🇹🇭มาลาริน💗12เม.ย.ไทยติดเชื้อใหม่Top10โลก/ป่วย19,982คน หาย28,057คน ตาย101คน/สงกรานต์มุ่งดูแลเสียชีวิตไม่เกินวันละ200คน


https://www.bangkokbiznews.com/news/998850

https://www.bangkokbiznews.com/social/998794

เพี้ยนแคปเจอร์สงกรานต์2565 คุมโควิด19 เสียชีวิตไม่เกินวันละ200-250คน


เมื่อวันที่ 12 เม.ย.2565 ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.)ในการแถลงข่าวสถานการณ์โควิด19 นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากการสำรวจอนามัยโพลล์ พบว่า.ประชาชน 75%กังวลต่อเชื้อก่อโรคโควิดสายพันธุ์ใหม่ ที่กังวลเพราะ เรื่องความรุนแรงของเชื้อ 85% กลัวจะติดเชื้อได้ง่าย 54% กลัวติดเชื้อง่ายขึ้น 44% กลัวกระทบต่อการทำงาน/รายได้ 44% ไม่รู้ว่าฉีดวัคซีนแล้วป้องกันได้หรือไม่ 38% และไม่รู้ว่าต้องดูแลป้องกันตนเองเพิ่มขึ้นอย่างไร 24%

แม้ประชาชนจะได้รับวัคซีนมากขึ้น แต่ไม่ได้ป้องกันติดเชื้อ 100% แม้มีการตรวจATKมากขึ้นแต่มีโอกาสเป็นผลลบลวงได้ และมีการคาดการณ์ว่าหลังสงกรานต์2565จะมีผู้ติดเชื้อมากขึ้น อาจจะวันละ50,000-1 แสนราย รวมการตรวจทั้งPCR ATK และที่ไม่ตรวจ เพราะฉะนั้นจึงขึ้นกับการป้องกันทุกฝ่ายในการชะลอ หรือลดการติดเชื้อ รวมถึง มุ่งดูแลผู้เสียชีวิตให้ไม่เกิน 200-250คนต่อวัน และผู้ป่วยรุนแรงอยู่ในระดับที่ระบบสาธารณวุขรองรับ จึงขอให้ปฏิบัติตามคำแนะนำ

👉มาตรการรับมือโควิดทุกสายพันธุ์

1.มาตรการวัคซีนฉีดครบตามเกณฑ์และควรได้รับเข็มกระตุ้น ลดความรุนแรงของโรคและการเสียชีวิตวัคซีน 3 เข็มป้องกันการเสียชีวิตได้ ร้อยละ 98-99

2.มาตรการDMHบุคคลที่มีความเสี่ยงหรือโอกาสใกล้ชิดผู้ป่วย ตวรสวมหน้ากากสองชั้น (หน้ากากผ้ากับหน้ากากอนามัย)ต้องสวมให้ถูกต้อง ปิดจมูกปากและกระชับกับใบหน้า

3.มาตรการสิ่งแวดล้อมใช้แอลกอฮอล์ 70% หรือสารทำความสะอาดทั่วไปพิจารณาเพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดให้มีการระบายอากาศเข้าและออกได้ เพื่อลดอัตราการติดเชื้อได้
 
https://www.bangkokbiznews.com/social/998936

ติดตามข่าวโควิดวันนี้ค่ะ

ไทยติดเชื้อใหม่ลดลง แต่ยังติดTop10โลก

วันนี้ไทยหายป่วยมากขึ้น

ทั่วโลกมีทั้งติดเชื้อลดลง และเพิ่มขึ้น

สงกรานต์นี้สธ.มีมาตรการดูแลโควิดไม่ให้มีผู้เสียชีวิตเกินวันละ200-250 คน

ระดมฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเพื่อลดความรุนแรง

.....พาพันไฟท์ติ้ง
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 18

มาตรการป้องกันโควิด รถโดยสารสาธารณะ ในเทศกาลสงกรานต์ 65
- เช็ดทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสภายในรถด้วยแอลกอฮอล์ หรือน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น ราวจับบริเวณประตูรถหรือบันได เบาะที่นั่ง สำหรับห้องสุขาบนรถโดยสารสาธารณะให้ทำความสะอาดทุก 2 ชั่วโมง และหมั่นทำความสะอาดจุดเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เป็นกรณีพิเศษ ทั้งก่อนและหลังการให้บริการ

- จัดให้มีการระบายอากาศภายในรถโดยสารปรับอากาศ รถตู้โดยสารปรับอากาศ โดยให้พนักงานขับรถพิจารณาจอดพักรถและเปิดประตูหน้าต่าง เพื่อระบายอากาศภายในรถขณะเดินทางทุก 2 ชั่วโมง และทำความสะอาดภายในตัวรถและพื้นผิวสัมผัสภายในรถด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ ทั้งก่อนและหลังการให้บริการ พร้อมทั้งเน้นการตรวจสอบการทำงานของระบบระบายอากาศและทำความสะอาด

- ไม่อนุญาตให้ผู้โดยสารที่ไม่สวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้าขึ้นรถโดยสาร และกำกับ ดูแล ให้พนักงานขับรถหรือผู้ให้บริการและผู้โดยสาร สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดการเดินทาง และจัดให้มีหน้ากากสำรองไว้บริการหรือจำหน่ายด้วย

- งดการให้บริการอาหารบนรถในระหว่างการเดินทาง รวมทั้งห้ามผู้โดยสารรับประทานอาหารบนรถ เว้นแต่กรณีที่มีเหตุจำเป็น

- ปรับรูปแบบการซื้อตั๋วโดยสารล่วงหน้าผ่านทางแอปพลิเคชัน โทรศัพท์ เว็บไซต์ หรือระบบอิเล็กทรอนิกส์อื่น
แทนการซื้อตั๋วโดยสารที่สถานีขนส่ง สำหรับการเดินทางด้วยรถโดยสารประจำทางระหว่างจังหวัด
หมวด 2 และหมวด 3 เพื่อลดระยะเวลาในการติดต่อ หลีกเลี่ยงการติดต่อสัมผัส และลดความแออัดของผู้ใช้บริการ

- ตรวจวัดอุณหภูมิก่อนขึ้นรถ หากผู้โดยสารมีอุณหภูมิสูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส หรือไม่ให้ความร่วมมือ ในการคัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิ ผู้ให้บริการสามารถปฏิเสธการขึ้นรถโดยสารได้

- ขอความร่วมมือผู้ประกอบการขนส่งให้กำกับดูแลพนักงานขับรถ และพนักงานบริการรถโดยสารสาธารณะฉีดวัคซีนให้ครบก่อนให้บริการและให้มีการตรวจ ATK เป็นระยะๆ

- ปฏิบัติตามมาตรการปลอดภัยสำหรับองค์กร (COVID Free Setting) สำหรับการเดินทางข้ามเขตจังหวัดโดยระบบบริการการขนส่งสาธารณะ

ที่มา : กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม
https://www.facebook.com/informationcovid19/posts/540439447574384


สปสช. ร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดส่งยาฟาวิพิราเวียร์ ให้กับผู้ป่วยโควิด-19 แล้ว ในกลุ่มที่รอลงทะเบียนรักษาตัวที่บ้าน และยังไม่มีสถานพยาบาลรองรับ โดย สปสช. จะทำหน้าที่คัดกรองอาการผู้ป่วยก่อนส่งยา ขณะเดียวกันขอให้ผู้ป่วยมั่นใจว่าจะได้รับยาอย่างแน่นอน

โดยความร่วมมือของ 3 องค์กรที่เกิดขึ้นในวันนี้ เพื่อร่วมดูแลประชาชนภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งปัจจุบันตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังคงเพิ่มสูง ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขคาดการณ์แนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นหลังเทศกาลสงกรานต์

นอกจากนี้การจัดส่งยาฟาวิพิราเวียร์ ให้กับผู้ป่วยโควิด-19 ในระบบรักษาตัวที่บ้านในครั้งนี้ เป็นยาที่ได้รับการสนับสนุนจากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ 5 แสนเม็ด โดยจะจัดส่งยา ให้ผู้ป่วยในกลุ่มที่อยู่ระหว่างรอการติดต่อเข้าระบบรักษาตัวที่บ้าน จากหน่วยบริการหรือสถานพยาบาล เมื่อผู้ป่วยโทรมายังสายด่วน 1330 แล้ว หลัง 24 ชั่วโมง ยังไม่ได้สถานพยาบาล ทาง สปสช.จะจัดส่งยาให้ก่อน ซึ่ง สปสช. จะคัดกรองอาการตามหลักเกณฑ์ของกรมการแพทย์ หากพบว่าผู้ติดเชื้อเริ่มมีอาการที่จำเป็นต้องได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ ก็จะทำการจัดส่งให้ผู้ติดเชื้อทันที โดยประสานความร่วมมือการจัดส่งยากับ บริษัท ไปรษณีย์ไทย และการสนับสนุนงบประมาณการจัดส่งโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ประมาณ 5 แสนบาท สำหรับการจัดส่งยาฟาวิพิราเวียร์ให้กับผู้ป่วยทางไปรษณีย์จะใช้ระบบการจัดส่งด่วน EMS โดยยาจะจัดส่งถึงภายใน 1 วัน โดย ได้กระจายยาส่วนหนึ่งไปบางแล้ว ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ประมาณ700-800 ราย

โดยในช่วงนี้จะเปิดอาสาสมัครประมาณ 3000 คน คอยรับโทรศัพท์สายด่วน 1330 ประมาณ1แสนคู่สาย เพื่อรองรับผู้ติดเชื้อที่อาจเพิ่มขึ้น

ส่วนผู้ป่วยกลุ่ม 608 ก็จะมีการเปิดสายด่วนพิเศษ 1330 กด 18 โดยจะจับคู่กับหน่วยบริการสถานพยาบาลให้โดยขณะนี้มีผู้ป่วยในกลุ่มผู้สูงอายุติดต่อเข้ามาวันละประมาณ 100 ราย

ทั้งนี้ สปสช. ได้มีการจัดเตรียม ชุดตรวจ ATK และยารักษา ผ่านระบบร้านยาของสปสช. เพื่อรองรับกลุ่มเสี่ยง และในกลุ่มที่รับชุดตรวจ ATK ไปแล้ว ตรวจพบเชื้อเป็นบวก สามารถเข้ารับยาเบื้องต้น ที่ร้านขายยาใกล้บ้าน ที่มีป้ายร้านยาชุมชนอบอุ่น ของสปสช. ที่มีประมาณ400 แห่งทั่วประเทศ โดยสามารถลงทะเบียนรับยาผ่านระบบ เพื่อพิสูจน์ตัวตนที่ร้านขายยา ส่วนยาที่จะได้รับก็จะเป็นยาบรรเทาอาการ ยาฟ้าทะลายโจร ยาแก้ไอ เป็นต้น
https://www.facebook.com/PMOCNEWS/posts/298282992485906


สงกรานต์นี้ ก่อนเดินทาง !!
Self Clean Up ให้มั่นใจ ปลอดภัยจากโควิด-19
https://www.facebook.com/Sumnakkaow.PRD/posts/347451290750548


แผนอำนวยความสะดวกและความปลอดภัย รองรัขการเดินทางระบบขนส่งทางราง “ช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2565” ระหว่างวันที่ 11-17 เมษายน 2565

ขอความร่วมมือผู้โดยสาร
• ตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าใช้บริการ
• ใส่หน้ากากอนามัยตลอดการใช้บริการ
• ก่อน-หลังใช้บริการ ล้างมือให้สะอาด ด้วยเจลแอลกอฮอล์
• สแกน"ไทยชนะ"ก่อน-หลังใช้บริการ
• เดินทางเหลื่อมเวลากัน ลดปัญหาจราจรติดขัด-ลดอุบัติเหตุ บ้านใกล้ออกทีหลัง-กลับไว / บ้านไกล ออกไว-กลับทีหลัง
https://www.facebook.com/NBT2HDTV/posts/7580106532006991


อย. ยืนยัน!! วัคซีนโควิดสำหรับเด็ก อายุ 5-11 ปี ที่อนุญาตมีความปลอดภัย มีคุณภาพและประสิทธิผล

นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า จากที่มีจดหมายเปิดผนึกเรื่องการอนุญาตวัคซีนของไฟเซอร์ สำหรับกลุ่มเด็กอายุ 5-11 ปี นั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ยืนยันว่าวัคซีนที่ขึ้นทะเบียนได้ผ่านการพิจารณา จากคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญภายใน อย. และผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก เช่น สถาบันการศึกษา ซึ่งดำเนินการอย่างโปร่งใส โดยมีการประเมินตามหลักเกณฑ์ทั้งในด้านความปลอดภัย คุณภาพ และประสิทธิผล ซึ่งเป็นการอนุญาตในสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีการระบาดใหญ่ของโรค (Pandemic)

วัคซีนโควิด-19 ที่ อย. อนุญาตให้ใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น คณะผู้เชี่ยวชาญได้ประเมินด้านความปลอดภัย ซึ่งจะพิจารณาผลการศึกษาในสัตว์ทดลอง และความปลอดภัยในคน เช่น ขนาดโดสที่ใช้ ระยะเวลาการให้วัคซีน ด้านคุณภาพ จะครอบคลุมทั้งการควบคุมคุณภาพการผลิต ตัวยาสำคัญ กระบวนการผลิต มาตรฐานสถานที่ผลิตวัคซีนตามมาตรฐาน GMP ซึ่งทุกขั้นตอนต้องมีการประกันคุณภาพอย่างสม่ำเสมอ และด้านประสิทธิผลของวัคซีน ต้องผ่านการวิจัยในคน โดยพิจารณาประโยชน์ที่ได้รับจากวัคซีน (Risk-benefit analysis) รวมถึงการติดตามผลข้างเคียงและการจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

สำหรับวัคซีนของไฟเซอร์ที่ได้รับการอนุญาตในกลุ่มเด็ก ( 5 - 11 ปี )ในไทยนั้น สอดคล้องกับรายการวัคซีนฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลก (WHO Emergency Use List) และหลายประเทศทั่วโลกที่มีการอนุมัติในภาวะฉุกเฉิน เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น ทั้งนี้ ขนาดการใช้วัคซีนลดลงเหลือ 10 ไมโครกรัม (1 ใน 3 ของขนาดที่ใช้ในผู้ใหญ่) จากข้อมูลในต่างประเทศพบการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเพียง 1.2 รายในล้านโดสที่ฉีดและไม่มีผู้ใดเสียชีวิต สำหรับในประเทศไทยพบเพียง 1.1 รายในล้านโดสที่ฉีดและไม่มีผู้เสียชีวิตเช่นเดียวกัน

เลขาธิการ อย. ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าวัคซีนทุกตัวที่อนุญาตมีความปลอดภัย มีคุณภาพ และมีประสิทธิผล ซึ่งจะส่งผลให้ลดความสูญเสียจากการติดเชื้อโควิด-19

ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
https://www.facebook.com/NBT2HDTV/posts/7579120842105560


คณะเภสัชจุฬาฯ ผลิตน้ำกระสายยาฟาวิพิราเวียร์ รสหวานสำหรับผู้ป่วยเด็กโควิด ช่วยสถานพยาบาลลดภาระการเตรียมยา

ทีมวิจัยคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คิดค้นและพัฒนาน้ำกระสายยาฟาวิพิราเวียร์ รูปแบบยาน้ำแขวนตะกอนสำหรับผู้ป่วยเด็กโควิด19 มีรสหวานอ่อนๆ รับประทานง่าย สามารถคงปริมาณตัวยาสำคัญได้ตลอดอายุการใช้งาน เก็บไว้ได้นาน 10 วัน ที่อุณหภูมิห้องหรือในตู้เย็น ซึ่งเป็นไปตามระยะเวลาการรักษาที่แพทย์แนะนำ อีกทั้งยังเป็นการลดภาระการเตรียมยาของบุคลากรทางการแพทย์ ที่ต้องนำยาเม็ดบดให้ละเอียดแล้วผสมกับน้ำหรือน้ำหวานก่อนจะนำไปป้อนให้ผู้ป่วยเด็ก

ขณะนี้ ทีมผู้วิจัยพยายามเร่งผลิตน้ำกระสายยาฟาวิพิราเวียร์ เพิ่มขึ้น เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของสถานพยาบาล โดยผลิตในห้องแลปมาตรฐานที่คณะเภสัชศาสตร์ ซึ่งเป็นระดับที่เล็กกว่าอุตสาหกรรมประมาณ 10 เท่า ทำให้ใน 1 ชั่วโมง จะเตรียมน้ำกระสายยาได้ประมาณ 10 - 20 ลิตร และใน 1 วัน จะผลิตได้ประมาณ 50 ลิตร พร้อมทั้งได้จัดทำคู่มือขั้นตอนการใช้น้ำกระสายยาผ่านการสแกน QR Code เพื่อให้สถานพยาบาลเตรียมยาสำหรับผู้ป่วยเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพและถูกต้องเหมาะสม

งานวิจัยชิ้นนี้เป็นผลงานของอาจารย์เภสัชกร ดร.วันชัย จงเจริญ และคณะผู้วิจัยประกอบด้วย ผศ.ภญ. ดร.นฤพร สุตัณฑวิบูลย์ ผศ.ภญ. ดร.ดุษฎี ชาญวาณิช รศ.ภญ. ดร.อังคณา ตันติธุวานนท์ และ อาจารย์ภก. ดร.ภาสวีร์ จันทร์สุก จากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งนี้ สถานพยาบาลหรือหน่วยงานที่สนใจน้ำกระสายยาฟาวิพิราเวียร์ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ ผศ.ภญ. ดร.นฤพร สุตัณฑวิบูลย์ โทร.083-445-9393
https://www.facebook.com/Rachadaspoke/posts/402260981903957


ครม.อนุมัติ 211 ล้าน ศึกษาการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน-ประสิทธิภาพวัคซีนโควิด 19 ของสถาบันวัคซีนแห่งชาติ

(12 เม.ย.65) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ได้เห็นชอบโครงการศึกษาความปลอดภัย (Safety)ความสามารถในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน(Immunogenicity) และประสิทธิภาพ(Vaccine Efficiency) ของแคนดิเดตซับยูนิตวัคซีนสำหรับป้องกันโรคโควิด19 ที่ใช้พืชเป็นแหล่งผลิตในมนุษย์ระยะ 2a โดยบริษัทใบยาไฟโตฟาร์ม จำกัด ของสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กรอบวงเงิน 211 ล้านบาท พร้อมกับมอบหมายให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ร่วมกับบริษัทใบยาไฟโตฟาร์ม จำกัดเร่งดำเนินการจัดทำแผนฉุกเฉิน(Contingency Plan) เพื่อเตรียมการสำหรับรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้ไม่สามารถดำเนินการทดสอบการฉีดวัคซีนในมนุษย์ภายในเดือน ก.ค. 2565 ตามแผนดำเนินโครงการ
https://www.facebook.com/ttraisuree/posts/497437175223360
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่