JJNY : ป่วยใหม่8,450 เสียชีวิต58│ราคาน้ำมันพุ่งไม่หยุด รถบรรทุกจี้ช่วย│ธุรกิจ52%ปรับราคา10%│สมชัยชี้ชาวบ้านขำ คนจนหมดปท.

ยอดลดต่อเนื่อง ไทยป่วยโควิดใหม่วันนี้ 8,450 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 58 ราย
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_3330062

ยอดลดต่อเนื่อง ไทยป่วยโควิดใหม่วันนี้ 8,450 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 58 ราย
 
เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ศูนย์ข้อมูลโควิด 19 รายงานสถานการณ์โควิด ในประเทศไทย ประจำ วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม 2565 ป่วย รวม 8,450 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยจากในประเทศ 8,446 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 4 ราย ผู้ป่วยสะสม 2,093,334 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) หายป่วยกลับบ้าน 12,224 ราย
หายป่วยสะสม 2,025,401 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ผู้ป่วยกำลังรักษา 93,840 ราย เสียชีวิต 58 ราย
  

 
ราคาน้ำมันพุ่งไม่หยุด รถบรรทุกจี้รัฐช่วย อย่างน้อยขอปรับเพดานน้ำหนัก
https://ch3plus.com/news/economy/3mitinews/289971

พรุ่งนี้ (7 พ.ค. 65) ราคาน้ำมันจะปรับเพิ่มขึ้นอีกเฉลี่ย 80 สตางค์ต่อลิตร ทำให้ราคาน้ำมันเบนซิน จะอยู่ที่ลิตรละ 49 บาท 26 สตางค์ ส่วนราคาน้ำมันดีเชล ปัจจุบันอยู่ที่ 31 บาท 94 สตางค์ ทั้งดีเชลธรรมดา ดีเซลบี 7 และบี 20

ซึ่งเมื่อ 2 วันก่อน ตัวแทนผู้ประกอบการรถบรรทุกรายหนึ่งออกมา เปิดเผยกับข่าว 3 มิติ ว่า ปัญหาราคาน้ำมันแพง ทำให้ผู้ประกอบการรถบรรทุกหลายราย ทำผิดกฎหมายมากขึ้นด้วยการ วิ่งแบกน้ำหนักเกินกฎหมายกำหนด เพื่อให้คุ้มต้นทุนน้ำมันต่อเที่ยว และเป็นช่องทางให้เจ้าหน้าที่บางคนเก็บส่วยเพิ่มขึ้น ล่าสุดวันนี้รองประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือ พร้อมขอให้ปรับเพดานน้ำหนักบรรทุกจากเดิม 50 ตันเป็น 58 ตันเพื่อลดปัญหาขาดทุน

นายพีระพล บุญชินวงศ์ รองประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย และที่ปรึกษาสมาคมขนส่งสินค้าภาคอีสาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่แพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ราคาลิตรละกว่า 31 บาท ส่งผลให้ผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทั่วประเทศได้รับผลกระทบอย่างหนัก ซึ่งหากราคาน้ำมันดีเซลยังปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทางผู้ประกอบการก็อาจจะต้องปรับขึ้นราคาค่าขนส่งสินค้าเพิ่มอีกร้อยละ 20 เพื่อความอยู่รอด และก็จะส่งผลกระทบโดยตรงกับผู้บริโภค เนื่องจากต้องมีการปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้นตามเป็นลูกโซ่

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของสมาคมขนส่งสินค้าภาคอีสาน ขณะนี้ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ราคาน้ำมันเป็นอย่างมาก เพราะช่วงนี้พื้นที่ภาคอีสานเป็นช่วงของฤดูกาลเพาะปลูก ไม่ใช่ฤดูการเก็บเกี่ยว ทำให้มีผลผลิตออกสู่ตลาดน้อย ผู้ประกอบการก็แทบไม่มีรายได้อยู่แล้ว ขณะที่ราคาค่าใช้จ่ายทุกอย่างก็ปรับตัวสูงขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้ขณะนี้มีผู้ประกอบการขนส่งบางรายต้องหยุดกิจการลงไป เพราะแบกรับภาระค่าใช้จ่ายไม่ไหว

ทั้งนี้ อยากเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งหามาตรการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพงโดยด่วนด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการปรับลดภาษีเพื่อพยุงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร รวมทั้งการปรับแก้ไขปัญหาเรื่องของการบรรทุกน้ำหนักของรถบรรทุกพ่วง 20 ล้อ 22 ล้อ และ 24 ล้อ จากเดิมที่ให้น้ำหนักไม่เกิน 50.5 ตัน ปรับเพิ่มเป็นไม่เกิน 58 ตัน เพื่อแก้ไขปัญหารถบรรทุกน้ำหนักเกิน

นอกจากยังระบุด้วยว่า ขณะนี้มีผู้ประกอบการรถบรรทุกหลายราย วิ่งแบกน้ำเกินกฎหมายกำหนดมากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการที่ยังปฏิบัติตามกฎหมาย ได้รับผลกระทบจากถูกรถแบกน้ำหนักมาตัดราคา

ก่อนหน้านี้ นายบุญชู กัลยาวุฒิพงศ์ เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการรถขนส่ง ที่ออกมาเปิดเผยปัญหานี้กับข่าว 3 มิติ โดยยืนยันว่า แม้มีรถวิ่งแบกน้ำหนักกันมากขึ้น แต่การบังคับใช้กฎหมายกับรถบรรทุกสินค้าของเจ้าหน้าที่ไม่เท่าเทียมกัน เพราะมีการจ่ายส่วยให้กับเจ้าหน้าที่บางหน่วยเพื่อแลกกับการไม่ต้องขึ้นด่านชั่งน้ำหนัก และไม่ถูกเรียกตรวจระหว่างทาง จึงไม่เป็นธรรมและทำให้ผู้ประกอบการที่ทำตามกฎหมายได้รับความเดือดมากขึ้น
 


ส.ผู้ค้าปลีกไทย สำรวจธุรกิจ 52% ลั่นปรับราคา 10% ร้องรัฐอุ้ม 3 เรื่อง
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3329479

นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการค้าปลีก Retail Sentiment Index (RSI) เดือนเมษายน 2565 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 56.4 หรือเพิ่มขึ้น 9.9 จุด เทียบกับดัชนีเดือนมีนาคมอยู่ที่ 46.5 จุด อานิสงส์จากช่วงวันหยุดยาวในเดือนเมษายน รวมถึงส่งเสริมการขายของร้านค้าต่างๆ และข่าวเปิดประเทศรับการท่องเที่ยว ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกอีก 3 เดือนข้างหน้า เพิ่มขึ้น 10.3 จุด จากระดับ 48.9 จุดเดือนมีนาคม มาอยู่ที่ 58.7 จุดในเดือนเมษายน สะท้อนความเชื่อมั่นต่อการควบคุมการแพร่ระบาดของโอมิครอน ซึ่งกำลังเป็นช่วงขาลง และรัฐบาลจะประกาศให้เป็นโรคประจำถิ่น
 
ทั้งนี้ ผลการสำรวจยอดขายสาขาเดิมเพิ่มขึ้น 9.9 จุด และอยู่เหนือค่าเฉลี่ยกลาง 50 จุด เป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน นับจากเดือนธันวาคม 2564 การเพิ่มขึ้นในลักษณะ K-Shape ซึ่งเป็นรูปแบบการฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดจนกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ขณะที่บางส่วนยังไม่ฟื้นตัวและคงอยู่ระดับต่ำ ทำให้การฟื้นตัวไม่ครอบคลุมทุกประเภทร้านค้า สำหรับร้านค้าประเภทห้างสรรพสินค้า แฟชั่น ความงาม และภัตตาคาร-ร้านอาหาร ถือว่าเป็น K-Shape ขาขึ้นที่มีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดีจากนโยบายการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ และการยกเลิกเทสต์แอนด์โก สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศ รวมทั้งการปลดล็อกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิดของทุกจังหวัดเพื่อให้นักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติได้รับความสะดวกสบายในการเดินทางและดำรงชีวิตประจำวันเพิ่มมากขึ้น
 
นายฉัตรชัยกล่าวต่อว่า ร้านค้าปลีกประเภท ไฮเปอร์มาร์เก็ต ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ซึ่งอยู่ในกลุ่มของ K-Shape ขาลง และมีสัดส่วนกว่า 65% ของภาคค้าปลีกทั้งประเทศ กลับเติบโตน้อย สะท้อนให้เห็นว่ากำลังซื้อในประเทศยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เนื่องจากการจ้างงานยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังสูงอยู่ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้มีความพยายามในการฟื้นฟูเศรษฐกิจผ่านการกระตุ้นการบริโภคด้วยนโยบายส่งเสริมและอุดหนุนของภาครัฐที่ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ได้พิสูจน์แล้วว่าโครงการของภาครัฐ สามารถพยุงเศรษฐกิจไทยให้ก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 มาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกระตุ้นให้เกิดการบริโภคในกลุ่มสินค้าหรือบริการผ่านโครงการประชารัฐ โครงการคนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน และช้อปดีมีคืน ก่อให้เกิดผลบวกต่อผู้ประกอบการภาคการค้าปลีก ภาคการท่องเที่ยว และกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ในระดับที่น่าพอใจ
 
“เมื่อถามถึงความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนต่อภาคการค้า พบว่า 70% ระบุมีผลต่อต้นทุนธุรกิจสูงขึ้น โดย 52% ระบุปรับราคาสินค้าใน 3 เดือนข้างหน้าและไม่เกิน 10% ตามด้วย 44% ระบุปรับราคา 11- 20% และ 4% ปรับราคาเกิน 20% อีกทั้ง 87% ระบุจะปรับราคาตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอีก 3 เดือนข้างหน้า” นายฉัตรชัยกล่าว
 
นายฉัตรชัยกล่าวว่า ธุรกิจค้าปลีกมี 3 ข้อเสนอต่อภาครัฐ ได้แก่ 1.คงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐไว้อย่างต่อเนื่อง ภาครัฐควรพิจารณากระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนเพื่อให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ สร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ ผ่านหลากหลายโครงการของรัฐ อาทิ โครงการคนละครึ่ง โครงการช้อปดีมีคืน และโครงการเราเที่ยวด้วยกัน 2.เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโดยภาครัฐ ภาครัฐควรมีการอนุมัติการลงทุนและดำเนินการโครงการทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่อย่างทั่วถึงและรวดเร็ว เพื่อเร่งสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ผ่านการจัดจ้างการดำเนินงาน และสนับสนุนให้เอสเอ็มอีเข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐมากขึ้น และ 3.พยุงราคาพลังงานให้คงที่และได้นานที่สุด ภาครัฐควรพิจารณาใช้ทุกมาตรการในการช่วยแบ่งเบาภาระประชาชนผ่านการพยุงราคาพลังงาน เพื่อให้ค่าครองชีพไม่ปรับตัวแบบก้าวกระโดด อาทิ การใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และการออกมาตรการควบคุมราคาค่าขนส่ง
   
“ช่วงเวลานี้ ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของภาครัฐในการใส่เกียร์เดินหน้าเต็มกำลัง ในการผลักดันเศรษฐกิจของประเทศให้ดีขึ้น การฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยการกระตุ้นการบริโภคผ่านนโยบายของภาครัฐถือเป็นหัวใจสำคัญในการเดินหน้าประเทศไทย ซึ่งภาครัฐได้ดำเนินการมาในทิศทางที่ถูกต้องแล้ว และควรผลักดันให้มีมาตรการเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อเศรษฐกิจของประเทศไทยจะได้เติบโตอย่างยั่งยืน” นายฉัตรชัยกล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่