เสื้อแดง ร่วมรำลึก 12 ปี สลายชุมนุมปี53 'จตุพร'เผย ทุกคนไม่มีวันลืมการต่อสู้
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7058049
เสื้อแดง ร่วมทำบุญรำลึก 12 ปี สลายชุมนุมปี53 ‘จตุพร’เผย คนเสื้อแดงเป็นพวกที่ได้รับอยุติธรรมมากที่สุด ทุกคนไม่มีวันลืมการต่อสู้
วันที่ 19 พ.ค. 65 ที่สถานีโทรทัศน์พีซทีวี รามอินทรา 40 กรุงเทพฯ นาย
จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พร้อมด้วย นาย
ศักดิ์ระพี พรหมชาติ นาย
ยศวริศ ชูกล่อม หรือ
เจ๋ง ดอกจิก นาย
ทอม ดันดี นาย
สุริยา ชินพันธ์ พร้อมด้วยญาติวีรชน อาทิ นาง
พะเยาว์ อัคฮาด และนาย
ณัทพัช อัคฮาด ซึ่งเป็นมารดาและน้องชายของ น.ส.
กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่เสียชีวิตจากกระสุนปืนภายในวัดปทุมวนาราม ในเหตุการณ์เดือนพ.ค. 53
โดยมีมวลชนคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่ง ร่วมกันรำลึกและทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้วีรชนที่ร่วมต่อสู้ในเหตุการณ์ เมษา-พฤษภา 53 เนื่องในโอกาสครบรอบ 12 ปี 10 เมษา 2553 ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดง และมีการนำรูปวีรชนที่เสียชีวิตมาประกอบพิธีทำบุญ พร้อมนิมนต์พระสงฆ์ จากวัดพระยาสุเรนทร์จำนวน 9 รูป มาประกอบพิธีกรรมทางศาสนา พร้อมถวายสังฆทาน และกรวดน้ำให้วีรชนที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าว
นาย
จตุพร กล่าวว่า วันนี้เป็นวันครบรอบ 12 ปี 19 พ.ค. 53 การต่อสู้คนเสื้อแดงมีก่อนหน้านี้ 3 ปี รวมเป็น 15 ปี แต่ผ่านความตายมา 12 ปี เป็นการตายจากการชุมนุม ส่งเสียงเรียกร้องให้ยุบสภา แต่กลับมีความตายมากกว่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เหตุการณ์ 14 ต.ค. 2516 มีคนตาย 70 กว่าชีวิต 16 ต.ค. 2519 ตาย 40 กว่าชีวิต พฤษภาทมิฬ ตาย 80 กว่าชีวิต แต่คนเสื้อแดงตาย 99 ศพ และบาดเจ็บจำนวนมาก
เป็นเหตุการณ์ที่ผู้ฆ่าไม่เคยถูกดำเนินคดี ฝ่ายถูกฆ่าติดคุกกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่ประชาชนยันแกนนำ คดียังไม่สิ้นสุดจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นความความผูกพันของคนเสื้อแดงจึงมีมาก เพราะเป็นการร่วมเป็นร่วมตาย และทุกคนไม่มีวันลืมการต่อสู้ที่ผ่านมา
นาย
จตุพร กล่าวต่อว่า 12 ปีที่ผ่านมาไม่มีอะไรที่พวกเราไม่ได้กระทำ ทั้งร้องศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือแม้กระทั่งผลการไต่สวนชันสูตร ระบุชัดเจนว่าคนเสื้อแดงตายจากว่า เกิดจากกระสุนปืนจากเจ้าหน้าที่รัฐ หรือยิงจากฝั่งเจ้าหน้าที่รัฐ ภายใต้คำสั่ง ศอฉ. แม้พวกเราไม่มีความหวังในการทวงคืนความยุติธรรม
แต่ต้องหยุดเหยียดย้ำผู้ตายว่า เป็นผู้ก่อการร้าย เพราะผลตรวจสอบออกมาแล้วว่าผู้ตายไม่มีเขม่าดินปืนแม้แต่รายเดียว อันจะเป็นข้ออ้างว่าผู้ตายยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้ คนเสื้อแดงเป็นพวกที่ได้รับอยุติธรรมมากที่สุด และไม่มีวันจะได้รับความยุติธรรม
วิจัยกรุงศรี ชี้เศรษฐกิจไทยอ่อนแอลดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
https://www.posttoday.com/finance-stock/news/683475
วิจัยกรุงศรี ชี้เศรษฐกิจไทยอ่อนแอลดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ลุ้นรัฐบาลออกมาตรการคนละครึ่งเฟส 5 พยุงเศรษฐกิจเพิ่ม
ศูนย์วิจัยกรุงศรี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ประเมินว่า เศรษฐกิจไตรมาสแรกของปี 2565 ขยายตัว 2.2% YoY แนวโน้มทั้งปีวิจัยกรุงศรียังคงคาดการณ์เติบโตที่ 2.8% สภาพัฒน์ฯ เผย GDP ในไตรมาสแรกของปีนี้เติบโตต่อเนื่องจาก 1.8% ในไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน ปัจจัยหนุนสำคัญจากการขยายตัวเร่งขึ้นของการบริโภคภาคเอกชน และการส่งออกภาคบริการจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว ผนวกกับการเติบโตอย่างต่อเนื่องของการส่งออกสินค้าและการบริโภคภาครัฐ อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาครัฐกลับมาหดตัว ด้านภาคการผลิต สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร และสาขาเกษตรกลับมาขยายตัว ส่วนสาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม สาขาการขายส่ง ขายปลีก เติบโตชะลอลง ขณะที่สาขาก่อสร้างหดตัวต่อเนื่อง
แม้ภาพรวมเศรษฐกิจมีสัญญาณเชิงบวกจาก GDP ในไตรมาสแรกของปี ซึ่งเมื่อหักผลของปัจจัยทางฤดูกาลแล้วขยายตัว 1.1% QoQ sa ดีกว่าที่วิจัยกรุงศรีและผลสำรวจรอยเตอร์คาดไว้ที่ 0.8% และ 0.9% ตามลำดับ ผนวกกับแนวโน้มการเปิดประเทศที่เร็วกว่าคาด แต่ในช่วงที่เหลือของปีเศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงภายนอกและแรงกดดันจากภายใน จาก
(i) ผลกระทบเชิงลบของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อเกินคาดและยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง
(ii) การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจากมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวดซึ่งอาจกระทบต่อการส่งออกไทยและภาวะชะงักงันของห่วงโซ่การผลิต
และ (iii) แรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อในประเทศที่เร่งขึ้น การลดการอุดหนุนจากภาครัฐ (อาทิ น้ำมันดีเซล และก๊าซหุงต้ม) และการทยอยลดลงของมาตรการพยุงเศรษฐกิจ ซึ่งอาจส่งผลต่อกำลังซื้อในประเทศ
วิจัยกรุงศรีจึงยังคงประมาณการ GDP ปีนี้จะขยายตัวที่ 2.8% ขณะที่ล่าสุดสภาพัฒน์ฯ ได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้เหลือเติบโต 2.5-3.5% จากเดิมคาด 3.5-4.5% และปรับคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเป็น 4.2-5.2% จากเดิมคาด 1.5-2.5%
ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคร่วงใกล้แตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ทางการเตรียมออกโครงการคนละครึ่งเฟส 5 พยุงการใช้จ่าย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเมษายนปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือน ที่ 40.7 ถือเป็นระดับที่ต่ำรองจากเดือนสิงหาคม 2564 ที่ทำสถิติต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 39.6 และเทียบกับ 42.0 ในเดือนมีนาคม 2565 สาเหตุสำคัญจากความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนในช่วงเดือนเมษายนที่ยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อสูง ปัญหาค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและน้ำมันเชื้อเพลิง
ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวสะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ในระยะ 6 เดือนข้างหน้า ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือนที่ 48.0 บ่งชี้ถึงอุปสงค์ภายในประเทศยังอยู่ในภาวะอ่อนแอท่ามกลางแรงกดดันทางด้านราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ในระดับสูง จากผลกระทบของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียยูเครนที่ยืดเยื้อ มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียที่แรงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังพอมีปัจจัยบวกที่อาจช่วยสนับสนุนการใช้จ่ายและฟื้นความเชื่อมั่นได้บ้างในระยะถัดไป หลังสถานการณ์การระบาดบรรเทาลง ทางการทยอยปรับลดระดับการแจ้งเตือนภัยโควิดเพื่อสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น ผนวกกับมาตรการรัฐเพื่อพยุงการใช้จ่ายในประเทศ โดยมีการขยายโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 4 เพิ่มอีก1 ล้านสิทธิ์ ขยับเป็นสิ้นสุดเดือนกันยายน 2565 (เดิมพฤษภาคม) รวมถึงมีการเตรียมออกโครงการคนละครึ่งเฟส 5
นักกฎหมาย อัดรบ.ทำลายหลักประกันความมั่นคงผู้สูงอายุ หลังไฟเขียวกม.นำเงินชราภาพใช้ก่อนเกษียณ
https://www.matichon.co.th/economy/news_3350626
ดร.พีรภัทร นักกฎหมายการเงิน อัดรบ.ทำลายหลักประกันความมั่นคงผู้สูงอายุ หลังครม.ไฟเขียวกม.ให้นำเงินชราภาพใช้ก่อนเกษียณ ชี้การแก้เกณฑ์แบบนี้ ไม่ช่วยประชาชน แต่หลอกให้เข้าใจผิด
กรณี ครม.ไฟเขียว ร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม ปรับสิทธิประโยชน์กองทุนฯ นำเงินชราภาพใช้ก่อนเกษียณ-ค้ำประกันการกู้เงินธนาคาร ล่าสุด ดร.
พีรภัทร ฝอยทอง ทนายความและนักวางแผนการเงินชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Dr. Pete Peerapat แสดงความไม่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว โดยระบุว่า
“ปัญหาหนึ่งของสังคมผู้สูงอายุ คือ ผู้สูงวัยมีเงินไม่พอใช้หลังเกษียณ แต่ ครม กลับอนุมัติหลักการให้ผู้ประกันตนสามารถขอคืน/กู้เงินบำนาญชราภาพออกมาใช้ก่อนได้ แล้วผู้สูงวัยจะมีหลักประกันอะไรในอนาคต?
หลายคนอาจยังมองภาพไม่ออกว่าทำไม การที่รัฐเอาเงิน #กองทุนชราภาพ มาให้ใช้ก่อนถึงจะเกิดปัญหา
มาลองดูตัวอย่างจากคณิตศาสตร์อย่างง่าย ๆ กันนะครับ
สมมุติว่าเราเริ่มต้นทำงานอายุ 25 แล้วเกษียณอายุ 60 ปี จ่ายประกันสังคมเดือนละ 750 บาท
รวมเราจ่ายเงินไป 750 x 35 ปี x 12 เดือน = 315,000 บาท
หลังเกษียณตั้งอายุ 61 สมมุติว่าเรามีอายุจนถึง 80 ปี เราจะได้เงินบำนาญจากประกันสังคมเดือนละ 7,500 บาท
รวมเราจะได้เงินทั้งหมด 7,500 x 20 ปี x 12 เดือน = 1,800,000 บาท
แปลว่า เราได้เงินมากกว่าเราออม 1.5 ล้าน ซึ่งส่วนหนึ่งคือนายจ้างของเราสมทบให้เท่ากับที่เราจ่าย และอีกส่วนก็มาจากการสมทบของรัฐบาล แต่ก็ยังน้อยกว่าที่เราจะได้เป็นล้านบาทครับ
และความจริง 750 บาทที่เราจ่ายนั้น มันแบ่งเป็น ประกันสุขภาพ ประกันการว่างงานด้วย ที่เหลือไปสะสมใน กองทุนชราภาพ จริง ๆ แค่ 450 บาทเองครับ
แปลว่า เราจะได้มากกว่าสิ่งที่จ่ายไปมาก
แต่การที่กองทุนประกันสังคมจะหาเงินมาจ่ายให้เราได้นั้น มันไม่ได้เกิดจากการขอเงินรัฐบาลมาจ่ายนะครับ เพราะรัฐบาลไม่ให้อยู่แล้ว
แต่กองทุนประกันสังคม จะต้องเอาเงินของเราไปลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนงอกเงย
เช่นลงทุนให้ได้ปีละ 5-6% เป็นระยะเวลา 30-40 ปี ซึ่งผลตอบแทนมันจะทบต้นทบดอกมาก ทำให้กองทุนมีเงินจ่ายบำนาญให้กับผู้ที่เกษียณไงครับ
พอรัฐบาลมาแก้กฎหมายให้มาขอคืน หรือ ขอกู้เงินจากกองทุนออกไปได้
แปลว่าเงินต้นก็จะได้น้อยลง ต่อให้ได้ผลตอบแทนเท่าเดิม แต่ดอกผลที่จะทบต้นทบดอกมันก็น้อยลงไปด้วย
เช่น ฝาก 1,000 ได้ดอก 5% ก็ได้ 50 บาท แต่ถ้าต้นเหลือ 100 บาท เราก็จะเหลือดอกเพียงปีละ 5 บาท
แล้วแบบนี้ กองทุนจะมีเงินจ่ายเงินบำนาญให้กับผู้ประกันตนได้เพียงพอหรือครับ ?
ดังนั้น การที่รัฐบาลแก้เกณฑ์แบบนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่รัฐบาลช่วยเหลือประชาชนหรอกครับ
แต่หลอกให้ประชาชนเข้าใจว่าเขาได้เงิน แต่จริง ๆ เงินนั้นก็คือเงินของเราเองที่ออมไว้ใช้ตอนเกษียณ
และไม่ได้บอกความจริงว่า ถ้าเอาเงินนี้ออกมาแล้ว เงินบำนาญที่จะต้องได้หลังเกษียณ อาจจะมีไม่เพียงพอ ถึงวันนั้นแทนที่จะได้เดือนละ 7,500 บาท แต่เราต้องไปรับเบี้ยยังชีพชราภาพเดือนละ 6-700 บาทแทน
เข้าใจว่าตอนนี้หลายคนมีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง แต่มันก็เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องแก้ปัญหานี้ครับ
ไม่ว่าจะหาเงินจากไหนมาแจกจ่าย หรือทำยังไงที่จะอุดหนุนเพื่อลดค่าครองชีพ เช่น ลดค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมัน ฯลฯ
จะทำวิธีไหนก็ได้ แต่ไม่ใช่เอาเงินออมของเราออกมา
เพราะมันเป็นการทำลายหลักประกันความมั่นคงของผู้สูงอายุในอนาคตครับ
และประชาชนอย่างเรา ก็อย่าไปหลงดีใจกับที่รัฐบาลเอาเงินของเราเองในอนาคตนั่นแหละมาให้เราใช้ตอนนี้”
https://www.facebook.com/drpeerapat.f/posts/554688299354958
JJNY : เสื้อแดงรำลึก12ปี│ชี้ศก.ไทยอ่อนแอสุดเป็นประวัติการณ์│อัดรบ.ทำลายหลักประกันความมั่นคงผู้สูงอายุ│ปุ๋ยแพง ทำน้ำยางลด
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7058049
วันที่ 19 พ.ค. 65 ที่สถานีโทรทัศน์พีซทีวี รามอินทรา 40 กรุงเทพฯ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พร้อมด้วย นายศักดิ์ระพี พรหมชาติ นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก นายทอม ดันดี นายสุริยา ชินพันธ์ พร้อมด้วยญาติวีรชน อาทิ นางพะเยาว์ อัคฮาด และนายณัทพัช อัคฮาด ซึ่งเป็นมารดาและน้องชายของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่เสียชีวิตจากกระสุนปืนภายในวัดปทุมวนาราม ในเหตุการณ์เดือนพ.ค. 53
โดยมีมวลชนคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่ง ร่วมกันรำลึกและทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้วีรชนที่ร่วมต่อสู้ในเหตุการณ์ เมษา-พฤษภา 53 เนื่องในโอกาสครบรอบ 12 ปี 10 เมษา 2553 ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดง และมีการนำรูปวีรชนที่เสียชีวิตมาประกอบพิธีทำบุญ พร้อมนิมนต์พระสงฆ์ จากวัดพระยาสุเรนทร์จำนวน 9 รูป มาประกอบพิธีกรรมทางศาสนา พร้อมถวายสังฆทาน และกรวดน้ำให้วีรชนที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าว
นายจตุพร กล่าวว่า วันนี้เป็นวันครบรอบ 12 ปี 19 พ.ค. 53 การต่อสู้คนเสื้อแดงมีก่อนหน้านี้ 3 ปี รวมเป็น 15 ปี แต่ผ่านความตายมา 12 ปี เป็นการตายจากการชุมนุม ส่งเสียงเรียกร้องให้ยุบสภา แต่กลับมีความตายมากกว่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เหตุการณ์ 14 ต.ค. 2516 มีคนตาย 70 กว่าชีวิต 16 ต.ค. 2519 ตาย 40 กว่าชีวิต พฤษภาทมิฬ ตาย 80 กว่าชีวิต แต่คนเสื้อแดงตาย 99 ศพ และบาดเจ็บจำนวนมาก
เป็นเหตุการณ์ที่ผู้ฆ่าไม่เคยถูกดำเนินคดี ฝ่ายถูกฆ่าติดคุกกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่ประชาชนยันแกนนำ คดียังไม่สิ้นสุดจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นความความผูกพันของคนเสื้อแดงจึงมีมาก เพราะเป็นการร่วมเป็นร่วมตาย และทุกคนไม่มีวันลืมการต่อสู้ที่ผ่านมา
นายจตุพร กล่าวต่อว่า 12 ปีที่ผ่านมาไม่มีอะไรที่พวกเราไม่ได้กระทำ ทั้งร้องศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือแม้กระทั่งผลการไต่สวนชันสูตร ระบุชัดเจนว่าคนเสื้อแดงตายจากว่า เกิดจากกระสุนปืนจากเจ้าหน้าที่รัฐ หรือยิงจากฝั่งเจ้าหน้าที่รัฐ ภายใต้คำสั่ง ศอฉ. แม้พวกเราไม่มีความหวังในการทวงคืนความยุติธรรม
แต่ต้องหยุดเหยียดย้ำผู้ตายว่า เป็นผู้ก่อการร้าย เพราะผลตรวจสอบออกมาแล้วว่าผู้ตายไม่มีเขม่าดินปืนแม้แต่รายเดียว อันจะเป็นข้ออ้างว่าผู้ตายยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้ คนเสื้อแดงเป็นพวกที่ได้รับอยุติธรรมมากที่สุด และไม่มีวันจะได้รับความยุติธรรม
วิจัยกรุงศรี ชี้เศรษฐกิจไทยอ่อนแอลดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
https://www.posttoday.com/finance-stock/news/683475
วิจัยกรุงศรี ชี้เศรษฐกิจไทยอ่อนแอลดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ลุ้นรัฐบาลออกมาตรการคนละครึ่งเฟส 5 พยุงเศรษฐกิจเพิ่ม
ศูนย์วิจัยกรุงศรี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ประเมินว่า เศรษฐกิจไตรมาสแรกของปี 2565 ขยายตัว 2.2% YoY แนวโน้มทั้งปีวิจัยกรุงศรียังคงคาดการณ์เติบโตที่ 2.8% สภาพัฒน์ฯ เผย GDP ในไตรมาสแรกของปีนี้เติบโตต่อเนื่องจาก 1.8% ในไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน ปัจจัยหนุนสำคัญจากการขยายตัวเร่งขึ้นของการบริโภคภาคเอกชน และการส่งออกภาคบริการจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว ผนวกกับการเติบโตอย่างต่อเนื่องของการส่งออกสินค้าและการบริโภคภาครัฐ อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาครัฐกลับมาหดตัว ด้านภาคการผลิต สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร และสาขาเกษตรกลับมาขยายตัว ส่วนสาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม สาขาการขายส่ง ขายปลีก เติบโตชะลอลง ขณะที่สาขาก่อสร้างหดตัวต่อเนื่อง
แม้ภาพรวมเศรษฐกิจมีสัญญาณเชิงบวกจาก GDP ในไตรมาสแรกของปี ซึ่งเมื่อหักผลของปัจจัยทางฤดูกาลแล้วขยายตัว 1.1% QoQ sa ดีกว่าที่วิจัยกรุงศรีและผลสำรวจรอยเตอร์คาดไว้ที่ 0.8% และ 0.9% ตามลำดับ ผนวกกับแนวโน้มการเปิดประเทศที่เร็วกว่าคาด แต่ในช่วงที่เหลือของปีเศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงภายนอกและแรงกดดันจากภายใน จาก
(i) ผลกระทบเชิงลบของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อเกินคาดและยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง
(ii) การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจากมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวดซึ่งอาจกระทบต่อการส่งออกไทยและภาวะชะงักงันของห่วงโซ่การผลิต
และ (iii) แรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อในประเทศที่เร่งขึ้น การลดการอุดหนุนจากภาครัฐ (อาทิ น้ำมันดีเซล และก๊าซหุงต้ม) และการทยอยลดลงของมาตรการพยุงเศรษฐกิจ ซึ่งอาจส่งผลต่อกำลังซื้อในประเทศ
วิจัยกรุงศรีจึงยังคงประมาณการ GDP ปีนี้จะขยายตัวที่ 2.8% ขณะที่ล่าสุดสภาพัฒน์ฯ ได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้เหลือเติบโต 2.5-3.5% จากเดิมคาด 3.5-4.5% และปรับคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเป็น 4.2-5.2% จากเดิมคาด 1.5-2.5%
ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคร่วงใกล้แตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ทางการเตรียมออกโครงการคนละครึ่งเฟส 5 พยุงการใช้จ่าย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเมษายนปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือน ที่ 40.7 ถือเป็นระดับที่ต่ำรองจากเดือนสิงหาคม 2564 ที่ทำสถิติต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 39.6 และเทียบกับ 42.0 ในเดือนมีนาคม 2565 สาเหตุสำคัญจากความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนในช่วงเดือนเมษายนที่ยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อสูง ปัญหาค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและน้ำมันเชื้อเพลิง
ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวสะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ในระยะ 6 เดือนข้างหน้า ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือนที่ 48.0 บ่งชี้ถึงอุปสงค์ภายในประเทศยังอยู่ในภาวะอ่อนแอท่ามกลางแรงกดดันทางด้านราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ในระดับสูง จากผลกระทบของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียยูเครนที่ยืดเยื้อ มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียที่แรงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังพอมีปัจจัยบวกที่อาจช่วยสนับสนุนการใช้จ่ายและฟื้นความเชื่อมั่นได้บ้างในระยะถัดไป หลังสถานการณ์การระบาดบรรเทาลง ทางการทยอยปรับลดระดับการแจ้งเตือนภัยโควิดเพื่อสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น ผนวกกับมาตรการรัฐเพื่อพยุงการใช้จ่ายในประเทศ โดยมีการขยายโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 4 เพิ่มอีก1 ล้านสิทธิ์ ขยับเป็นสิ้นสุดเดือนกันยายน 2565 (เดิมพฤษภาคม) รวมถึงมีการเตรียมออกโครงการคนละครึ่งเฟส 5
นักกฎหมาย อัดรบ.ทำลายหลักประกันความมั่นคงผู้สูงอายุ หลังไฟเขียวกม.นำเงินชราภาพใช้ก่อนเกษียณ
https://www.matichon.co.th/economy/news_3350626
ดร.พีรภัทร นักกฎหมายการเงิน อัดรบ.ทำลายหลักประกันความมั่นคงผู้สูงอายุ หลังครม.ไฟเขียวกม.ให้นำเงินชราภาพใช้ก่อนเกษียณ ชี้การแก้เกณฑ์แบบนี้ ไม่ช่วยประชาชน แต่หลอกให้เข้าใจผิด
กรณี ครม.ไฟเขียว ร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม ปรับสิทธิประโยชน์กองทุนฯ นำเงินชราภาพใช้ก่อนเกษียณ-ค้ำประกันการกู้เงินธนาคาร ล่าสุด ดร.พีรภัทร ฝอยทอง ทนายความและนักวางแผนการเงินชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Dr. Pete Peerapat แสดงความไม่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว โดยระบุว่า
“ปัญหาหนึ่งของสังคมผู้สูงอายุ คือ ผู้สูงวัยมีเงินไม่พอใช้หลังเกษียณ แต่ ครม กลับอนุมัติหลักการให้ผู้ประกันตนสามารถขอคืน/กู้เงินบำนาญชราภาพออกมาใช้ก่อนได้ แล้วผู้สูงวัยจะมีหลักประกันอะไรในอนาคต?
หลายคนอาจยังมองภาพไม่ออกว่าทำไม การที่รัฐเอาเงิน #กองทุนชราภาพ มาให้ใช้ก่อนถึงจะเกิดปัญหา
มาลองดูตัวอย่างจากคณิตศาสตร์อย่างง่าย ๆ กันนะครับ
สมมุติว่าเราเริ่มต้นทำงานอายุ 25 แล้วเกษียณอายุ 60 ปี จ่ายประกันสังคมเดือนละ 750 บาท
รวมเราจ่ายเงินไป 750 x 35 ปี x 12 เดือน = 315,000 บาท
หลังเกษียณตั้งอายุ 61 สมมุติว่าเรามีอายุจนถึง 80 ปี เราจะได้เงินบำนาญจากประกันสังคมเดือนละ 7,500 บาท
รวมเราจะได้เงินทั้งหมด 7,500 x 20 ปี x 12 เดือน = 1,800,000 บาท
แปลว่า เราได้เงินมากกว่าเราออม 1.5 ล้าน ซึ่งส่วนหนึ่งคือนายจ้างของเราสมทบให้เท่ากับที่เราจ่าย และอีกส่วนก็มาจากการสมทบของรัฐบาล แต่ก็ยังน้อยกว่าที่เราจะได้เป็นล้านบาทครับ
และความจริง 750 บาทที่เราจ่ายนั้น มันแบ่งเป็น ประกันสุขภาพ ประกันการว่างงานด้วย ที่เหลือไปสะสมใน กองทุนชราภาพ จริง ๆ แค่ 450 บาทเองครับ
แปลว่า เราจะได้มากกว่าสิ่งที่จ่ายไปมาก
แต่การที่กองทุนประกันสังคมจะหาเงินมาจ่ายให้เราได้นั้น มันไม่ได้เกิดจากการขอเงินรัฐบาลมาจ่ายนะครับ เพราะรัฐบาลไม่ให้อยู่แล้ว
แต่กองทุนประกันสังคม จะต้องเอาเงินของเราไปลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนงอกเงย
เช่นลงทุนให้ได้ปีละ 5-6% เป็นระยะเวลา 30-40 ปี ซึ่งผลตอบแทนมันจะทบต้นทบดอกมาก ทำให้กองทุนมีเงินจ่ายบำนาญให้กับผู้ที่เกษียณไงครับ
พอรัฐบาลมาแก้กฎหมายให้มาขอคืน หรือ ขอกู้เงินจากกองทุนออกไปได้
แปลว่าเงินต้นก็จะได้น้อยลง ต่อให้ได้ผลตอบแทนเท่าเดิม แต่ดอกผลที่จะทบต้นทบดอกมันก็น้อยลงไปด้วย
เช่น ฝาก 1,000 ได้ดอก 5% ก็ได้ 50 บาท แต่ถ้าต้นเหลือ 100 บาท เราก็จะเหลือดอกเพียงปีละ 5 บาท
แล้วแบบนี้ กองทุนจะมีเงินจ่ายเงินบำนาญให้กับผู้ประกันตนได้เพียงพอหรือครับ ?
ดังนั้น การที่รัฐบาลแก้เกณฑ์แบบนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่รัฐบาลช่วยเหลือประชาชนหรอกครับ
แต่หลอกให้ประชาชนเข้าใจว่าเขาได้เงิน แต่จริง ๆ เงินนั้นก็คือเงินของเราเองที่ออมไว้ใช้ตอนเกษียณ
และไม่ได้บอกความจริงว่า ถ้าเอาเงินนี้ออกมาแล้ว เงินบำนาญที่จะต้องได้หลังเกษียณ อาจจะมีไม่เพียงพอ ถึงวันนั้นแทนที่จะได้เดือนละ 7,500 บาท แต่เราต้องไปรับเบี้ยยังชีพชราภาพเดือนละ 6-700 บาทแทน
เข้าใจว่าตอนนี้หลายคนมีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง แต่มันก็เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องแก้ปัญหานี้ครับ
ไม่ว่าจะหาเงินจากไหนมาแจกจ่าย หรือทำยังไงที่จะอุดหนุนเพื่อลดค่าครองชีพ เช่น ลดค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมัน ฯลฯ
จะทำวิธีไหนก็ได้ แต่ไม่ใช่เอาเงินออมของเราออกมา
เพราะมันเป็นการทำลายหลักประกันความมั่นคงของผู้สูงอายุในอนาคตครับ
และประชาชนอย่างเรา ก็อย่าไปหลงดีใจกับที่รัฐบาลเอาเงินของเราเองในอนาคตนั่นแหละมาให้เราใช้ตอนนี้”
https://www.facebook.com/drpeerapat.f/posts/554688299354958