"เพื่อไทย"ชี้ฟื้นศก.ต้องพึ่งต่างประเทศอัด"ประยุทธ์"หยุดขายฝันมั่ว
https://www.posttoday.com/politic/news/682529
ทีมเศรษฐกิจเพื่อไทยจี้นายกฯเร่งเพิ่มรายได้คนไทยสู้เงินเฟ้อก่อนจะอดตายกันหมดและหยุดขายฝันมั่ว ชี้ฟื้นเศรษฐกิจไทยต้องพึ่งต่างประเทศจึงต้องเข้าพบหลายสถานทูตสร้างความมั่นใจ แนะหลักคิดเพื่อไทยฟื้นเศรษฐกิจได้แน่
เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม นาย
พิช้ย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า เงินเฟ้อในเดือนเมษายนอยู่ที่ 4.65% ทำให้เงินเฟ้อของ 4 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 4.71% ซึ่งสูงมาก อย่างไรก็ตามในเดือนพฤษภาคมนี้เงินเฟ้อน่าจะสูงเพิ่มขึ้นอีกจากราคาน้ำมันดีเซลที่รัฐบาลปล่อยให้ทะลุเกินลิตรละ 30 บาท เป็นลิตรละ 32 บาทและ อีกไม่นานคงจะถึงลิตรละ 35 บาท (ทั้งที่ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ราคาน้ำมันโลกก็ประมาณ 100 กว่าเหรียญนี้ แต่ยังสามารถตรึงราคาน้ำมันดีเซลได้ลิตรละต่ำกว่า 30 บาทได้) อีกทั้งค่าไฟฟ้าปรับขึ้นเป็นหน่วยละ 4 บาท และราคาก๊าซหุงต้มก็ปรับขึ้นอีก ซึ่งส่งผลให้ราคาสินค้าปรับขึ้นแทบทุกชนิด ทั้งราคาไข่ ราคาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ราคาหมู ราคาน้ำมันปาล์ม อาหารแทบทุกชนิดราคาเพิ่มขึ้นมาก และจะเพิ่มขึ้นอีกจากที่สมาคมขนส่งประกาศขึ้นค่าขนส่ง 20%
ทั้งนี้ หลังจากที่ราคาน้ำมันดีเซลทะลุเกิน 30 บาท สถานการณ์เงินเฟ้อ ข้าวของแพง พลเอกประยุทธ์ทำท่าจะเอาไม่อยู่ ซึ่งจะทำให้คนเดือนร้อนกันอย่างมาก ซึ่งเรื่องนี้คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้เตือนมาก่อนเป็นเดือนๆแล้วแต่พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เหมือนไม่เข้าใจและทำเหมือนไม่เดือดร้อน ล่าสุดพล.อ.
ประยุทธ์ประกาศว่าจะเพิ่มรายได้ให้คนไทยเฉลี่ยปีละ 300,000 บาท ซึ่งไม่รู้เอาความคิดนี้มาจากไหน น่าจะฝันตื่นมาเห็นตัวเลขเหมือนฝันเลขหวย เพราะที่ผ่านมาพล.อ.
ประยุทธ์ บริหารเศรษฐกิจของไทยได้ย่ำแย่มาตลอด เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำ จะไปเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนขนาดนั้นได้อย่างไร แนวคิดพัฒนาเศรษฐกิจยังโบราณมาก และไม่รู้ว่าเมาหรือเครียด พล.อ.
ประยุทธ์ยังได้กล้าประกาศว่า คนจนจะหมดไปในวันที่ 30 กันยายน 2565 นี้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย ไม่ต่างอะไรกับที่นาย
สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ ได้เคยประกาศไว้เช่นกันว่า คนจนจะหมดไปตั้งแต่ปี 2561 แต่หลังจากประกาศเศรษฐกิจไทยก็เละเทะมาตลอด คนจนกลับเพิ่มขึ้นมาก จนสุดท้ายต้องถูกปลดออกไป ดังนั้นการที่พล.อ.ประยุทธ์เลียนแบบนายสมคิดและประกาศตามก็คงเละตามกันไปเหมือนกัน คนจนจะยิ่งเพิ่มขึ้นอีกมาก และคนจะลำบากกันอย่างมากจนจะทนกันไม่ไหว
นาย
พิชัย กล่าวว่า จริงอยู่ สถานการณ์เงินเฟ้อเกิดขึ้นกับทั้งโลก แต่รัฐบาลที่ฉลาดและมีประสิทธิภาพเขาจะพัฒนาเศรษฐกิจให้ขยายตัวสูง ทำให้ ประชาชนของประเทศเขามีรายได้เพิ่มขึ้นเพื่อรับมือกับภาวะข้าวของแพงได้ แต่ประเทศ ไทยกลับทำตรงกันข้าม พล.อ.ประยุทธ์ด้อยความสามารถในการบริหารเศรษฐกิจ ทำให้คนไทยต้องเผชิญกับ เงินเฟ้อสูง ราคาข้าวของแพงแต่รายได้ไม่เพิ่ม ค่าแรงไม่เพิ่ม ราคาสินค้าเกษตรเพิ่มน้อยมาก ยังไม่พอกับราคาค่าปุ๋ยที่แพงขึ้นมาก คนหาเช้ากินค่ำค้าขายฝืดเคืองเพราะขายของไม่ดีคนไม่มีเงินซื้อ พอแม่ค้าตอบพล.อ.ประยุทธ์ว่าขายไม่ดี พล.อ.ประยุทธ์กลับเสนอให้ไปขายของชนิดอื่น ซึ่งแสดงถึงความไม่เข้าเลยว่าเศรษฐกิจไม่ดี ขายอะไรก็ไม่ดี เปลี่ยนของขายก็จะขายไม่ดี ทางที่ดีที่สุดคือการต้องเปลี่ยนนายกฯ ทันทีอย่างเดียว และหานายกที่เก่งเศรษฐกิจมาบริหารถึงจะขายของได้ดี คนมีรายได้เพิ่ม
"ผมอยากให้พล.อ.ประยุทธ์ไปศึกษา 5 แนวทางที่น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เสนอไว้แล้ว คือ การกระจายอำนาจ ดึงศักยภาพคนไทยด้วย Soft Power การใช้ AI เพื่อการเกษตร การปรับภาครัฐและภาคเอกชนเข้าสู่ Digital Transformation และ การเตรียมคนไทยเข้า Metaverse ซึ่งสามารถเปลี่ยนประเทศ และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต อีกทั้งจะเพิ่มรายได้ของประชาชนให้มากขึ้นได้อย่างแน่นอน อย่าอ้างแก้ตัวมั่วว่าได้ทำแล้วทั้งที่ตัวเองยังไม่เข้าใจเลย แล้วจะทำได้อย่างไร และพรรคเพื่อไทยยังจะมีนโยบายเศรษฐกิจที่จะฟื้นฟูประเทศไทยออกมาอีกมากที่จะประกาศเมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ โดยเศรษฐกิจไทยเป็นเศรษฐกิจเล็กและเป็นเศรษฐกิจเปิด ดังนั้นไทยจึงจำเป็นจะต้องพึ่งเศรษฐกิจโลกในการฟื้นฟูและพัฒนา และนั่นเป็นเหตุผลที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยเดินสายพบประเทศต่างๆ เช่น สถานทูตสหรัฐอเมริกา สถานทูตจีน สถานทูตเกาหลีใต้ สถานทูตออสเตรเลีย ฯลฯ เพื่อแลกเปลี่ยนและรับฟังความคิดเห็นเพื่อนำมาปรับปรุงและขอความร่วมมือ หากได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้เป็นรัฐบาล ดังนั้นจึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ได้ศึกษาแนวคิดทางเศรษฐกิจของพรรคไทยรักไทยจนมาถึงพรรคเพื่อไทยเป็นแบบอย่าง" นาย
พิชัยกล่าว
สำหรับ ในเรื่องของภาวะเงินเฟ้อ ล่าสุดธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) ประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.5% เป็นการขึ้นครั้งเดียวสูงสุดในรอบ 20 ปี ทั้งนี้เพื่อสกัดเงินเฟ้อในสหรัฐที่ยังคงพุ่งสูงถึง 8.5% และยังมีแนวโน้มว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีกในเร็วๆนี้และมีการคาดกันว่าอาจจะขึ้นดอกเบี้ยอีกถึง 0.75% ในครั้งเดียวในอีกไม่นานนี้ ซึ่งสร้างความสั่นสะเทือนให้กับตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลก ซึ่งประเทศไทยเองก็จะหนีไม่พ้นที่จะต้องขึ้นดอกเบี้ยตาม ซึ่งจะเป็นภาระต้นทุนทางการเงินที่จะเพิ่มขึ้น ถ้าไทยไม่ขึ้นดอกเบี้ย เงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่ไทยมีอาจจะไหลออกไปต่างประเทศได้ทั้งจากนักลงทุนต่างประเทศและนักลงทุนไทยเอง เพื่อหาผลตอบแทนที่สูงกว่า และจากข้อมูลที่ได้รับ ได้มีการโยกย้ายเงินทุนต่างประเทศออกจากประเทศไทยไปบ้างแล้ว และค่าเงินบาทก็อ่อนค่าลงมามาก แต่ก็จะเป็นประโยชน์กับการส่งออก
อย่างไรก็ตาม การกู้เงิน 50,000 ล้านเยนในภาวะปัจจุบันที่ค่าเงินเยนอ่อนค่ามากสุดประมาณ 130 เยนต่อเหรียญสหรัฐซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี น่าจะเป็นการตัดสินใจที่ไม่ฉลาด เพราะแม้อัตราดอกเบี้ยจะต่ำมาก (0.01%) แต่หากในอนาคตค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้น ไทยจะต้องจ่ายหนี้คืนในจำนวนเงินที่สูงกว่า และจะสูงกว่าค่าดอกเบี้ยด้วยซ้ำ จึงน่าจะต้องพิจารณาให้ดี และในอดีตไทยเคยมีประสบการณ์กู้เงินเยนดอกเบี้ย 0% แต่เจอค่าเงินเยนแข็งค่ามากทำให้ขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนอย่างมากมาแล้ว
นาย
พิชัย กล่าวว่า ในภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน มีวิกฤตซ้อนวิกฤต ประเทศต้องการผู้นำที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริงเพื่อนำพาประเทศให้ฝ่าพ้นวิกฤตไปได้ โดยรัฐบาลจะต้องเร่งเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนในทุกทางเพื่อให้ประคองผ่านภาวะแพงทั้งแผ่นดินในปัจจุบันได้ ถ้าบริหารประเทศมา 8 ปี ประเทศไม่ได้ไปถึงไหน แล้วคิดได้แค่จะขายฝันไปวันๆด้วยมุขเก่าๆ เช่น คนจนจะหมดไป จะเพิ่มรายได้ประชาชน จะเป็นประเทศรายได้สูง คงไม่มีคนโง่ที่ไหนจะเชื่อแล้ว สมควรจะต้องรู้ตัวเองและออกไปได้แล้ว และ พรรคร่วมรัฐบาลก็ควรจะตาสว่างมองเห็นเช่นกัน ก่อนประชาชนจะอดตายกันหมด
น้ำมันแพงเดือดร้อนทั่ว รถดูดส้วมโอดยอมเจ็บแบกภาระ ห่วงคนเดือดร้อน
https://www.dailynews.co.th/news/1030145/
ผลกระทบน้ำมันแพงขยายวงกว้าง ทุกสาขาอาชีพเดือดร้อนทั่วหน้า ด้านผู้ประกอบการรถดูดสิ่งปฏิกูลใน จ.กาฬสินธุ์ ออกมาเรียกร้องรัฐเร่งปรับลดราคา เพราะแบกรับภาระค่าใช่จ่ายไม่ไหว ปรับขึ้นค่าบริการจากเดิมครั้งละ 100 บาท เป็น 120 บาท
เมื่อวันที่ 9 พ.ค. จากภาวะน้ำมันแพงและมีแนวโน้มขึ้นราคาอย่างต่อเนื่องได้ส่งผลกระทบต่อสภาพความเป็นอยู่และการประกอบอาชีพของประชาชนทุกสาขาอาชีพเป็นอย่างมาก เนื่องจากราคาขนส่งและราคาสินค้าอุปโภค บริโภค ตามท้องตลาดปรับตัวสูงขึ้นตามกลไกตลาดแทบทุกรายการ เพราะพ่อค้า แม่ค้า อ้างว่าค่าขนส่งสูงขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการรถดูดสิ่งปฏิกูลหลายรายที่ขับรถตระเวนหาลูกค้าเพื่อให้บริการดูดส้วมกลับตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ เพราะได้ค่าบริการเพียงครั้งละ 120 บาทเท่านั้น
นายอุทัย ศรีบุญลำ อายุ 62 ปี ผู้ประกอบการรถดูดสิ่งปฏิกูล กล่าวว่า ยึดอาชีพรถดูดสิ่งปฏิกูลเป็นอาชีพหลักมาประมาณ 10 ปี โดยจะขับรถตะเวนหาลูกค้าไปตามหมู่บ้านต่างๆ ในพื้นที่ ต.คลองขาม ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบการ โดยชำระค่าใบอนุญาตปีละ 5,000 บาท ได้ลูกค้าวันละ 5-10 ราย คิดค่าบริการครั้งละ 100 บาท ทั้งนี้ มีรายจ่ายคือค่าแรงคนงาน 2 คน คนละ 300 บาทต่อวัน น้ำมันวันละ 500 บาท รายจ่ายเฉลี่ยวันละ 1,100 บาท บางวันก็ไม่ได้ลูกค้า เฉลี่ยรายได้พอเลี้ยงครอบครัว แต่พอมาถึงปีนี้ที่ราคาน้ำมันสูงขึ้น ขณะที่มีผู้ประกอบการอาชีพเดียวกันในพื้นที่อีก 2 ราย จึงต้องขยันวิ่งหาลูกค้า และจุดทิ้งสิ่งปฏิกูลที่ อบต.คลองขาม กำหนดให้ก็ระยะทางไกลทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น
นายอุทัย กล่าวอีกว่า เมื่อประสบปัญหาราคาน้ำมันแพงทาง อบต.คลองขาม ที่เป็นผู้ให้อนุญาตประกอบการดูดสิ่งปฏิกูลในพื้นที่ได้เพิ่มอัตราค่าบริการจากเดิม 100 บาท เป็น 120 บาทต่อครั้ง ทั้งนี้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ขณะที่ใจจริงแล้วตนและผู้ประกอบการทุกคนก็อยากได้เพิ่มกว่านี้ แต่ด้วยความเห็นอกเห็นใจชาวบ้านที่เป็นผู้รับบริการ ซึ่งทุกครอบครัวต่างก็ได้รับความเดือดร้อนจากภาวะค่าครองชีพที่เพิ่มสูง ราคาขายผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ จะเพิ่มราคาก็ไม่ได้ จึงอยู่ในสภาพยอมเจ็บทนแบกรับภาระค่าใช้จ่ายกันต่อไป อย่างไรก็ตาม อยากเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพงด้วย เพราะผู้ประกอบการรถดูดสิ่งปฏิกูลและประชาชนทุกสาขาอาชีพเดือดร้อนมาก ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากราคาน้ำมันแพงดังกล่าว
ผู้ผลิตแห่ส่งออกน้ำมันปาล์มดิบพุ่ง 7 เท่า เลี่ยงรัฐควบคุมราคาขายปลีกในประเทศ
https://www.thairath.co.th/business/economics/2387585
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ผู้ผลิตน้ำมันปาล์มบรรจุขวดเพื่อการบริโภค ประสบปัญหาต้นทุนผลิตเพิ่มขึ้นมาก หลังราคาน้ำมันปาล์มดิบ (ซีพีโอ) ในตลาดโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มาอยู่ที่กิโลกรัม (กก.) ละ 62-63 บาท จากช่วงก่อนเทศกาลสงกรานต์ อยู่ที่ กก.ละ 53 บาท ส่วนผลปาล์มสดอยู่ที่ กก.ละเกือบ 13 บาท จากราคาในโครงการประกันรายได้ผู้ปลูกปาล์มที่ไม่ต่ำกว่า กก.ละ 4 บาท สูงกว่า 3 เท่า ส่งผลให้ราคาขายน้ำมันปาล์มขวดในขณะนี้ต้องขึ้นไปสูงถึงขวดละ 77-78 บาทแล้ว แต่กระทรวงพาณิชย์ยังขอความร่วมมือให้ตรึงขายไม่เกินขวดละ 70 บาท สร้างความลำบากใจให้แก่ผู้ผลิตที่ต้องขายต่ำกว่าทุน
ทั้งนี้ ทำให้ผู้ผลิตปาล์มขวดบางรายเริ่มชะลอการผลิต แต่บางรายพยายามช่วยผู้บริโภคด้วยการนำสต๊อกซีพีโอเก่ามาผลิตอยู่ แต่สต๊อกเก่าจะหมดลงแล้ว ขณะที่บางรายนำน้ำมันจากพืชชนิดอื่นมาผสมกับน้ำมันปาล์ม และมีอีกหลายรายเริ่มส่งออกซีพีโอแล้ว เพราะได้ราคาดีกว่า จากการที่ไม่ต้องถูกรัฐควบคุม ทำให้เดือน มี.ค.65 ไทยส่งออกซีพีโอมากถึง 112,000 ตัน เพิ่มขึ้นถึง 7 เท่าตัวจากเดือน ก.พ.65 ที่ส่งออกเพียง 15,877 ตัน ส่วนเดือน เม.ย.65 ยังมียอดส่งออกสูง เพราะราคาตลาดโลกยังอยู่ในระดับสูง.
JJNY : "เพื่อไทย"อัดหยุดขายฝัน│น้ำมันแพง รถดูดส้วมโอด│แห่ส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ│แม่ค้าโวยร้านถูกรื้อ หมอคนดังโพสต์ข่มขู่
https://www.posttoday.com/politic/news/682529
ทีมเศรษฐกิจเพื่อไทยจี้นายกฯเร่งเพิ่มรายได้คนไทยสู้เงินเฟ้อก่อนจะอดตายกันหมดและหยุดขายฝันมั่ว ชี้ฟื้นเศรษฐกิจไทยต้องพึ่งต่างประเทศจึงต้องเข้าพบหลายสถานทูตสร้างความมั่นใจ แนะหลักคิดเพื่อไทยฟื้นเศรษฐกิจได้แน่
เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม นายพิช้ย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า เงินเฟ้อในเดือนเมษายนอยู่ที่ 4.65% ทำให้เงินเฟ้อของ 4 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 4.71% ซึ่งสูงมาก อย่างไรก็ตามในเดือนพฤษภาคมนี้เงินเฟ้อน่าจะสูงเพิ่มขึ้นอีกจากราคาน้ำมันดีเซลที่รัฐบาลปล่อยให้ทะลุเกินลิตรละ 30 บาท เป็นลิตรละ 32 บาทและ อีกไม่นานคงจะถึงลิตรละ 35 บาท (ทั้งที่ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ราคาน้ำมันโลกก็ประมาณ 100 กว่าเหรียญนี้ แต่ยังสามารถตรึงราคาน้ำมันดีเซลได้ลิตรละต่ำกว่า 30 บาทได้) อีกทั้งค่าไฟฟ้าปรับขึ้นเป็นหน่วยละ 4 บาท และราคาก๊าซหุงต้มก็ปรับขึ้นอีก ซึ่งส่งผลให้ราคาสินค้าปรับขึ้นแทบทุกชนิด ทั้งราคาไข่ ราคาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ราคาหมู ราคาน้ำมันปาล์ม อาหารแทบทุกชนิดราคาเพิ่มขึ้นมาก และจะเพิ่มขึ้นอีกจากที่สมาคมขนส่งประกาศขึ้นค่าขนส่ง 20%
ทั้งนี้ หลังจากที่ราคาน้ำมันดีเซลทะลุเกิน 30 บาท สถานการณ์เงินเฟ้อ ข้าวของแพง พลเอกประยุทธ์ทำท่าจะเอาไม่อยู่ ซึ่งจะทำให้คนเดือนร้อนกันอย่างมาก ซึ่งเรื่องนี้คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้เตือนมาก่อนเป็นเดือนๆแล้วแต่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เหมือนไม่เข้าใจและทำเหมือนไม่เดือดร้อน ล่าสุดพล.อ.ประยุทธ์ประกาศว่าจะเพิ่มรายได้ให้คนไทยเฉลี่ยปีละ 300,000 บาท ซึ่งไม่รู้เอาความคิดนี้มาจากไหน น่าจะฝันตื่นมาเห็นตัวเลขเหมือนฝันเลขหวย เพราะที่ผ่านมาพล.อ.ประยุทธ์ บริหารเศรษฐกิจของไทยได้ย่ำแย่มาตลอด เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำ จะไปเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนขนาดนั้นได้อย่างไร แนวคิดพัฒนาเศรษฐกิจยังโบราณมาก และไม่รู้ว่าเมาหรือเครียด พล.อ.ประยุทธ์ยังได้กล้าประกาศว่า คนจนจะหมดไปในวันที่ 30 กันยายน 2565 นี้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย ไม่ต่างอะไรกับที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ ได้เคยประกาศไว้เช่นกันว่า คนจนจะหมดไปตั้งแต่ปี 2561 แต่หลังจากประกาศเศรษฐกิจไทยก็เละเทะมาตลอด คนจนกลับเพิ่มขึ้นมาก จนสุดท้ายต้องถูกปลดออกไป ดังนั้นการที่พล.อ.ประยุทธ์เลียนแบบนายสมคิดและประกาศตามก็คงเละตามกันไปเหมือนกัน คนจนจะยิ่งเพิ่มขึ้นอีกมาก และคนจะลำบากกันอย่างมากจนจะทนกันไม่ไหว
นายพิชัย กล่าวว่า จริงอยู่ สถานการณ์เงินเฟ้อเกิดขึ้นกับทั้งโลก แต่รัฐบาลที่ฉลาดและมีประสิทธิภาพเขาจะพัฒนาเศรษฐกิจให้ขยายตัวสูง ทำให้ ประชาชนของประเทศเขามีรายได้เพิ่มขึ้นเพื่อรับมือกับภาวะข้าวของแพงได้ แต่ประเทศ ไทยกลับทำตรงกันข้าม พล.อ.ประยุทธ์ด้อยความสามารถในการบริหารเศรษฐกิจ ทำให้คนไทยต้องเผชิญกับ เงินเฟ้อสูง ราคาข้าวของแพงแต่รายได้ไม่เพิ่ม ค่าแรงไม่เพิ่ม ราคาสินค้าเกษตรเพิ่มน้อยมาก ยังไม่พอกับราคาค่าปุ๋ยที่แพงขึ้นมาก คนหาเช้ากินค่ำค้าขายฝืดเคืองเพราะขายของไม่ดีคนไม่มีเงินซื้อ พอแม่ค้าตอบพล.อ.ประยุทธ์ว่าขายไม่ดี พล.อ.ประยุทธ์กลับเสนอให้ไปขายของชนิดอื่น ซึ่งแสดงถึงความไม่เข้าเลยว่าเศรษฐกิจไม่ดี ขายอะไรก็ไม่ดี เปลี่ยนของขายก็จะขายไม่ดี ทางที่ดีที่สุดคือการต้องเปลี่ยนนายกฯ ทันทีอย่างเดียว และหานายกที่เก่งเศรษฐกิจมาบริหารถึงจะขายของได้ดี คนมีรายได้เพิ่ม
"ผมอยากให้พล.อ.ประยุทธ์ไปศึกษา 5 แนวทางที่น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เสนอไว้แล้ว คือ การกระจายอำนาจ ดึงศักยภาพคนไทยด้วย Soft Power การใช้ AI เพื่อการเกษตร การปรับภาครัฐและภาคเอกชนเข้าสู่ Digital Transformation และ การเตรียมคนไทยเข้า Metaverse ซึ่งสามารถเปลี่ยนประเทศ และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต อีกทั้งจะเพิ่มรายได้ของประชาชนให้มากขึ้นได้อย่างแน่นอน อย่าอ้างแก้ตัวมั่วว่าได้ทำแล้วทั้งที่ตัวเองยังไม่เข้าใจเลย แล้วจะทำได้อย่างไร และพรรคเพื่อไทยยังจะมีนโยบายเศรษฐกิจที่จะฟื้นฟูประเทศไทยออกมาอีกมากที่จะประกาศเมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ โดยเศรษฐกิจไทยเป็นเศรษฐกิจเล็กและเป็นเศรษฐกิจเปิด ดังนั้นไทยจึงจำเป็นจะต้องพึ่งเศรษฐกิจโลกในการฟื้นฟูและพัฒนา และนั่นเป็นเหตุผลที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยเดินสายพบประเทศต่างๆ เช่น สถานทูตสหรัฐอเมริกา สถานทูตจีน สถานทูตเกาหลีใต้ สถานทูตออสเตรเลีย ฯลฯ เพื่อแลกเปลี่ยนและรับฟังความคิดเห็นเพื่อนำมาปรับปรุงและขอความร่วมมือ หากได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้เป็นรัฐบาล ดังนั้นจึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ได้ศึกษาแนวคิดทางเศรษฐกิจของพรรคไทยรักไทยจนมาถึงพรรคเพื่อไทยเป็นแบบอย่าง" นายพิชัยกล่าว
สำหรับ ในเรื่องของภาวะเงินเฟ้อ ล่าสุดธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) ประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.5% เป็นการขึ้นครั้งเดียวสูงสุดในรอบ 20 ปี ทั้งนี้เพื่อสกัดเงินเฟ้อในสหรัฐที่ยังคงพุ่งสูงถึง 8.5% และยังมีแนวโน้มว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีกในเร็วๆนี้และมีการคาดกันว่าอาจจะขึ้นดอกเบี้ยอีกถึง 0.75% ในครั้งเดียวในอีกไม่นานนี้ ซึ่งสร้างความสั่นสะเทือนให้กับตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลก ซึ่งประเทศไทยเองก็จะหนีไม่พ้นที่จะต้องขึ้นดอกเบี้ยตาม ซึ่งจะเป็นภาระต้นทุนทางการเงินที่จะเพิ่มขึ้น ถ้าไทยไม่ขึ้นดอกเบี้ย เงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่ไทยมีอาจจะไหลออกไปต่างประเทศได้ทั้งจากนักลงทุนต่างประเทศและนักลงทุนไทยเอง เพื่อหาผลตอบแทนที่สูงกว่า และจากข้อมูลที่ได้รับ ได้มีการโยกย้ายเงินทุนต่างประเทศออกจากประเทศไทยไปบ้างแล้ว และค่าเงินบาทก็อ่อนค่าลงมามาก แต่ก็จะเป็นประโยชน์กับการส่งออก
อย่างไรก็ตาม การกู้เงิน 50,000 ล้านเยนในภาวะปัจจุบันที่ค่าเงินเยนอ่อนค่ามากสุดประมาณ 130 เยนต่อเหรียญสหรัฐซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี น่าจะเป็นการตัดสินใจที่ไม่ฉลาด เพราะแม้อัตราดอกเบี้ยจะต่ำมาก (0.01%) แต่หากในอนาคตค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้น ไทยจะต้องจ่ายหนี้คืนในจำนวนเงินที่สูงกว่า และจะสูงกว่าค่าดอกเบี้ยด้วยซ้ำ จึงน่าจะต้องพิจารณาให้ดี และในอดีตไทยเคยมีประสบการณ์กู้เงินเยนดอกเบี้ย 0% แต่เจอค่าเงินเยนแข็งค่ามากทำให้ขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนอย่างมากมาแล้ว
นายพิชัย กล่าวว่า ในภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน มีวิกฤตซ้อนวิกฤต ประเทศต้องการผู้นำที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริงเพื่อนำพาประเทศให้ฝ่าพ้นวิกฤตไปได้ โดยรัฐบาลจะต้องเร่งเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนในทุกทางเพื่อให้ประคองผ่านภาวะแพงทั้งแผ่นดินในปัจจุบันได้ ถ้าบริหารประเทศมา 8 ปี ประเทศไม่ได้ไปถึงไหน แล้วคิดได้แค่จะขายฝันไปวันๆด้วยมุขเก่าๆ เช่น คนจนจะหมดไป จะเพิ่มรายได้ประชาชน จะเป็นประเทศรายได้สูง คงไม่มีคนโง่ที่ไหนจะเชื่อแล้ว สมควรจะต้องรู้ตัวเองและออกไปได้แล้ว และ พรรคร่วมรัฐบาลก็ควรจะตาสว่างมองเห็นเช่นกัน ก่อนประชาชนจะอดตายกันหมด
น้ำมันแพงเดือดร้อนทั่ว รถดูดส้วมโอดยอมเจ็บแบกภาระ ห่วงคนเดือดร้อน
https://www.dailynews.co.th/news/1030145/
ผลกระทบน้ำมันแพงขยายวงกว้าง ทุกสาขาอาชีพเดือดร้อนทั่วหน้า ด้านผู้ประกอบการรถดูดสิ่งปฏิกูลใน จ.กาฬสินธุ์ ออกมาเรียกร้องรัฐเร่งปรับลดราคา เพราะแบกรับภาระค่าใช่จ่ายไม่ไหว ปรับขึ้นค่าบริการจากเดิมครั้งละ 100 บาท เป็น 120 บาท
เมื่อวันที่ 9 พ.ค. จากภาวะน้ำมันแพงและมีแนวโน้มขึ้นราคาอย่างต่อเนื่องได้ส่งผลกระทบต่อสภาพความเป็นอยู่และการประกอบอาชีพของประชาชนทุกสาขาอาชีพเป็นอย่างมาก เนื่องจากราคาขนส่งและราคาสินค้าอุปโภค บริโภค ตามท้องตลาดปรับตัวสูงขึ้นตามกลไกตลาดแทบทุกรายการ เพราะพ่อค้า แม่ค้า อ้างว่าค่าขนส่งสูงขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการรถดูดสิ่งปฏิกูลหลายรายที่ขับรถตระเวนหาลูกค้าเพื่อให้บริการดูดส้วมกลับตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ เพราะได้ค่าบริการเพียงครั้งละ 120 บาทเท่านั้น
นายอุทัย ศรีบุญลำ อายุ 62 ปี ผู้ประกอบการรถดูดสิ่งปฏิกูล กล่าวว่า ยึดอาชีพรถดูดสิ่งปฏิกูลเป็นอาชีพหลักมาประมาณ 10 ปี โดยจะขับรถตะเวนหาลูกค้าไปตามหมู่บ้านต่างๆ ในพื้นที่ ต.คลองขาม ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบการ โดยชำระค่าใบอนุญาตปีละ 5,000 บาท ได้ลูกค้าวันละ 5-10 ราย คิดค่าบริการครั้งละ 100 บาท ทั้งนี้ มีรายจ่ายคือค่าแรงคนงาน 2 คน คนละ 300 บาทต่อวัน น้ำมันวันละ 500 บาท รายจ่ายเฉลี่ยวันละ 1,100 บาท บางวันก็ไม่ได้ลูกค้า เฉลี่ยรายได้พอเลี้ยงครอบครัว แต่พอมาถึงปีนี้ที่ราคาน้ำมันสูงขึ้น ขณะที่มีผู้ประกอบการอาชีพเดียวกันในพื้นที่อีก 2 ราย จึงต้องขยันวิ่งหาลูกค้า และจุดทิ้งสิ่งปฏิกูลที่ อบต.คลองขาม กำหนดให้ก็ระยะทางไกลทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น
นายอุทัย กล่าวอีกว่า เมื่อประสบปัญหาราคาน้ำมันแพงทาง อบต.คลองขาม ที่เป็นผู้ให้อนุญาตประกอบการดูดสิ่งปฏิกูลในพื้นที่ได้เพิ่มอัตราค่าบริการจากเดิม 100 บาท เป็น 120 บาทต่อครั้ง ทั้งนี้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ขณะที่ใจจริงแล้วตนและผู้ประกอบการทุกคนก็อยากได้เพิ่มกว่านี้ แต่ด้วยความเห็นอกเห็นใจชาวบ้านที่เป็นผู้รับบริการ ซึ่งทุกครอบครัวต่างก็ได้รับความเดือดร้อนจากภาวะค่าครองชีพที่เพิ่มสูง ราคาขายผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ จะเพิ่มราคาก็ไม่ได้ จึงอยู่ในสภาพยอมเจ็บทนแบกรับภาระค่าใช้จ่ายกันต่อไป อย่างไรก็ตาม อยากเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพงด้วย เพราะผู้ประกอบการรถดูดสิ่งปฏิกูลและประชาชนทุกสาขาอาชีพเดือดร้อนมาก ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากราคาน้ำมันแพงดังกล่าว
ผู้ผลิตแห่ส่งออกน้ำมันปาล์มดิบพุ่ง 7 เท่า เลี่ยงรัฐควบคุมราคาขายปลีกในประเทศ
https://www.thairath.co.th/business/economics/2387585
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ผู้ผลิตน้ำมันปาล์มบรรจุขวดเพื่อการบริโภค ประสบปัญหาต้นทุนผลิตเพิ่มขึ้นมาก หลังราคาน้ำมันปาล์มดิบ (ซีพีโอ) ในตลาดโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มาอยู่ที่กิโลกรัม (กก.) ละ 62-63 บาท จากช่วงก่อนเทศกาลสงกรานต์ อยู่ที่ กก.ละ 53 บาท ส่วนผลปาล์มสดอยู่ที่ กก.ละเกือบ 13 บาท จากราคาในโครงการประกันรายได้ผู้ปลูกปาล์มที่ไม่ต่ำกว่า กก.ละ 4 บาท สูงกว่า 3 เท่า ส่งผลให้ราคาขายน้ำมันปาล์มขวดในขณะนี้ต้องขึ้นไปสูงถึงขวดละ 77-78 บาทแล้ว แต่กระทรวงพาณิชย์ยังขอความร่วมมือให้ตรึงขายไม่เกินขวดละ 70 บาท สร้างความลำบากใจให้แก่ผู้ผลิตที่ต้องขายต่ำกว่าทุน
ทั้งนี้ ทำให้ผู้ผลิตปาล์มขวดบางรายเริ่มชะลอการผลิต แต่บางรายพยายามช่วยผู้บริโภคด้วยการนำสต๊อกซีพีโอเก่ามาผลิตอยู่ แต่สต๊อกเก่าจะหมดลงแล้ว ขณะที่บางรายนำน้ำมันจากพืชชนิดอื่นมาผสมกับน้ำมันปาล์ม และมีอีกหลายรายเริ่มส่งออกซีพีโอแล้ว เพราะได้ราคาดีกว่า จากการที่ไม่ต้องถูกรัฐควบคุม ทำให้เดือน มี.ค.65 ไทยส่งออกซีพีโอมากถึง 112,000 ตัน เพิ่มขึ้นถึง 7 เท่าตัวจากเดือน ก.พ.65 ที่ส่งออกเพียง 15,877 ตัน ส่วนเดือน เม.ย.65 ยังมียอดส่งออกสูง เพราะราคาตลาดโลกยังอยู่ในระดับสูง.