JJNY : "เพื่อไทย"อัดหยุดขายฝัน│น้ำมันแพง รถดูดส้วมโอด│แห่ส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ│แม่ค้าโวยร้านถูกรื้อ หมอคนดังโพสต์ข่มขู่

"เพื่อไทย"ชี้ฟื้นศก.ต้องพึ่งต่างประเทศอัด"ประยุทธ์"หยุดขายฝันมั่ว
https://www.posttoday.com/politic/news/682529
 
 
ทีมเศรษฐกิจเพื่อไทยจี้นายกฯเร่งเพิ่มรายได้คนไทยสู้เงินเฟ้อก่อนจะอดตายกันหมดและหยุดขายฝันมั่ว ชี้ฟื้นเศรษฐกิจไทยต้องพึ่งต่างประเทศจึงต้องเข้าพบหลายสถานทูตสร้างความมั่นใจ แนะหลักคิดเพื่อไทยฟื้นเศรษฐกิจได้แน่
 
เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม นายพิช้ย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า เงินเฟ้อในเดือนเมษายนอยู่ที่ 4.65% ทำให้เงินเฟ้อของ 4 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 4.71% ซึ่งสูงมาก อย่างไรก็ตามในเดือนพฤษภาคมนี้เงินเฟ้อน่าจะสูงเพิ่มขึ้นอีกจากราคาน้ำมันดีเซลที่รัฐบาลปล่อยให้ทะลุเกินลิตรละ 30 บาท เป็นลิตรละ 32 บาทและ อีกไม่นานคงจะถึงลิตรละ 35 บาท (ทั้งที่ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ราคาน้ำมันโลกก็ประมาณ 100 กว่าเหรียญนี้ แต่ยังสามารถตรึงราคาน้ำมันดีเซลได้ลิตรละต่ำกว่า 30 บาทได้) อีกทั้งค่าไฟฟ้าปรับขึ้นเป็นหน่วยละ 4 บาท และราคาก๊าซหุงต้มก็ปรับขึ้นอีก ซึ่งส่งผลให้ราคาสินค้าปรับขึ้นแทบทุกชนิด ทั้งราคาไข่ ราคาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ราคาหมู ราคาน้ำมันปาล์ม อาหารแทบทุกชนิดราคาเพิ่มขึ้นมาก และจะเพิ่มขึ้นอีกจากที่สมาคมขนส่งประกาศขึ้นค่าขนส่ง 20%
 
ทั้งนี้ หลังจากที่ราคาน้ำมันดีเซลทะลุเกิน 30 บาท สถานการณ์เงินเฟ้อ ข้าวของแพง พลเอกประยุทธ์ทำท่าจะเอาไม่อยู่ ซึ่งจะทำให้คนเดือนร้อนกันอย่างมาก ซึ่งเรื่องนี้คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้เตือนมาก่อนเป็นเดือนๆแล้วแต่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เหมือนไม่เข้าใจและทำเหมือนไม่เดือดร้อน ล่าสุดพล.อ.ประยุทธ์ประกาศว่าจะเพิ่มรายได้ให้คนไทยเฉลี่ยปีละ 300,000 บาท ซึ่งไม่รู้เอาความคิดนี้มาจากไหน น่าจะฝันตื่นมาเห็นตัวเลขเหมือนฝันเลขหวย เพราะที่ผ่านมาพล.อ.ประยุทธ์ บริหารเศรษฐกิจของไทยได้ย่ำแย่มาตลอด เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำ จะไปเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนขนาดนั้นได้อย่างไร แนวคิดพัฒนาเศรษฐกิจยังโบราณมาก และไม่รู้ว่าเมาหรือเครียด พล.อ.ประยุทธ์ยังได้กล้าประกาศว่า คนจนจะหมดไปในวันที่ 30 กันยายน 2565 นี้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย ไม่ต่างอะไรกับที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ ได้เคยประกาศไว้เช่นกันว่า คนจนจะหมดไปตั้งแต่ปี 2561 แต่หลังจากประกาศเศรษฐกิจไทยก็เละเทะมาตลอด คนจนกลับเพิ่มขึ้นมาก จนสุดท้ายต้องถูกปลดออกไป ดังนั้นการที่พล.อ.ประยุทธ์เลียนแบบนายสมคิดและประกาศตามก็คงเละตามกันไปเหมือนกัน คนจนจะยิ่งเพิ่มขึ้นอีกมาก และคนจะลำบากกันอย่างมากจนจะทนกันไม่ไหว
 
นายพิชัย กล่าวว่า จริงอยู่ สถานการณ์เงินเฟ้อเกิดขึ้นกับทั้งโลก แต่รัฐบาลที่ฉลาดและมีประสิทธิภาพเขาจะพัฒนาเศรษฐกิจให้ขยายตัวสูง ทำให้ ประชาชนของประเทศเขามีรายได้เพิ่มขึ้นเพื่อรับมือกับภาวะข้าวของแพงได้ แต่ประเทศ ไทยกลับทำตรงกันข้าม พล.อ.ประยุทธ์ด้อยความสามารถในการบริหารเศรษฐกิจ ทำให้คนไทยต้องเผชิญกับ เงินเฟ้อสูง ราคาข้าวของแพงแต่รายได้ไม่เพิ่ม ค่าแรงไม่เพิ่ม ราคาสินค้าเกษตรเพิ่มน้อยมาก ยังไม่พอกับราคาค่าปุ๋ยที่แพงขึ้นมาก คนหาเช้ากินค่ำค้าขายฝืดเคืองเพราะขายของไม่ดีคนไม่มีเงินซื้อ พอแม่ค้าตอบพล.อ.ประยุทธ์ว่าขายไม่ดี พล.อ.ประยุทธ์กลับเสนอให้ไปขายของชนิดอื่น ซึ่งแสดงถึงความไม่เข้าเลยว่าเศรษฐกิจไม่ดี ขายอะไรก็ไม่ดี เปลี่ยนของขายก็จะขายไม่ดี ทางที่ดีที่สุดคือการต้องเปลี่ยนนายกฯ ทันทีอย่างเดียว และหานายกที่เก่งเศรษฐกิจมาบริหารถึงจะขายของได้ดี คนมีรายได้เพิ่ม
 
"ผมอยากให้พล.อ.ประยุทธ์ไปศึกษา 5 แนวทางที่น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เสนอไว้แล้ว คือ การกระจายอำนาจ ดึงศักยภาพคนไทยด้วย Soft Power การใช้ AI เพื่อการเกษตร การปรับภาครัฐและภาคเอกชนเข้าสู่ Digital Transformation และ การเตรียมคนไทยเข้า Metaverse ซึ่งสามารถเปลี่ยนประเทศ และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต อีกทั้งจะเพิ่มรายได้ของประชาชนให้มากขึ้นได้อย่างแน่นอน อย่าอ้างแก้ตัวมั่วว่าได้ทำแล้วทั้งที่ตัวเองยังไม่เข้าใจเลย แล้วจะทำได้อย่างไร และพรรคเพื่อไทยยังจะมีนโยบายเศรษฐกิจที่จะฟื้นฟูประเทศไทยออกมาอีกมากที่จะประกาศเมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ โดยเศรษฐกิจไทยเป็นเศรษฐกิจเล็กและเป็นเศรษฐกิจเปิด ดังนั้นไทยจึงจำเป็นจะต้องพึ่งเศรษฐกิจโลกในการฟื้นฟูและพัฒนา และนั่นเป็นเหตุผลที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยเดินสายพบประเทศต่างๆ เช่น สถานทูตสหรัฐอเมริกา สถานทูตจีน สถานทูตเกาหลีใต้ สถานทูตออสเตรเลีย ฯลฯ เพื่อแลกเปลี่ยนและรับฟังความคิดเห็นเพื่อนำมาปรับปรุงและขอความร่วมมือ หากได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้เป็นรัฐบาล ดังนั้นจึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ได้ศึกษาแนวคิดทางเศรษฐกิจของพรรคไทยรักไทยจนมาถึงพรรคเพื่อไทยเป็นแบบอย่าง" นายพิชัยกล่าว
 
สำหรับ ในเรื่องของภาวะเงินเฟ้อ ล่าสุดธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) ประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.5% เป็นการขึ้นครั้งเดียวสูงสุดในรอบ 20 ปี ทั้งนี้เพื่อสกัดเงินเฟ้อในสหรัฐที่ยังคงพุ่งสูงถึง 8.5% และยังมีแนวโน้มว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีกในเร็วๆนี้และมีการคาดกันว่าอาจจะขึ้นดอกเบี้ยอีกถึง 0.75% ในครั้งเดียวในอีกไม่นานนี้ ซึ่งสร้างความสั่นสะเทือนให้กับตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลก ซึ่งประเทศไทยเองก็จะหนีไม่พ้นที่จะต้องขึ้นดอกเบี้ยตาม ซึ่งจะเป็นภาระต้นทุนทางการเงินที่จะเพิ่มขึ้น ถ้าไทยไม่ขึ้นดอกเบี้ย เงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่ไทยมีอาจจะไหลออกไปต่างประเทศได้ทั้งจากนักลงทุนต่างประเทศและนักลงทุนไทยเอง เพื่อหาผลตอบแทนที่สูงกว่า และจากข้อมูลที่ได้รับ ได้มีการโยกย้ายเงินทุนต่างประเทศออกจากประเทศไทยไปบ้างแล้ว และค่าเงินบาทก็อ่อนค่าลงมามาก แต่ก็จะเป็นประโยชน์กับการส่งออก
 
อย่างไรก็ตาม การกู้เงิน 50,000 ล้านเยนในภาวะปัจจุบันที่ค่าเงินเยนอ่อนค่ามากสุดประมาณ 130 เยนต่อเหรียญสหรัฐซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี น่าจะเป็นการตัดสินใจที่ไม่ฉลาด เพราะแม้อัตราดอกเบี้ยจะต่ำมาก (0.01%) แต่หากในอนาคตค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้น ไทยจะต้องจ่ายหนี้คืนในจำนวนเงินที่สูงกว่า และจะสูงกว่าค่าดอกเบี้ยด้วยซ้ำ จึงน่าจะต้องพิจารณาให้ดี และในอดีตไทยเคยมีประสบการณ์กู้เงินเยนดอกเบี้ย 0% แต่เจอค่าเงินเยนแข็งค่ามากทำให้ขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนอย่างมากมาแล้ว
 
นายพิชัย กล่าวว่า ในภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน มีวิกฤตซ้อนวิกฤต ประเทศต้องการผู้นำที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริงเพื่อนำพาประเทศให้ฝ่าพ้นวิกฤตไปได้ โดยรัฐบาลจะต้องเร่งเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนในทุกทางเพื่อให้ประคองผ่านภาวะแพงทั้งแผ่นดินในปัจจุบันได้ ถ้าบริหารประเทศมา 8 ปี  ประเทศไม่ได้ไปถึงไหน แล้วคิดได้แค่จะขายฝันไปวันๆด้วยมุขเก่าๆ เช่น คนจนจะหมดไป จะเพิ่มรายได้ประชาชน จะเป็นประเทศรายได้สูง คงไม่มีคนโง่ที่ไหนจะเชื่อแล้ว สมควรจะต้องรู้ตัวเองและออกไปได้แล้ว และ พรรคร่วมรัฐบาลก็ควรจะตาสว่างมองเห็นเช่นกัน ก่อนประชาชนจะอดตายกันหมด


 
น้ำมันแพงเดือดร้อนทั่ว รถดูดส้วมโอดยอมเจ็บแบกภาระ ห่วงคนเดือดร้อน
https://www.dailynews.co.th/news/1030145/
 
ผลกระทบน้ำมันแพงขยายวงกว้าง ทุกสาขาอาชีพเดือดร้อนทั่วหน้า ด้านผู้ประกอบการรถดูดสิ่งปฏิกูลใน จ.กาฬสินธุ์ ออกมาเรียกร้องรัฐเร่งปรับลดราคา เพราะแบกรับภาระค่าใช่จ่ายไม่ไหว ปรับขึ้นค่าบริการจากเดิมครั้งละ 100 บาท เป็น 120 บาท

เมื่อวันที่ 9 พ.ค. จากภาวะน้ำมันแพงและมีแนวโน้มขึ้นราคาอย่างต่อเนื่องได้ส่งผลกระทบต่อสภาพความเป็นอยู่และการประกอบอาชีพของประชาชนทุกสาขาอาชีพเป็นอย่างมาก เนื่องจากราคาขนส่งและราคาสินค้าอุปโภค บริโภค ตามท้องตลาดปรับตัวสูงขึ้นตามกลไกตลาดแทบทุกรายการ เพราะพ่อค้า แม่ค้า อ้างว่าค่าขนส่งสูงขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการรถดูดสิ่งปฏิกูลหลายรายที่ขับรถตระเวนหาลูกค้าเพื่อให้บริการดูดส้วมกลับตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ เพราะได้ค่าบริการเพียงครั้งละ 120 บาทเท่านั้น

นายอุทัย ศรีบุญลำ อายุ 62 ปี ผู้ประกอบการรถดูดสิ่งปฏิกูล กล่าวว่า ยึดอาชีพรถดูดสิ่งปฏิกูลเป็นอาชีพหลักมาประมาณ 10 ปี โดยจะขับรถตะเวนหาลูกค้าไปตามหมู่บ้านต่างๆ ในพื้นที่ ต.คลองขาม ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบการ โดยชำระค่าใบอนุญาตปีละ 5,000 บาท ได้ลูกค้าวันละ 5-10 ราย คิดค่าบริการครั้งละ 100 บาท ทั้งนี้ มีรายจ่ายคือค่าแรงคนงาน 2 คน คนละ 300 บาทต่อวัน น้ำมันวันละ 500 บาท รายจ่ายเฉลี่ยวันละ 1,100 บาท บางวันก็ไม่ได้ลูกค้า เฉลี่ยรายได้พอเลี้ยงครอบครัว แต่พอมาถึงปีนี้ที่ราคาน้ำมันสูงขึ้น ขณะที่มีผู้ประกอบการอาชีพเดียวกันในพื้นที่อีก 2 ราย จึงต้องขยันวิ่งหาลูกค้า และจุดทิ้งสิ่งปฏิกูลที่ อบต.คลองขาม กำหนดให้ก็ระยะทางไกลทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น

นายอุทัย กล่าวอีกว่า เมื่อประสบปัญหาราคาน้ำมันแพงทาง อบต.คลองขาม ที่เป็นผู้ให้อนุญาตประกอบการดูดสิ่งปฏิกูลในพื้นที่ได้เพิ่มอัตราค่าบริการจากเดิม 100 บาท เป็น 120 บาทต่อครั้ง ทั้งนี้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ขณะที่ใจจริงแล้วตนและผู้ประกอบการทุกคนก็อยากได้เพิ่มกว่านี้ แต่ด้วยความเห็นอกเห็นใจชาวบ้านที่เป็นผู้รับบริการ ซึ่งทุกครอบครัวต่างก็ได้รับความเดือดร้อนจากภาวะค่าครองชีพที่เพิ่มสูง ราคาขายผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ จะเพิ่มราคาก็ไม่ได้ จึงอยู่ในสภาพยอมเจ็บทนแบกรับภาระค่าใช้จ่ายกันต่อไป อย่างไรก็ตาม อยากเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพงด้วย เพราะผู้ประกอบการรถดูดสิ่งปฏิกูลและประชาชนทุกสาขาอาชีพเดือดร้อนมาก ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากราคาน้ำมันแพงดังกล่าว
 

 
ผู้ผลิตแห่ส่งออกน้ำมันปาล์มดิบพุ่ง 7 เท่า เลี่ยงรัฐควบคุมราคาขายปลีกในประเทศ
https://www.thairath.co.th/business/economics/2387585
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ผู้ผลิตน้ำมันปาล์มบรรจุขวดเพื่อการบริโภค ประสบปัญหาต้นทุนผลิตเพิ่มขึ้นมาก หลังราคาน้ำมันปาล์มดิบ (ซีพีโอ) ในตลาดโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มาอยู่ที่กิโลกรัม (กก.) ละ 62-63 บาท จากช่วงก่อนเทศกาลสงกรานต์ อยู่ที่ กก.ละ 53 บาท ส่วนผลปาล์มสดอยู่ที่ กก.ละเกือบ 13 บาท จากราคาในโครงการประกันรายได้ผู้ปลูกปาล์มที่ไม่ต่ำกว่า กก.ละ 4 บาท สูงกว่า 3 เท่า ส่งผลให้ราคาขายน้ำมันปาล์มขวดในขณะนี้ต้องขึ้นไปสูงถึงขวดละ 77-78 บาทแล้ว แต่กระทรวงพาณิชย์ยังขอความร่วมมือให้ตรึงขายไม่เกินขวดละ 70 บาท สร้างความลำบากใจให้แก่ผู้ผลิตที่ต้องขายต่ำกว่าทุน
 
ทั้งนี้ ทำให้ผู้ผลิตปาล์มขวดบางรายเริ่มชะลอการผลิต แต่บางรายพยายามช่วยผู้บริโภคด้วยการนำสต๊อกซีพีโอเก่ามาผลิตอยู่ แต่สต๊อกเก่าจะหมดลงแล้ว ขณะที่บางรายนำน้ำมันจากพืชชนิดอื่นมาผสมกับน้ำมันปาล์ม และมีอีกหลายรายเริ่มส่งออกซีพีโอแล้ว เพราะได้ราคาดีกว่า จากการที่ไม่ต้องถูกรัฐควบคุม ทำให้เดือน มี.ค.65 ไทยส่งออกซีพีโอมากถึง 112,000 ตัน เพิ่มขึ้นถึง 7 เท่าตัวจากเดือน ก.พ.65 ที่ส่งออกเพียง 15,877 ตัน ส่วนเดือน เม.ย.65 ยังมียอดส่งออกสูง เพราะราคาตลาดโลกยังอยู่ในระดับสูง.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่