ป้ายพรึบ! อุ๊งอิ๊ง-ชลน่าน โพสต์อวยพรวันสงกรานต์ “สุขสะหลีปี๋ใหม่เมือง”
https://www.khaosod.co.th/politics/news_6995554
ชลน่าน-อุ๊งอิ๊ง นำทีมส.ส.เพื่อไทย ขึ้นป้าย-โพสต์อวยพรวันสงกรานต์ปี 2565 ผ่านโซเชียลมีเดีย ขอคนไทยพ้นวิกฤตโรคระบาด-เศรษฐกิจ ยืนยันพรรคพร้อมเคียงข้าง
วันที่ 12 เม.ย. 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.พ.
ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย(พท.) พร้อมด้วยส.ส.และแกนนำพรรคเพื่อไทย ขึ้นป้ายและโพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย อวยพรวันสงกรานต์ปี 2565 ร่วมกับ น.ส.
แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เนื่องในเทศกาลสงกรานต์
นพ.
ชลน่าน กล่าวอวยพรเนื่องในเทศกาลสงกรานต์หรือปีใหม่ไทยว่า พรรคเพื่อไทยขอส่งความปรารถนาดี ส่งความสุขให้ประชาชนที่เคารพรักทุกท่าน ให้มีความสุขกายสุขใจ ปราศจากทุกข์ภัยทั้งสิ้น
ขอให้หายจากภาวะวิกฤตที่ได้รุมเร้าทุกท่านมา ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจ โรคระบาด ปัญหาสังคมต่างๆ โดยเฉพาะวิกฤตโรคระบาดที่เข้าไปถึงทุกชุมชน ขอให้ท่านหายจากวิกฤตเหล่านี้แล้วมีชีวิตใหม่ที่ดีกว่า พรรคเพื่อไทยพร้อมเคียงข้างไปกับประชาชน เพื่อสร้างชีวิตใหม่ที่ดีกว่า
ราคาสินค้าพุ่งสูงรอบ 13 ปี หวั่นกระทบคนสูงวัยเงินเกษียณไม่พอใช้
https://www.thairath.co.th/business/finance/2366182
เมื่อวันที่ 12 เม.ย. 65 นาย
ณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เทรนด์สังคมผู้สูงอายุ หรือ Aging Society เป็นเทรนด์ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย
โดยจากตัวเลขของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่า ไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสมบูรณ์ในปี 2566 โดยจะมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 20% ของประชากรทั้งประเทศ และก้าวสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอดในปี 2576 โดยมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่า 28% ของประชากรทั้งประเทศ
อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญที่พบในไทย คือ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ไม่ได้เตรียมพร้อมด้านการเงินสำหรับไว้ใช้จ่ายในช่วงชีวิตหลังเกษียณ ทำให้มีปัญหาด้านการเงิน สภาพความเป็นอยู่ อีกทั้งสุขภาพที่เสื่อมถอยลง มีโรคประจำตัว บุตรหลานไม่มีเวลาเพียงพอที่จะมาดูแลได้ และถึงแม้จะมีสวัสดิการจากภาครัฐฯ แต่ก็อาจจะไม่เพียงพอที่จะช่วยให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย
นอกจากนี้ สิ่งที่ธนาคารทิสโก้เป็นห่วงมากที่สุดคือ อัตราเงินเฟ้อ ที่หนุนให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยล่าสุดอัตราเงินเฟ้อของไทยเดือนมีนาคม 2565 ได้พุ่งสูงถึง 5.73% เมื่อเทียบกับปีก่อน 64 ถือเป็นอัตราสูงสุดในรอบ 13 ปี ซึ่งผลของราคาสินค้าที่ปรับเพิ่มขึ้นกลายเป็นภาระของผู้บริโภคทุกคนรวมถึงผู้สูงอายุที่ต้องนำเงินออมออกมาใช้เพิ่มขึ้นเพื่อคงคุณภาพการดำรงชีวิตประจำวัน
ปัญหาดังกล่าวยังไม่นับรวมกับค่ารักษาพยาบาลซึ่งเป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายหลักหลังเกษียณมีแนวโน้มปรับขึ้นเฉลี่ยปีละ 8% อีกด้วย และถ้ามองเรื่องของการลงทุนในวัยที่รับความเสี่ยงได้ไม่มาก การพึ่งพารายได้จากดอกเบี้ยที่อยู่ระดับต่ำก็อาจไม่เพียงพอกับเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ จึงเป็นข้อกังวลของธนาคารทิสโก้ในฐานะที่ปรึกษาการเงิน ที่เกรงว่าเงินก้อนก่อนเกษียณของผู้สูงอายุที่เคยเตรียมมาก่อนหน้านี้อาจไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายไปจนถึงบั้นปลายชีวิต
นาย
ณัฐกฤติ กล่าวอีกว่า ปัญหาเงินออมไม่พอกับรายจ่ายของผู้สูงอายุเป็นปัญหาที่ธนาคารทิสโก้พยายามสื่อสารมาโดยตลอด ปัจจัยเสี่ยงมาจากแนวโน้มของประชากรไทยที่มีอายุยืนยาวขึ้นตามนวัตกรรมการแพทย์ที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด ซึ่งล่าสุดจากปัญหาเรื่องเงินเฟ้อที่พุ่งสูงก็เป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงที่ทำให้เงินออมหมดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้
ตัวอย่างเช่น จากเดิมที่คาดว่า ณ อายุ 60 มีเงินเก็บ 3.6 ล้านบาทนำไปลงทุนหลังเกษียณเพื่อสร้างผลตอบแทนอีก 3% ต่อปี จะทำให้มีเงินใช้เดือนละ 20,000 บาทไปจนถึงอายุ 80 ปี แต่เมื่อราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น 5% จากปัญหาเงินเฟ้อ ผู้สูงอายุจึงจำเป็นต้องนำเงินก้อนออกมาใช้เพิ่มขึ้นอีกเดือนละ 5%
หรือมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 21,000 บาท กลายเป็นว่าเงินที่เตรียมไว้จะหมดเร็วกว่าที่คาดการณ์ประมาณ 15 เดือนหรือเงินหมดเมื่อายุประมาณอายุ 78 ปี ยิ่งถ้ามีชีวิตที่ยืนยาวกว่า 80 ปีแล้ว ก็จะยิ่งกลายเป็นปัญหาที่รุนแรงมาก
สำหรับวิธีรับมือกับปัญหาเงินไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตหลังเกษียณ ธนาคารทิสโก้แนะนำให้ลูกค้า และผู้ที่กำลังวางแผนการเงินเพื่อการเกษียณอายุ ปรับเปลี่ยนจากการวางแผนเกษียณแบบเดิม เช่น ลงทุนในธุรกิจดั้งเดิมที่แนวโน้มการเติบโตสูงไม่เพียงพอต่อการสร้างเงินก้อนสำหรับเกษียณ การซื้อประกันบำนาญที่เน้นการให้ผลประโยชน์หลังเสียชีวิต โดยเปลี่ยนมาเป็นการวางแผนเกษียณแบบ Megatrends Retirement Planning ดังนี้
1. สร้างผลตอบแทนให้เงินก้อนก่อนเกษียณรูปแบบใหม่ ผ่านการลงทุนในธุรกิจที่เป็นเมกะเทรนด์ของโลก หรือ Megatrend Investment เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่มากกว่าลงทุนในธุรกิจแบบดั้งเดิม
อย่างเช่นในช่วงที่ผ่านมาธุรกิจ e-Commerce เข้ามาพลิกโฉมการซื้อขายสินค้าแบบดั้งเดิม ทำให้หุ้นเจ้าของแพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์อย่าง Amazon สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยปีละประมาณ 36% ในตลอด 25 ปีนับจากราคา IPO เอาชนะผลตอบแทนดัชนี S&P 500 ซึ่งมีธุรกิจดั้งเดิมอยู่จำนวนมากในช่วง 25 ปีที่ผ่านมาสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 9%
สำหรับธุรกิจเมกะเทรนด์ของโลกที่น่าสนใจในช่วงนี้ ธนาคารทิสโก้แนะนำการลงทุนในธีม Future Trend of Technology ที่เป็นแรงขับเคลื่อนธุรกิจในโลกยุคดิจิทัล เช่น กลุ่มธุรกิจ Cloud Computing, Cyber Security ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจโลกยุคใหม่อย่าง Metaverse ซึ่งมีโอกาสเติบโตรออยู่มาก
โดย PWC บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลก ได้ประมาณการมูลค่าตลาดรวม ของ Metaverse ว่ามีแนวโน้มเติบโตในระดับ 26% ต่อปี จากระดับ 1.48 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2564 เป็น 1.54 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2573
2. ปกป้องความเสี่ยงหลังเกษียณให้สอดรับกับกระแสโลก หรือ Megatrend Protection โดยใช้ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย และประกันโรคร้ายแรงที่มีทุนประกันสูง ที่เพียงพอสำหรับเลือกใช้บริการในโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ และยังเป็นการปกป้องความเสี่ยงด้านค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ให้เงินก้อนหลังเกษียณหมดกับค่าใช้จ่ายการรักษาที่ใช้เงินจำนวนมาก
รวมถึงควรมีหลักประกันจากประกันบำนาญที่เน้นผลประโยชน์ในขณะดำรงชีวิต (Living Benefit) มากกว่าผลประโยชน์เมื่อเสียชีวิต (Death Benefit) ซึ่งปัจจุบันมีประกันบำนาญที่สร้างเงินบำนาญสูงสุดถึง 36% ต่อปี และสามารถเลือกรับเงินบำนาญเป็นรายปีหรือรายเดือน
ทั้งนี้ เพื่อเป็นอาวุธสำคัญในการสร้างกระแสเงินสดในระดับสูงและสม่ำเสมอให้กับชีวิตในช่วงหลังเกษียณไปจนถึงอายุ 99 ปี ลดความกังวลเรื่องเงินไม่พอใช้จนถึงสิ้นอายุขัย.
ประชาชนหวั่นยอดติดเชื้อ 'พุ่ง' หลังสงกรานต์
https://www.nationtv.tv/news/378869773
สถานการณ์โควิดที่ยังระบาดหนัก ล่าสุดตัวเลขผู้เสียชีวิตทะลุ 100 ราย ส่วนยอดผู้ติดเชื้อรายวันยังสูงต่อเนื่องมากกว่า 5 หมื่นรายต่อวัน โดยช่วงหลังสงกรานต์คาดว่าอาจจะเห็นตัวเลขผู้ติดเชื้อมากกว่าแสนรายต่อวัน
สถานการณ์การระบาดโควิด-19 ที่ยังมีการติดเชื้อจากการตรวจ RT-PCR และ ATK รวมกันมากกว่า 5 หมื่นรายต่อวัน และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทะลุ 100 ราย กระทรวงสาธารณสุข คาดการณ์ว่าหลังเทศกาลสงกรานต์ จะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ เพิ่มขึ้นมากกว่าแสนราย รวมถึงผู้ป่วยอาการหนัก ผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเดินทางและรวมกลุ่มในช่วงเทศกาล
ทีมข่าวลงพื้นที่สำรวจความคิดเห็นประชาชนบอกว่า กังวลว่าหลังเทศกาลสงกรานต์จะมียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น ภาครัฐควรตั้งจุดตรวจ ATK ประชาชนก่อนการเดินทางทั้งไปและกลับเพื่อลดการกระจายเชื้อ อยากให้ภาครัฐเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ เพิ่มจำนวนเตียง โรงพยาบาลสนาม ยารักษาให้เพียงพอต่อการดูแลผู้ป่ว
ขณะที่กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า การจะทำให้สถานการณ์การระบาดไม่เกินศักยภาพระบบสาธารณสุข ทุกคนต้องร่วมมือกันป้องกันตนเองและคนในครอบครัวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ป้องกันตัวเองทุกที่ทุกเวลา ไม่รวมกลุ่มเป็นเวลานาน สวมหน้ากากอนามัยหากอยู่กับผู้สูงอายุหรือเด็กเล็ก งดสังสรรค์ปาร์ตี้ดื่มแอลกอฮอล์
อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุข ได้เตรียมพร้อมรับมือเพื่อรองรับสถานการณ์หลังสงกรานต์ โดยขยายเตียง หากอัตราครองเตียงถึง 80% สำรองยาต้านไวรัสฟาวิพิราเวียร์และโมลนูพิราเวียร์เพิ่มรวม 75 ล้านเม็ด โดยเน้นเฝ้าระวังพิเศษกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว ต้องได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น และเด็กเล็กมีโรคประจำตัวที่ไม่มีวัคซีน
JJNY : 4in1 อุ๊งอิ๊ง-ชลน่านอวยพรวันสงกรานต์│ราคาสินค้าพุ่งรอบ13ปี│ปชช.หวั่นติดเชื้อ'พุ่ง'หลังสงกรานต์│ไต้หวันออกคู่มือ
https://www.khaosod.co.th/politics/news_6995554
ชลน่าน-อุ๊งอิ๊ง นำทีมส.ส.เพื่อไทย ขึ้นป้าย-โพสต์อวยพรวันสงกรานต์ปี 2565 ผ่านโซเชียลมีเดีย ขอคนไทยพ้นวิกฤตโรคระบาด-เศรษฐกิจ ยืนยันพรรคพร้อมเคียงข้าง
วันที่ 12 เม.ย. 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.พ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย(พท.) พร้อมด้วยส.ส.และแกนนำพรรคเพื่อไทย ขึ้นป้ายและโพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย อวยพรวันสงกรานต์ปี 2565 ร่วมกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เนื่องในเทศกาลสงกรานต์
นพ.ชลน่าน กล่าวอวยพรเนื่องในเทศกาลสงกรานต์หรือปีใหม่ไทยว่า พรรคเพื่อไทยขอส่งความปรารถนาดี ส่งความสุขให้ประชาชนที่เคารพรักทุกท่าน ให้มีความสุขกายสุขใจ ปราศจากทุกข์ภัยทั้งสิ้น
ขอให้หายจากภาวะวิกฤตที่ได้รุมเร้าทุกท่านมา ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจ โรคระบาด ปัญหาสังคมต่างๆ โดยเฉพาะวิกฤตโรคระบาดที่เข้าไปถึงทุกชุมชน ขอให้ท่านหายจากวิกฤตเหล่านี้แล้วมีชีวิตใหม่ที่ดีกว่า พรรคเพื่อไทยพร้อมเคียงข้างไปกับประชาชน เพื่อสร้างชีวิตใหม่ที่ดีกว่า
ราคาสินค้าพุ่งสูงรอบ 13 ปี หวั่นกระทบคนสูงวัยเงินเกษียณไม่พอใช้
https://www.thairath.co.th/business/finance/2366182
เมื่อวันที่ 12 เม.ย. 65 นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เทรนด์สังคมผู้สูงอายุ หรือ Aging Society เป็นเทรนด์ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย
โดยจากตัวเลขของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่า ไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสมบูรณ์ในปี 2566 โดยจะมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 20% ของประชากรทั้งประเทศ และก้าวสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอดในปี 2576 โดยมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่า 28% ของประชากรทั้งประเทศ
อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญที่พบในไทย คือ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ไม่ได้เตรียมพร้อมด้านการเงินสำหรับไว้ใช้จ่ายในช่วงชีวิตหลังเกษียณ ทำให้มีปัญหาด้านการเงิน สภาพความเป็นอยู่ อีกทั้งสุขภาพที่เสื่อมถอยลง มีโรคประจำตัว บุตรหลานไม่มีเวลาเพียงพอที่จะมาดูแลได้ และถึงแม้จะมีสวัสดิการจากภาครัฐฯ แต่ก็อาจจะไม่เพียงพอที่จะช่วยให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย
นอกจากนี้ สิ่งที่ธนาคารทิสโก้เป็นห่วงมากที่สุดคือ อัตราเงินเฟ้อ ที่หนุนให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยล่าสุดอัตราเงินเฟ้อของไทยเดือนมีนาคม 2565 ได้พุ่งสูงถึง 5.73% เมื่อเทียบกับปีก่อน 64 ถือเป็นอัตราสูงสุดในรอบ 13 ปี ซึ่งผลของราคาสินค้าที่ปรับเพิ่มขึ้นกลายเป็นภาระของผู้บริโภคทุกคนรวมถึงผู้สูงอายุที่ต้องนำเงินออมออกมาใช้เพิ่มขึ้นเพื่อคงคุณภาพการดำรงชีวิตประจำวัน
ปัญหาดังกล่าวยังไม่นับรวมกับค่ารักษาพยาบาลซึ่งเป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายหลักหลังเกษียณมีแนวโน้มปรับขึ้นเฉลี่ยปีละ 8% อีกด้วย และถ้ามองเรื่องของการลงทุนในวัยที่รับความเสี่ยงได้ไม่มาก การพึ่งพารายได้จากดอกเบี้ยที่อยู่ระดับต่ำก็อาจไม่เพียงพอกับเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ จึงเป็นข้อกังวลของธนาคารทิสโก้ในฐานะที่ปรึกษาการเงิน ที่เกรงว่าเงินก้อนก่อนเกษียณของผู้สูงอายุที่เคยเตรียมมาก่อนหน้านี้อาจไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายไปจนถึงบั้นปลายชีวิต
นายณัฐกฤติ กล่าวอีกว่า ปัญหาเงินออมไม่พอกับรายจ่ายของผู้สูงอายุเป็นปัญหาที่ธนาคารทิสโก้พยายามสื่อสารมาโดยตลอด ปัจจัยเสี่ยงมาจากแนวโน้มของประชากรไทยที่มีอายุยืนยาวขึ้นตามนวัตกรรมการแพทย์ที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด ซึ่งล่าสุดจากปัญหาเรื่องเงินเฟ้อที่พุ่งสูงก็เป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงที่ทำให้เงินออมหมดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้
ตัวอย่างเช่น จากเดิมที่คาดว่า ณ อายุ 60 มีเงินเก็บ 3.6 ล้านบาทนำไปลงทุนหลังเกษียณเพื่อสร้างผลตอบแทนอีก 3% ต่อปี จะทำให้มีเงินใช้เดือนละ 20,000 บาทไปจนถึงอายุ 80 ปี แต่เมื่อราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น 5% จากปัญหาเงินเฟ้อ ผู้สูงอายุจึงจำเป็นต้องนำเงินก้อนออกมาใช้เพิ่มขึ้นอีกเดือนละ 5%
หรือมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 21,000 บาท กลายเป็นว่าเงินที่เตรียมไว้จะหมดเร็วกว่าที่คาดการณ์ประมาณ 15 เดือนหรือเงินหมดเมื่อายุประมาณอายุ 78 ปี ยิ่งถ้ามีชีวิตที่ยืนยาวกว่า 80 ปีแล้ว ก็จะยิ่งกลายเป็นปัญหาที่รุนแรงมาก
สำหรับวิธีรับมือกับปัญหาเงินไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตหลังเกษียณ ธนาคารทิสโก้แนะนำให้ลูกค้า และผู้ที่กำลังวางแผนการเงินเพื่อการเกษียณอายุ ปรับเปลี่ยนจากการวางแผนเกษียณแบบเดิม เช่น ลงทุนในธุรกิจดั้งเดิมที่แนวโน้มการเติบโตสูงไม่เพียงพอต่อการสร้างเงินก้อนสำหรับเกษียณ การซื้อประกันบำนาญที่เน้นการให้ผลประโยชน์หลังเสียชีวิต โดยเปลี่ยนมาเป็นการวางแผนเกษียณแบบ Megatrends Retirement Planning ดังนี้
1. สร้างผลตอบแทนให้เงินก้อนก่อนเกษียณรูปแบบใหม่ ผ่านการลงทุนในธุรกิจที่เป็นเมกะเทรนด์ของโลก หรือ Megatrend Investment เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่มากกว่าลงทุนในธุรกิจแบบดั้งเดิม
อย่างเช่นในช่วงที่ผ่านมาธุรกิจ e-Commerce เข้ามาพลิกโฉมการซื้อขายสินค้าแบบดั้งเดิม ทำให้หุ้นเจ้าของแพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์อย่าง Amazon สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยปีละประมาณ 36% ในตลอด 25 ปีนับจากราคา IPO เอาชนะผลตอบแทนดัชนี S&P 500 ซึ่งมีธุรกิจดั้งเดิมอยู่จำนวนมากในช่วง 25 ปีที่ผ่านมาสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 9%
สำหรับธุรกิจเมกะเทรนด์ของโลกที่น่าสนใจในช่วงนี้ ธนาคารทิสโก้แนะนำการลงทุนในธีม Future Trend of Technology ที่เป็นแรงขับเคลื่อนธุรกิจในโลกยุคดิจิทัล เช่น กลุ่มธุรกิจ Cloud Computing, Cyber Security ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจโลกยุคใหม่อย่าง Metaverse ซึ่งมีโอกาสเติบโตรออยู่มาก
โดย PWC บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลก ได้ประมาณการมูลค่าตลาดรวม ของ Metaverse ว่ามีแนวโน้มเติบโตในระดับ 26% ต่อปี จากระดับ 1.48 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2564 เป็น 1.54 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2573
2. ปกป้องความเสี่ยงหลังเกษียณให้สอดรับกับกระแสโลก หรือ Megatrend Protection โดยใช้ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย และประกันโรคร้ายแรงที่มีทุนประกันสูง ที่เพียงพอสำหรับเลือกใช้บริการในโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ และยังเป็นการปกป้องความเสี่ยงด้านค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ให้เงินก้อนหลังเกษียณหมดกับค่าใช้จ่ายการรักษาที่ใช้เงินจำนวนมาก
รวมถึงควรมีหลักประกันจากประกันบำนาญที่เน้นผลประโยชน์ในขณะดำรงชีวิต (Living Benefit) มากกว่าผลประโยชน์เมื่อเสียชีวิต (Death Benefit) ซึ่งปัจจุบันมีประกันบำนาญที่สร้างเงินบำนาญสูงสุดถึง 36% ต่อปี และสามารถเลือกรับเงินบำนาญเป็นรายปีหรือรายเดือน
ทั้งนี้ เพื่อเป็นอาวุธสำคัญในการสร้างกระแสเงินสดในระดับสูงและสม่ำเสมอให้กับชีวิตในช่วงหลังเกษียณไปจนถึงอายุ 99 ปี ลดความกังวลเรื่องเงินไม่พอใช้จนถึงสิ้นอายุขัย.
ประชาชนหวั่นยอดติดเชื้อ 'พุ่ง' หลังสงกรานต์
https://www.nationtv.tv/news/378869773
สถานการณ์โควิดที่ยังระบาดหนัก ล่าสุดตัวเลขผู้เสียชีวิตทะลุ 100 ราย ส่วนยอดผู้ติดเชื้อรายวันยังสูงต่อเนื่องมากกว่า 5 หมื่นรายต่อวัน โดยช่วงหลังสงกรานต์คาดว่าอาจจะเห็นตัวเลขผู้ติดเชื้อมากกว่าแสนรายต่อวัน
สถานการณ์การระบาดโควิด-19 ที่ยังมีการติดเชื้อจากการตรวจ RT-PCR และ ATK รวมกันมากกว่า 5 หมื่นรายต่อวัน และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทะลุ 100 ราย กระทรวงสาธารณสุข คาดการณ์ว่าหลังเทศกาลสงกรานต์ จะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ เพิ่มขึ้นมากกว่าแสนราย รวมถึงผู้ป่วยอาการหนัก ผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเดินทางและรวมกลุ่มในช่วงเทศกาล
ทีมข่าวลงพื้นที่สำรวจความคิดเห็นประชาชนบอกว่า กังวลว่าหลังเทศกาลสงกรานต์จะมียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น ภาครัฐควรตั้งจุดตรวจ ATK ประชาชนก่อนการเดินทางทั้งไปและกลับเพื่อลดการกระจายเชื้อ อยากให้ภาครัฐเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ เพิ่มจำนวนเตียง โรงพยาบาลสนาม ยารักษาให้เพียงพอต่อการดูแลผู้ป่ว
ขณะที่กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า การจะทำให้สถานการณ์การระบาดไม่เกินศักยภาพระบบสาธารณสุข ทุกคนต้องร่วมมือกันป้องกันตนเองและคนในครอบครัวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ป้องกันตัวเองทุกที่ทุกเวลา ไม่รวมกลุ่มเป็นเวลานาน สวมหน้ากากอนามัยหากอยู่กับผู้สูงอายุหรือเด็กเล็ก งดสังสรรค์ปาร์ตี้ดื่มแอลกอฮอล์
อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุข ได้เตรียมพร้อมรับมือเพื่อรองรับสถานการณ์หลังสงกรานต์ โดยขยายเตียง หากอัตราครองเตียงถึง 80% สำรองยาต้านไวรัสฟาวิพิราเวียร์และโมลนูพิราเวียร์เพิ่มรวม 75 ล้านเม็ด โดยเน้นเฝ้าระวังพิเศษกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว ต้องได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น และเด็กเล็กมีโรคประจำตัวที่ไม่มีวัคซีน