินลงน้ำและดำหายลงไป ซึ่งเหล่าทาสชายบนฝั่งก็หันมาพูดถากถางกับเจ้าอ่ำ

“ข้าว่า เอ็งก็สติไม่สมประดีเฉกเช่นไอ้ไผ่ ถึงได้เชื่อคำพูดของมัน”

เจ้าอ่ำหันไปแก้ต่าง
“ในเมื่อพวกเอ็งก็รู้ว่ามันเป็นบ้า แล้วเหตุใดต้องไปใส่ใจกับคำพูดของมันเล่า ถือเสียว่าเป็นลมพัดผ่านก็สิ้นเรื่องสิ้นราว”

“แต่พวกข้าไม่ชอบโว้ย..คอยดูเถอะ ถ้ามันจับปลาขึ้นมาไม่ได้ ข้าจะกระทืบมัน ให้สมกับความปากดีของมัน”

ผู้ฟังถอนใจเฮือก บรรดากลุ่มเพื่อนจึงคิดจะพาเจ้าอ่ำไปให้พ้นจากพวกคนพาล
“ช่างเถอะ หากพวกมันทำเช่นนั้นจริง เดี๋ยวนางเฒ่ามุตตาก็ไปอาละวาดกับพวกมันเอง” 

ซึ่งทาสในเรือนทุกคนต่างก็รู้ว่า นางเฒ่าเป็นผู้ที่เจ้าเมืองน้อยให้ความสำคัญมาแต่ไหนแต่ไร หากผู้ใดทำให้นางเฒ่าขุ่นเคืองและรู้ไปถึงหูเจ้าเมืองน้อย มันผู้นั้นก็จะได้รับโทษทัณฑ์ทันทีโดยไม่เอ่ยถาม ซึ่งหลายๆคนต่างสงสัยว่าเหตุใดเจ้าเมืองน้อยถึงได้ใส่ใจนางทาสชราผู้นี้นัก..แต่จนแล้วจนเล่า ก็ไม่มีผู้ใดหาคำตอบได้

 ขณะที่กลุ่มของอ่ำกำลังจะเดินจากไป สรษดาก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำพอดี

จากการแหวกว่ายไล่จับปลาอยู่ใต้น้ำ ดินโคลนที่ทาเนื้อตัวหลุดลอก เส้นผมยาวดำขลับเปียกแนบลู่กับแผ่นหลังขาวลออ ไร้ริ้วรอยใดๆ ดวงหน้าคมเข้มเงยขึ้นรับแสงอาทิตย์ยามสะบัดความเปียกชุ่มให้พ้นๆไป หยดน้ำพราวหยาดไหลจากเรียวคิ้วยาวพาดเฉียงเหนือดวงตาคมกริบล้อมกรอบด้วยแพขนตา จมูกโด่งเป็นสันเข้ารูปกับเรียวปากฉ่ำสีเรื่อ และแนวสันกรามคร้ามแกร่ง แผ่นอกหนากว้าง เริ่มมีกล้ามเนื้อแน่นขึ้นตามวัย ลำแขนทั้งสองข้างปรากฏเส้นเลือดปูดโปน ยามเกร็งนิ้วมือยึดแน่นอยู่กับหัวปลาช่อนตัวเขื่องที่ยังพยายามดิ้นรนออยู่ในมือทั้งสองข้าง

เหล่าทาสชายบนฝั่งถึงกับตะลึงตาค้างกับความงามแห่งบุรุษอันไร้ที่ติ รวมทั้งขนาดตัวปลาที่พวกเขาไม่เคยได้เห็นมาก่อนในชีวิต
สรษดาเดินเข้ามาใกล้ทาสอ่ำ พลางถาม
“ข้องของเอ็งอยู่ไหนล่ะ”

เจ้าอ่ำที่ยังตะลึงตาค้างทั้งคนทั้งปลา ถึงกับสะดุ้ง
“อ่ะ..เอ่อ..อยู่นี่” รีบกระวีกระวาดหยิบข้องของตนยื่นให้เด็กหนุ่มใส่ปลาลงไป ซึ่งเพียงแต่ตัวเดียวก็เต็มข้องแล้ว เจ้าอ่ำถึงกับยิ้มแก้มปริ
“เอ็งนี่ช่างแข็งแรงนัก เจ้าปลาตัวนี้ดิ้นแรงเหลือหลาย แต่เอ็งกลับถือมันได้ด้วยมือเดียว”

“นั่นสิ” ทาสชายกลุ่มเดียวกับอ่ำสำทับ พลางยกนิ้วให้เด็กหนุ่ม

“ขอบใจเอ็งมากนะ เจ้าปลาตัวนี้ทั้งใหญ่ทั้งอ้วน นอกจากแกงแล้ว ยังพอเหลือทำกับแกล้มให้พวกข้าอีกด้วย” แล้วก็หันไปชักชวนเพื่อนกลับบ้านไปตั้งวงเหล้า

เมื่อกลุ่มของอ่ำไปแล้ว สรษดาเตรียมใส่ปลาอีกตัวลงข้องของตน แต่อีกฝ่ายที่จ้องหาเรื่องกลับยื่นข้องของตนให้ตรงหน้า
“ข้าเองก็ต้องการปลาตัวนี้ ในเมื่อเอ็งมีความสามารถนัก คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่จะลงไปจับปลาตัวใหม่นะ”

เด็กหนุ่มพยายามข่มใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนตัดใจใส่ปลาตัวนั้นลงในข้องของอีกฝ่าย
“ใช่ มันไม่เหลือบ่ากว่าแรงของข้า”

“ขอบใจ” อีกฝ่ายตอบกลับด้วยสีหน้าเย้ยหยัน 

สรษดารีบผละเดินลงน้ำอีกครั้ง ก่อนที่ตนจะหมดความอดทน จับอีกฝ่ายเหวี่ยงลงกลางสระ    

และในขณะนั้น ที่เรือนใหญ่ เจ้าเมืองน้อยและผู้คนในเรือนกำลังต้อนรับการหมอยานามว่า มารุต ที่พวกเขาให้ความเคารพนับถือประดุจหมอเทวดา เพราะนอกจากหมอหนุ่มผู้นี้จะมาดูอาการให้ท่านเจ้าเมืองแล้ว ยังมียาบำรุงที่พอกินเข้าไปแล้วให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า แก้อาการปวดเมื่อยได้ชะงัดมาแจกจ่ายให้เหล่าทาสอย่างไม่มีตกหล่นสักคน

“ท่านเจ้าเมืองกำลังรอท่านหมออยู่เลยเจ้าค่ะ” บ่าวคนสนิทของภริยาท่านเจ้าเมืองเอ่ยปากเชื้อเชิญให้ขึ้นเรือน
แต่ขณะที่กำลังก้าวขา สายลมวูบหนึ่งพัดผ่านมา ทำให้ปรวาณในร่างของหมอยาถึงกับชะงักงันกับกลิ่นหอมที่เจือมาในสายลม 

‘ดอกอาสาพตี !’

รีบเหลียวมองไปตามทิศที่สายลมพัดมา พลางใช้ดวงตาเทพกวาดมองออกไปไกลหลายร้อยโยชน์ แต่กลับไม่เห็นที่มาของกลิ่นหอม เพราะเป็นจังหวะเดียวกันกับที่สรษดาด่ำดิ่งลงใต้ผืนน้ำ

“ท่านหมอ กำลังมองหาใครเรอะ” เจ้าเมืองน้อยเอ่ยถาม

ปรวาณจึงถอนสายตา หันกลับมาตอบเสียงราบเรียบ
“เมื่อครู่เหมือนว่าข้าเห็นคนรู้จักน่ะ..แต่คงตาฝาดไปเท่านั้น” แล้วก็เดินขึ้นเรือน แต่ความสงสัยยังคงแน่นในอก
 
(ต่อค่ะ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่