JJNY : "ยิ่งลักษณ์"ยกย่องหัวใจผู้ใช้แรงงาน│เสียงสะท้อนวันแรงงาน│นายจ้างผวา“ขึ้นค่าแรง”│ส่องคำตอบ'อิงฟ้า'ฟาดปัญหาการเมือง

"ยิ่งลักษณ์" ยกย่อง หัวใจผู้ใช้แรงงาน ขอรัฐ-เอกชน ช่วยพัฒนาทักษะฝีมือ
https://www.thairath.co.th/news/politic/2381642
 
 
  
"ยิ่งลักษณ์" อดีตนายกฯ โพสต์เฟซฯ ขอยกย่อง หัวใจผู้ใช้แรงงานทุกท่าน วันแรงงานสากล 1 พ.ค. 65 ตรากตรำทำงานหนัก หาเลี้ยงครอบครัว แม้เสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 
 
วันที่ 1 พ.ค. 65 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Yingluck Shinawatra เนื่องในวันแรงงานสากล 1 พ.ค. 2565 ยกย่องหัวใจผู้ใช้แรงงานทุกท่าน ตรากตรำทำงานหนัก หาเลี้ยงครอบครัว ขอให้ทั้งภาครัฐและเอกชนช่วยส่งเสริม พัฒนาฝีมือทักษะในการรองรับเทรนด์ที่เกิดขึ้นในอนาคต และดูแลผู้ใช้แรงงานอย่าปล่อยให้พวกเขาโดดเดี่ยว
 
วันนี้เป็นวันแรงงานสากลดิฉันขอยกย่องหัวใจผู้ใช้แรงงานทุกท่านค่ะ เพราะเรารู้ว่าท่านจะต้องตรากตรำทำงานหนักเพียงไรเพื่อให้มีรายได้มาเลี้ยงครอบครัว และกลับบ้านต้องมาดูแลครอบครัว แถมช่วงสถานการณ์โควิดที่มีการล็อกดาวน์ พี่น้องผู้ใช้แรงงานก็ไม่สามารถหยุดงานได้ ต้องฟันฝ่าเดินทางเสี่ยงกับการติดเชื้อเพียงเพื่อไม่ต้องการให้รายได้ขาดหาย
 
ดังนั้นดิฉันจึงขอให้ทั้งภาครัฐและเอกชนช่วยส่งเสริม พัฒนาฝีมือทักษะในการรองรับเทรนด์ที่เกิดขึ้นในอนาคต และดูแลผู้ใช้แรงงานอย่าปล่อยให้พวกเขาโดดเดี่ยวเลยค่ะ.
 
https://www.facebook.com/Y.Shinawatra/posts/544974833664551
 


เสียงสะท้อนวันแรงงาน ของแพง ค่าแรงต่ำ ต้องกู้เงินมาใช้จ่าย วอนรัฐขึ้นค่าแรง 492 บาท
https://www.matichon.co.th/region/news_3319033

เสียงสะท้อนวันแรงงาน ของแพง ค่าแรงต่ำ ชีวิตไม่สมดุล ต้องกู้เงินมาใช้จ่าย วอนรัฐขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 492 บาท
 
วันที่ 1 พ.ค. ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปที่ไซต์คนงานก่อสร้างบริเวณ ต.บ้านใหม่ อ.เมือง จ.นครราชสีมา เพื่อสำรวจความคิดเห็นของผู้ใช้แรงงาน เนื่องในวันแรงงานแห่งชาติ 1 พ.ค. 65 พบว่าคนงานก่อสร้างส่วนใหญ่ต่างเรียกร้องอยากให้รัฐบาลปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เป็น 492 บาท ตามที่หลายฝ่ายเรียกร้อง เนื่องจากปัจจุบันนี้ค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้นสวนทางกับค่าแรงที่ต่ำ
 
โดยนายสุริยา ศักดาเดช อายุ 42 ปี หนึ่งในผู้ใช้แรงงานก่อสร้าง ชาว อ.เมืองนครราชสีมา กล่าวว่า ทุกวันนี้รายได้ของตนและเพื่อนร่วมงานที่ประกอบอาชีพคนงานก่อสร้างค่อนข้างต่ำมาก สวนทางกับสิ่งของอุปโภคบริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้นทุกอย่าง ทำให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างรายได้กับรายจ่าย การใช้ชีวิตจึงมีความยากลำบากมากยิ่งขึ้นด้วย เพราะเงินที่ได้มายังเท่าเดิม แต่การกินการใช้ ต้องใช้เงินซื้อมาด้วยราคาที่แพงขึ้น ขณะที่สินค้าบางอย่างที่ไม่เคยขึ้นราคา ก็ขึ้น เช่น มาม่า ปลากระป๋อง ซึ่งเป็นอาหารแสนประหยัด ที่คนงานมักจะนิยมซื้อมาทำอาหารกินกันในแคมป์คนงาน ตอนนี้ก็ราคาสูงขึ้นทุกอย่าง  ประกอบกับค่าน้ำมัน ค่าแก๊สหุงต้ม ค่าวัสดุก่อสร้างก็พากันขึ้นราคากันหมด
 
“ค่าจ้างรายวันแทบไม่เหลือเก็บ แค่ใช้ประทังชีวิตไปวันๆ ได้ก็เก่งมากแล้ว หลายคนที่สมาชิกในครอบครัวตกงานก็ขาดรายได้ ต้องไปกู้หนี้ยืมสินจากธนาคารบ้าง จากเพื่อนบ้านบ้าง เพื่อมาใช้จ่ายในครอบครัวให้อยู่รอดในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้” นายสุริยา กล่าว และว่า ได้ข่าวว่าผู้ใช้แรงงานทั่วประเทศ อยากให้รัฐบาลปรับค่าแรงขั้นต่ำขึ้นเป็น 492 บาท ซึ่งตนเองก็อยากให้เป็นเช่นนั้น แต่ดูเหมือนรัฐบาลน่าจะทำไม่ได้ จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ถ้าปรับค่าแรงขึ้นไม่ได้ถึง 492 บาท ก็ขอให้ปรับขึ้นมาสัก 400-450 บาทก็ยังดี แต่ก็ขอให้ไปปรับลดราคาสินค้าอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของแรงงานก็ได้
 
ทั้งนี้ขอให้มองแรงงานว่าเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาประเทศ เพราะถ้าไม่มีแรงงานเช่นพวกตน ประเทศจะพัฒนาได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีการก่อสร้างถนนหนทาง หรือระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ที่จำเป็นต่อภาพรวมของประเทศ จึงขอใช้โอกาสเนื่องในวันแรงงานแห่งชาตินี้ ให้ผู้บริหารประเทศได้รับรู้ถึงความเดือดร้อนของแรงงานด้วย


 
นายจ้างผวา “ขึ้นค่าแรง” ทุบซ้ำ ขู่ย้ายฐานผลิต-เอสเอ็มอีโคม่า
https://www.prachachat.net/csr-hr/news-921269

นับถอยหลังขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำระเบิดเวลาลูกใหม่ คสรท.-สรส. ยื่นหนังสือถึงรัฐบาล ยืนกรานต้อง 492 บาททั่วประเทศ รมว.แรงงานแจง ส.ค.-ก.ย.รู้ผล 50 สมาคมนายจ้างค้านชี้เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นสมาคมภัตตาคารไทย หวั่นซ้ำเติมปัญหาเอสเอ็มอีโคม่า หอการค้าหวั่นธุรกิจปิดตัวระนาว-ย้ายฐานผลิตซบประเทศเพื่อนบ้าน
 
กลับมาเป็นประเด็นที่ร้อนแรงขึ้นมาอีกครั้ง สำหรับประเด็นการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ หลังจากมีการพูดคุยกันในวงกว้างตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา รวมทั้งมีอัตราการปรับขึ้นเป็นวันละ 492 บาท เป็นตัวตั้งในการพิจารณา และขณะนี้อยู่ในช่วงของการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่วนหนึ่งอาจมาจากปัจจัยลบที่รุมเร้าอย่างหนัก โดยเฉพาะสถานการณ์สงครามที่ทำให้ต้นทุนการดำเนินธุรกิจหลายอย่างปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับค่าครองชีพของประชาชน คนใช้แรงงานที่เพิ่มสูงขึ้น สวนทางกับรายรับในแต่ละเดือน
 
คสรท.-สรส.เคาะ 492 บาท
 
นายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ คสรท.ร่วมกับสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ยื่นจดหมายเปิดผนึกขอให้รัฐบาลประกาศปรับค่าจ้างขั้นต่ำ พร้อมกับควบคุมราคาสินค้าไม่ให้แพงเกินไปมาแล้ว 3 ฉบับ เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2564 วันที่ 21 มกราคม 2565 และล่าสุด 25 เมษายนที่ผ่านมา โดยค่าจ้างขั้นต่ำที่ขอไปเป็นตัวเลขที่ประนีประนอมและเหมาะสมแล้ว คือวันละ 492 บาท ในอัตราเท่ากันทั่วประเทศ เพราะราคาสินค้าปรับขึ้นพร้อมกันแบบไม่ได้เลือกจังหวัด ตัวเลขนี้มาจากการสำรวจค่าใช้จ่ายแรงงานทั่วประเทศ ประมาณ 3,000 คน
 
หากนำค่าใช้จ่ายรายวัน และรายเดือน ครอบคลุมค่าอาหาร, ค่าเดินทาง, ค่าน้ำประปา, ค่าไฟฟ้า, ค่าเช่าบ้าน, ค่าโทรศัพท์, ค่าอินเทอร์เน็ต, ค่าเลี้ยงดูครอบครัว ฯลฯ ของแรงงานที่ตอบแบบสำรวจมาคำนวณ จะเฉลี่ยอยู่ที่คนละ 21,382.92 บาทต่อเดือน หรือวันละ 712 บาท คสรท.เห็นว่า 492 บาท น่าจะเพียงพอที่จะช่วยแบ่งเบาภาระได้บ้าง ที่ผ่านมาค่าจ้างขั้นต่ำไม่มีการปรับมาเกือบ 3 ปีแล้ว ครั้งสุดท้ายที่มีการปรับขึ้นคือ วันที่ 1 มกราคม 2563 แบ่งเป็น 10 อัตรา ตามเขตพื้นที่ ระหว่าง 313-336 บาท นอกจากนี้ยังต้องการให้รัฐบาลมีการควบคุมราคาสินค้า เพื่อเป็นการลดรายจ่ายให้ภาคประชาชน โดยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคประจำวันที่จำเป็นต้องมีการควบคุมเข้มข้น
 
“จดหมายเปิดผนึกฉบับล่าสุดยังไม่ได้รับการตอบกลับ แต่ที่ผ่านมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้ยืนยันว่ามีการปรับแน่ แต่จะปรับเท่าไหร่ต้องเป็นไปตามกลไกของคณะกรรมการค่าจ้าง และอัตราเงินเฟ้อ ซึ่ง คสรท.มองว่ากระบวนการช้าเกินไป เพราะทุกวันแรงงาน 1 พฤษภาคม หลายรัฐบาลมักจะปรับค่าจ้างให้เป็นของขวัญผู้ใช้แรงงาน”
 
“สุชาติ” ชี้ ส.ค.-ก.ย.รู้ผล
 
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กระทรวงเร่งรัดติดตามเรื่องการพิจารณาปรับค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำมาโดยตลอด หากเทียบกับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะพบว่าค่าจ้างแรงงานของไทยสูงกว่าเวียดนาม มาเลเซีย เมียนมา เป็นรองแค่เพียงสิงคโปร์ ซึ่งการขึ้นค่าแรงแต่ละครั้งจะมีคณะกรรมการค่าจ้างที่เป็นคณะกรรมการไตรภาคี 3 ฝ่าย (นายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐบาล) ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2551 เป็นผู้พิจารณา และจะมีการพิจารณาเรื่องเงินเฟ้อและค่าครองชีพแต่ละจังหวัดประกอบด้วย
 
ทั้งนี้ การพิจารณาการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เบื้องต้นมีไทม์ไลน์คือ เม.ย.-มิ.ย. 2565 สำนักงานคณะกรรมการค่าจ้าง สำนักงานแรงงานจังหวัด ทำการสำรวจและประมวลผลค่าใช้จ่ายที่จำเป็น เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาทบทวนอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัดและกรุงเทพฯ ถัดไป ก.ค. 2565 คณะอนุกรรมการจะจัดประชุมพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ และส่งผลประชุมให้คณะกรรมการค่าจ้าง เพื่อพิจารณาในเดือน ส.ค.-ก.ย. 2565 ในกรณีมีมติปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ กระทรวงแรงงานจะลงนามเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
 
50 สมาคมนายจ้างค้าน
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 29 เมษายนที่ผ่านมา ดร.ทวีเกียรติ รองสวัสดิ์ ประธานสภาองค์การนายจ้างแห่งชาติ พร้อมด้วยสภาองค์การนายจ้างฯ, สภาอุตสาหกรรมเอสเอ็มอีแห่งประเทศไทย, สภาองค์การนายจ้างธุรกิจการค้าและบริการไทย, สภาองค์การนายจ้างธุรกิจและอุตสาหกรรมแห่งชาติ และสมาคมนายจ้าง 40-50 สมาคม เข้ายื่นหนังสือผ่าน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน โดยขอให้รัฐบาลพิจารณาทบทวนการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับการขึ้นค่าแรงจาก 331 บาท เป็น 492 บาททั่วประเทศ และสภาองค์การนายจ้างฯไม่เห็นด้วยที่จะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในช่วงนี้ เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จากสถานการณ์โควิด-19 ตลอดจนสถานการณ์สู้รบของประเทศเพื่อนบ้าน และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซียยังไม่นิ่ง กรณีจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจึงขอให้รัฐบาลเป็นผู้กำหนด เนื่องจากสภาองค์การนายจ้างฯ และสมาคมนายจ้างยังไม่เห็นสมควรขึ้นในช่วงนี้ และเห็นสมควรให้คณะกรรมการไตรภาคี โดยฝ่ายภาครัฐเป็นผู้กำหนดค่าแรงขั้นต่ำ เพราะมีเครื่องมือ อุปกรณ์ บุคลากรที่เกี่ยวข้องเป็นผู้นำเสนอ
 
ยันขึ้น “ค่าแรง” ซ้ำเติมธุรกิจ
 
นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย แสดงความเห็นในเรื่องนี้ว่า ร้านอาหารเป็นธุรกิจหนึ่งที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการปรับขึ้นราคาของสินค้าในกลุ่มอุปโภคและบริโภค รวมถึงราคาพลังงาน อาทิ แก๊สหุงต้ม ค่าไฟฟ้า น้ำมันดีเซล ซึ่งกระทบกับต้นทุนด้านโลจิสติกส์ประมาณ 20% แต่อาหารเป็นสินค้าในกลุ่มที่ปรับขึ้นราคายากมาก เนื่องจากการแข่งขันค่อนข้างสูง และผู้บริโภคมีทางเลือกและสามารถเปลี่ยนแบรนด์ได้ง่าย
 
ตอนนี้ธุรกิจร้านอาหารกำลังเผชิญกับภาวะต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ราคาปลายทางปรับขึ้นยาก กลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักคือ กลุ่มสตรีตฟู้ด และเอสเอ็มอี ขณะที่รายใหญ่ยังมีอำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์ค่อนข้างสูง และยังสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้
  
นางฐนิวรรณย้ำว่า สิ่งที่เป็นห่วงมากที่สุดว่าจะเป็นตัวแปรสำคัญที่กระทบต่อต้นทุนของธุรกิจร้านอาหาร คือ ประเด็นการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้ เนื่องจากตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการล้วนได้รับผลกระทบหนัก ต้องแบกรับต้นทุนเรื่องการรักษาการจ้างงาน ขณะที่กำลังซื้อจากต่างประเทศหายไปทั้งหมด จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่กลับมา หากขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะยิ่งซ้ำเติมอย่างหนัก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่